บทที่ 488 สรุปแล้วเป็นใครมาจากไหนกันแน

ข้าคือเขยผู้ยิ่งใหญ่

“วิชาวัชระร่างป้องกันสกิลเทพเหรอ?”

เย่เทียนพึมพำเบาๆ สายตาที่มองเซวหมานจื่อก็อดไม่ได้ที่จะแสดงรอยยิ้มอันมีเลศนัย “ต้องยอมรับนะว่าคุณทำให้ผมประหลาดใจมาก แต่ว่า……”

“มันไม่ได้หมายความว่าผมจะทำอะไรคุณไม่ได้นะ!”

ทันทีที่พูดจบ เย่เทียนกระทืบเท้าของเขาและพุ่งเข้าหาเซวหมานจื่ออีกครั้งด้วยความเร็วราวกับสายฟ้า

นิ้วนางและนิ้วก้อยของเขางอลง และนิ้วโป้งกดทับเล็บของทั้งสองนิ้วนั้น ส่วนนิ้วชี้กับนิ้วกลางชิดกันและเหยียดตรงออกไป ทั้งฝ่ามือของเขากลายเป็นดาบนิ้วอันมาตรฐาน และจากนั้นก็โจมตีไปที่จุดจุดเสินจูบนสะดือของเซวหมานจื่อ!

นี่ก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ใครให้เซวหมานจื่อรูปร่างสูงใหญ่ขนาดนี้ล่ะ ดังนั้นการโจมตีจุดเสินจูจึงง่ายกว่าโจมตี神庭穴มาก!

สีหน้าของเซวหมานจื่อเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน ในที่สุดเขาก็ไม่กล้ามองข้ามการโจมตีของเย่เทียนอีก เขาจึงรีบกางมืออันกว้างใหญ่ราวกับใบพัดของเขาออก แล้วปิดกั้นตำแหน่งสะดือของเขาไว้อย่างมิดชิด

ดิ๊ง!

ดาบนิ้วของเย่เทียนแทงเข้าไปที่มืออันกว้างใหญ่ของเซวหมานจื่อราวกับแทงเข้ากับเหล็ก ทำให้เกิดเสียงกระทบของโลหะที่คมชัด!

“นี่มันจะบ้าไปแล้ว?”

แม้จะคาดการณ์ผลลัพธ์นี้ได้ แต่การปะทะกันในครั้งนี้ก็ยังทำให้เย่เทียนรู้สึกตกใจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

เย่เทียนรู้สึกตกตะลึงมาก แต่ไม่ได้หมายความว่าเซวหมานจื่อจะตกตะลึงไปด้วย

มือขวาที่ขวางการโจมตีของเขากำหมัดขึ้นแน่นๆ ในขณะที่เขาพยายามจะป้องกันการโจมตีของเย่เทียนนั้น มือซ้ายของเขาก็ตบไปที่ใบหน้าของเย่เทียนอย่างรุนแรง

เมื่อเสียงตัดผ่านอากาศดังขึ้น ทำให้เย่เทียนตั้งสติได้อีกครั้ง ในขณะที่เขาดึงมือ กลับ ขาของเขาก็เตะออกไปอย่างรุนแรง

เพ๊ง!

และในขณะที่ขาของเย่เทียนกระทืบหน้าท้องส่วนล่างของเซวหมานจื่อ เขาก็ใช้โอกาสนี้ดีดตัวออกไปข้างหลัง แต่ถึงอย่างนั้นหัวไหล่ของเขาก็ถูกปลายเล็บของเซวหมานจื่อขีดข่วน

ตุบ ตุบ!

ลูกถีบของเย่เทียนเต็มไปด้วยพลังภายใน แม้ว่าเขาจะไม่สามารถสร้างความเสียหายให้กับเซวหมานจื่อได้ แต่อย่างน้อยเซวหมานจื่อก็ต้องถอยหลังไปสองก้าวอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้

“หือ!”

ภาพนี้ทำให้ผู้คนอดไม่ได้ที่จะอุทานออกมา พวกเขาไม่คาดคิดเลยว่านี่เป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้น แต่การต่อสู้ของทั้งสองก็ดุเดือดขนาดนี้แล้ว

พวกเขาทุกคนเป็นเหล่าชนชั้นสูงจากกองทัพ ซึ่งแน่นอนว่าความคิดของพวกเขาไม่เหมือนคนธรรมดาอยู่แล้ว อย่างน้อย ไหวพริบของพวกเขาก็เทียบเท่าได้กับนักธุรกิจมืออาชีพได้อย่างแน่นอน!

เมื่อเห็นว่าเย่เทียนสามารถถีบเซวหมานจื่อจนกระเด็นออกไปได้ พวกเขาก็มั่นใจว่าเย่เทียนต้องไม่ใช่คนธรรมดา อย่างน้อยก็มีคุณสมบัติที่จะต่อกรกับเซวหมานจื่อได้!

แต่นี่เป็นเพียงความรู้สึกของผู้คนเท่านั้น

อย่างน้อยเย่เทียนคนแรกที่ไม่คิดเช่นนั้น เพราะเขาไม่รู้สึกว่าตัวเองจะได้เปรียบตรงไหนเลย ถึงแม้แค่ถูกศัตรูขีดข่วนด้วยปลายนิ้วเล็กน้อย แต่เขาสามารถสัมผัสได้ถึงพลังอันมหาศาล และยังทำให้เขารู้สึกชาไปทั้งหัวไหล่ด้วย

หากไม่ได้เป็นเพราะเขาดีดตัวออกมาทันเวลา เกรงว่าหัวไหล่ของเขาคงใช้การไม่ได้อีก

ความเป็นจริง ตัวของเซวหมานจื่อก็ไม่ได้รู้สึกดีอะไรเลย และเขายังรู้สึกเจ็บที่ท้องน้อยด้วยซ้ำ คงต้องขอบคุณในความอดทนที่ดีของเขา ที่ทำให้เขาไม่ได้ส่งเสียงโหยหวนออกมา

ในการปะทะกันครั้งแรก บอกได้เลยว่าฝีมือของทั้งคู่พอฟัดพอเหวี่ยงกันมาก

สีหน้าของเซวหมานจื่อกลายเป็นความเคร่งขรึม และจิตวิญญาณของการต่อสู้อันแข็งแกร่งในปรากฏขึ้นในรูม่านตาของเขา!

เขาเป็นถึงนักสู้หมายเลขหนึ่งของเขตทหารลู่หลิง แม้กระทั่งของเขตทหารเจียงห้วยที่ผ่านมาไม่เคยมีใครสู้กับเขาได้ แต่ไม่คิดเลยว่าวันนี้เขาจะได้เจอกับเย่เทียนในงานเลี้ยงนี้

นับจากนี้เป็นต้นไป เขาไม่ใช่แค่จะช่วยแฟนจัดการมือที่สามเท่านั้น แต่เขายกให้เย่เทียนอยู่ในระดับเดียวกันกับเขา เพียงเพื่อต้องการเอาชนะผู้แข็งแกร่ง!

“ต้องยอมรับเลยนะว่าเอ็งทำให้ข้ารู้สึกเซอร์ไพรส์มาก ข้าไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นแบบนี้มานานแล้ว!”

เซวหมานจื่อแสยะยิ้มออกมาแล้วหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นมือสองข้างของเขากางราบ เอวงอลง และทำท่านั่งม้าอันเป็นมาตรฐานที่สุด

แต่กระบวนท่าของเขามันกลับทำให้ทุกคนรู้สึกน่าทึ่ง ราวกับว่าเขาได้รวบรวมพื้นและฟ้าให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

“ให้ตายสิ! ปาจิฉวน!”

“นี่มันกระบวนท่าการโจมตีของเซวหมานจื่อเชียวนะ ไอ้หมอนั่นที่ชื่อเย่เทียนมันเก่งขนาดนั้นเลยเหรอ?”

“เป็นไปได้เหรอ? เซวหมานจื่อคิดว่าไอ้หมอนั่นเป็นคู่ต่อสู้ที่อยู่ในระดับเดียวกันจริงเหรอ?”

การแสดงของเซวหมานจื่อทำให้ผู้คนอดใจไม่ได้ที่จะอุทานออกมา และสายตาของทุกคนที่มองเย่เทียนก็เปลี่ยนเป็นความเคร่งขรึม

หลังจากการดูการต่อสู้อย่างดุเดือดก่อนหน้านี้ พวกเขาไม่สามารถรับรู้ถึงความสามารถที่แท้จริงของทั้งคู่เลย แต่หลังจากได้เห็นกระบวนท่าของเซวหมานจื่อในตอนนี้ พวกเขาก็มั่นใจว่าเย่เทียนไม่ใช่คนธรรมดาที่จะคอยให้รังแกอีกต่อไป!

“ปาจิฉวนเหรอ?”

เมื่อได้ยินเสียงสนทนาของผู้คน เย่เทียนก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย และดวงตาสีหมึกเข้มของเขาก็ประกายความอยากรู้อยากเห็นโดยไม่มีการปิดบัง

ดังโบราณกล่าวไว้ว่า ‘ไท่จี๋หยินหยางใต้หล้าบุ๋น,ปาจิฉวนตระหง่านใจบู๊’

นับตั้งแต่เริ่มต้น ปาจิฉวนมีประวัติอย่างน้อย 300 ปีแล้ว และมันได้กระจายไปทั่วประเทศ กระทั่งถูกเผยแพร่ไปยังต่างประเทศอีกด้วย ซึ่งจำนวนผู้ฝึกฝนวิชานี้มีเป็นนับแสน จะเห็นได้ว่าอิทธิพลของปาจิฉวนนั้นยิ่งใหญ่มากแค่ไหน!

แน่นอนว่าในคนนับแสนนี้ ส่วนใหญ่จะใช้วิชานี้เพื่อฝึกฝนร่างกายเป็นหลัก ซึ่งมีน้อยคนมากที่สามารถนำมันไปใช้ในการต่อสู้จริงได้

แต่เมื่อพิจารณาจากความเห็นของผู้คนแล้ว เขาเชื่อว่าเซวหมานจื่อคนนี้ต้องไม่ใช่คนที่เก่งแต่ปากอย่างแน่นอน!

แต่ถึงอย่างนั้น สิ่งที่ทำให้เย่เทียนรู้สึกไม่คาดคิดกว่านั้นคือเซวหมานจื่อคนนี้เป็นใครมาจากไหนกันแน่?

ไม่ว่าจะเป็นวิชาป้องกันของวัชระร่างป้องกัน ยังมีวิชาพลิ้วไหวอย่างปาจิฉวนอีกด้วย ไอ้หมอนี่มันเอาความสามารถเยอะแยะขนาดนี้มาจากไหน? แล้วมันไปเรียนมาจากไหน?

ชั่วขณะหนึ่ง เย่เทียนไม่กล้าแสดงความประมาทแม้แต่น้อย หากเขาไม่ตั้งใจต่อสู้ให้มากกว่านี้ เกรงว่าอาจจะพ่ายแพ้เพราะความประมาทก็ได้!

ฝุบ!

เซวหมานจื่อไม่สนใจว่าเย่เทียนจะคิดอะไรอยู่ เมื่อเห็นว่าเขาเตรียมพร้อมแล้ว เซวหมานจื่อก็ขยับฝ่าเท้าของเขา ซึ่งดูเหมือนจะช้า แต่ในความเป็นจริงนั้น เขาพุ่งเข้าใส่เย่เทียนด้วยความเร็วราวกับสายฟ้า

ตูม ตูม!!

กำปั้นใหญ่เท่าหม้อหุงข้าวซึ่งเป็นเหมือนกระแสน้ำที่พลุ่งพล่าน และในช่วงวินาทีเดียว เซวหมานจื่อก็ปล่อยหมัดออกมาสามหมัดติดต่อกัน!

“คิดว่าผมไม่กล้าสู้แล้วสินะ!”

เย่เทียนฮึดฮัดไม่พอใจ แทนที่จะถอยกลับ แต่เขากลับก้าวไปข้างหน้าด้วยพลังชี่ทิพย์อันแข็งแกร่งที่รวมตัวกันบนหมัดของเขา และเขาก็ชกออกไปสามหมัดเพื่อจะปะทะกับการโจมตีด้วยหมัดของเซวหมานจื่อ

แต่น่าเสียดาย เซวหมานจื่อที่เต็มไปด้วยจิตสังหารตั้งแต่แรกนั้น เขากลับไม่เลือกที่จะเผชิญหน้ากับเย่เทียนอีก กำปั้นของเขากลายเป็นฝ่ามือ ในขณะที่ปัดเป่าหมัดของเย่เทียนอย่างช่ำชองนั้น เขายังฉวยโอกาสใช้พลังที่โจมตีมาที่เขาสวนกลับไป

“ให้ตายสิ!”

เย่เทียนอดไม่ได้ที่จะอุทานออกมา แต่เขาพยายามห้ามตัวเองเพื่อไม่ใช้พลังให้มากกว่านี้ ได้แต่ใช้ทักษะการต่อสู้แบบระยะประชิดต่อกรกับเซวหมานจื่อ

ไม่ว่าจะเป็นอดีตชาติหรือชาตินี้ ศัตรูที่เขาเคยเผชิญนั้นส่วนใหญ่จะเป็นพวกตรงไปตรงมา น้อยนักที่จะมีคนใช้วิชาที่พลิ้วไหวและดั้งเดิมขนาดนี้

ถ้าในกรณีทั่วไป เย่เทียนคงไม่เลือกที่จะเสียเวลาแบบนี้แล้ว แต่ช่วยไม่ได้ เพราะเขาในทุกวันนี้ยังอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่จบไม่สิ้นกับพรรคชิงเฉิง

แล้วใครจะรู้ว่าพรรคที่สืบทอดมาหลายร้อยปีนี้จะมีกลยุทธ์แปลกประหลาดอะไรอีก ดังนั้นเขาจึงอยากรู้ให้มากกว่านี้ เพื่อจะได้ไม่พ่ายแพ้ในความประมาทของตน!

แต่แน่นอน สิ่งสำคัญที่สุดคือ หลังจากได้ทดสอบความสามารถที่แท้จริงของเซวหมานจื่อแล้ว เย่เทียนก็รู้ว่าเขาอยู่ในฝีมือ ‘ระดับดำตอนกลาง’ !

ซึ่งด้วยระดับการฝึกพลังชั้นเจ็ดของเขาในตอนนี้ หากออกแรงให้เต็มที่ เกรงว่าวิชาการป้องกันที่ดีที่สุดอย่างวัชระร่างป้องกันที่เซวหมานจื่อกำลังฝึกอยู่ มันก็คงต้องเละเป็นตะกรันอยู่ดี!

โดยสรุปแล้ว นี่ไม่ใช่การต่อสู้เพื่อคร่าชีวิต เขาจึงมีเวลาในการเผาผลาญพลังของเซวหมานจื่อไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งพลังภายในของเซวหมานจื่อหมดไป จนกระทั่งเซวหมานจื่อยอมยกธงขาวเอง!