เมื่อรู้ว่าฝีมือของเซวหมานจื่ออยู่แค่ระดับดำตอนกลางเท่านั้น เย่เทียนจึงหายกังวล
สาเหตุแรก ที่ผ่านมาเขาได้มีโอกาสประลองกับผู้ที่มีศิลปะการต่อสู้ที่มาตรฐานแบบนี้น้อยมาก ดังนั้นเขาจึงใช้โอกาสนี้เพื่อคุ้นเคยกับมัน เพื่อวันข้างหน้าจะมีวิธีรับมือได้
ส่วนสาเหตุที่สอง นี่ไม่ใช่การต่อสู้เพื่อคร่าชีวิต ถ้าหากเขาทำลายวิชาวัชระร่างป้องกันสกิลเทพของเซวหมานจื่อ ไม่แน่เขาอาจจะทำให้เซวหมานจื่อได้รับบาดเจ็บไปด้วย และมันอาจสร้างผลกระทบต่อผลการแข่งขันการคัดเลือกของเซวหมานจื่อ แล้วเขาอาจถูกกล่าวโทษได้
ที่สำคัญ เย่เทียนรู้ดีว่าเรื่องใหญ่ขนาดนี้ คงเป็นไปไม่ได้ที่ถังเหวินหลงผู้ซึ่งเป็นเจ้าของงานจะไม่รู้ แต่ถึงอย่างนั้นถังเหวินหลงก็ไม่ได้ออกมาห้ามเขาเลย คงแอบดูจากที่ไหนสักที่แน่นอน?
ดั่งที่ว่ากันว่า ‘ไม่ว่าจะทำอะไร ต้องเผื่อใจไว้ด้วย’ !
เพราะในโลกใบนี้ เพื่อนแท้หายาก ส่วนเพื่อนที่หวังผลประโยชน์นั้นมีไม่ขาดสาย
ถึงแม้ที่ผ่านมาความสัมพันธ์กับถังเหวินหลงจะดีมาก แต่เย่เทียนจะการันตีไม่ได้ว่ามันจะดีไปตลอด ดังนั้นจึงจะเปิดเผยไพ่เด็ดของตนง่ายๆ แบบนี้ไม่ได้
เมื่อนึกถึงเหตุผลเหล่านี้ เย่เทียนจึงล้มเลิกความคิดที่จะเอาชนะเซวหมานจื่อแบบซึ่งๆ หน้า แต่ใช้วิธีการเผาผลาญพลังภายในของเซวหมานจื่อให้หมดไป และปล่อยให้เซวหมานจื่อเป็นคนยอมแพ้เอง!
เพราะถึงอย่างไรแล้ว ด้วยฝีมือระดับตอนกลางของเซวหมานจื่อนั้น พลังภายในของเขาไม่มีทางเทียบได้กับการฝึกพลังชั้นเจ็ดที่สามารถเอาชนะระดับดินได้ทุกระดับของเย่เทียนได้!
เมื่อนึกถึงจุดนี้ เย่เทียนก็ไม่คิดที่จะโจมตีเขาก่อนเลย ได้แต่รับมือการโจมตีของเซวหมานจื่อเท่านั้น
นี่ก็เป็นสิ่งที่ช่วยไม่ได้เช่นกัน เพราะในตอนนี้ เขาแสดงฝีมือในระดับดำชั้นต่ำเท่านั้น ซึ่งพลังนี้ไม่อาจทำลายการป้องกันของเซวหมานจื่อได้เลย
แม้กระทั่งทุกครั้งที่ทำการโจมตี เขายังปล่อยโอกาสให้เซวหมานจื่อยืมพลังของเขาในการโจมตีกลับ แล้วทำไมต้องเปลืองแรงขนาดนี้ด้วย?
แต่มันก็เพียงพอที่จะพิสูจน์ว่า วิชาวัชระร่างป้องกันสกิลเทพนั้นเป็นหนึ่งในวิชาที่มีการป้องกันที่ดีที่สุด และมันยังสามารถปกป้องการโจมตีของระดับที่อยู่สูงกว่าได้ด้วย ช่างเป็นวิชาที่เก่งสมคำร่ำลือจริงๆ!
แต่เซวหมานจื่อไม่รู้ว่าเย่เทียนคิดอะไรอยู่ เมื่อสังเกตว่าเย่เทียนไม่มีการโจมตีแต่เป็นฝ่ายตั้งรับอย่างเดียว เขาจึงคิดว่าเย่เทียนหมดมุกแล้ว และเขายังกระหน่ำโจมตีเข้าใส่เย่เทียนเพื่อจะจบการประลองนี้ให้เร็วที่สุด
โดยรวมแล้ว เซวหมานจื่อพยายามอย่างหนักในการโจมตี แต่มันกลับเป็นการปกปิดความสามารถที่แท้จริงให้กับเย่เทียน ทั้งสองสู้กันอย่างเมามันมาก และทำให้ผู้ชมเฝ้าดูอย่างสนุกสนาน
ผู้คนตั้งใจดูการต่อสู้นี้มาก เพราะไม่ง่ายเลยที่พวกเขาจะมีโอกาสได้เห็นการต่อสู้ของผู้แข็งแกร่งในระดับนี้
แต่จี้เยียนหรันกลับมองไปที่เย่เทียนในการประลองอย่างว่างเปล่า ในใจของเธอรู้สึกซับซ้อนมาก
เย่เทียนเป็นคนดีมาก เรื่องนี้เธอปฏิเสธไม่ได้จริงๆ แม้กระทั่งเธอยังรู้ถึงความรักอันลึกซึ้งในใจของเธอที่มีต่อเย่เทียน
เขาช่วยเธอจากความทุกข์ยากซ้ำแล้วซ้ำเล่า หากจะบอกว่าเธอไม่รู้สึกอะไรเลย มันคงเป็นการโกหก!
ท้ายที่สุดแล้ว ไม่ว่าเธอจะเป็นคนที่อารมณ์ร้อนมากแค่ไหน แต่เธอก็เป็นผู้หญิงคนหนึ่ง และเธอก็ปรารถนาที่จะมีผู้ชายคอยยืนอยู่ตรงหน้าและคอยปกป้องเธออยู่บ้าง
แต่น่าเสียดายที่เย่เทียนแต่งงานแล้ว
จากการอบรมสั่งสอนที่จี้เยียนหรันได้รับตั้งแต่เด็กนั้น เธอรู้ดีว่าการเป็นมือที่สามนั้นมันจะถูกตราหน้าเป็นคนเลว และเธอไม่ยอมเป็นคนแบบนั้นอยู่แล้ว
สิ่งสำคัญคือเธอรู้ว่าเย่เทียนรู้สึกยังไงกับเฉินหวั่นชิง เธอกลัวว่าต่อให้เธอรวบรวมความกล้าและสารภาพไป แต่เย่เทียนก็ยังปฏิเสธอยู่ดี แล้วเธอจะทำยังไงล่ะ? มันอาจจะเสียความเป็นเพื่อนไปเลยก็ได้?
เธอลังเล เธอคิดหนัก เธอนอนไม่หลับหลายต่อหลายคืนแล้ว เธอไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี
แน่นอนว่าความรักเป็นสิ่งที่ซับซ้อนที่สุดในโลกจริงๆ!
“เยียนหรัน คนอย่างเย่เทียนเป็นคนที่หายากมากนะ”
เฉิงหลงสังเกตเห็นสีหน้าความซับซ้อนของหญิงสาวที่อยู่ข้างเขา เขาอดใจไม่ได้ที่จะส่ายหัวแล้วพูดขึ้นอย่างกะทันหัน “เรื่องบางเรื่อง เราจำเป็นต้องไปไขว่คว้าเอานะ โดยเฉพาะเรื่องความสุข!”
เนื่องจากจี้เจิ้งโก๋เป็นอดีตผู้นำสูงสุดของเขตทหารในเจียงหนาน ดังนั้นเฉิงหลงจึงรู้จักจี้เยียนหรันตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น เขาปฏิบัติต่อจี้เยียนหรันเหมือนน้องสาวแท้ๆ ของเขา แล้วเขาจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าเธอคิดอะไรอยู่
แม้จะไม่เคยกินเนื้อหมู แต่เขาจะไม่เคยเห็นหมูวิ่งหรือ?
“พี่เฉิง ฉัน……”
เมื่อได้ยินเสียงของเฉิงหลงที่ดังแว่วเข้ามาในหู จี้เยียนหรันก็รีบดึงสติกลับมา เธออ้าปากเพื่อพยายามจะอธิบายบางอย่าง แต่สุดท้ายก็แค่ส่ายหัวอย่างขมขื่น และดวงตาของเธอก็อดไม่ได้ที่จะขุ่นหมอง
เฉิงหลงที่เห็นเช่นนี้ได้แต่ถอนหายใจยาวๆ แต่ไม่ได้พูดอะไรอีก
เรื่องความรู้สึกนั้น เขาผู้ซึ่งเป็นตัวประกอบได้แต่ให้คำแนะนำเท่านั้น ส่วนจะตัดสินใจอย่างไรนั้นก็ต้องขึ้นอยู่กับจี้เยียนหรันคนเดียวแล้ว!
ในเวลาเดียวกัน ที่หน้าต่างกระจกบนชั้นสองของตัวเรือ ถังเหวินหลงและคนอื่นๆ อีกประมาณสิบคนกำลังชมการต่อสู้ระหว่างเย่เทียนกับเซวหมานจื่อบนดาดฟ้า
นอกจากหน่วยกล้าตายอย่างลู่เกาเจี๋ยและพวกพ้องของเขาแล้ว ยังมีอีกสามคนที่ดูแล้วไม่ใช่สมาชิกของกองทัพอย่างแน่นอน
ถ้าเย่เทียนอยู่ด้วย เขาต้องรู้แน่นอนว่าชายที่ห้อยเหยือกเหล้าน้ำเต้าอยู่ที่เอวและยืนอยู่ด้านซ้ายของถังเหวินหลงคนนี้คือหลัวสามที่มาจากสำนักเฟยวี่!
ส่วนคนที่ยืนอยู่ด้านขวาของหลัวสามนั้น เป็นชายที่แต่งกายธรรมดาคนหนึ่ง เขาไว้เคราแพะสีขาวเทายาวและมีอายุประมาณหกสิบปี ซึ่งชายคนนี้ก็คือผู้รับผิดชอบการประสานงานในวงการศิลปะการต่อสู้ของหอเป่ยโต่ว มีชื่อว่าเฉียนซิงหรง
และคนที่ยืนถัดจากเขานั้น เป็นชายหนุ่มรูปงามที่ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาคือตัวแทนจากหอเป่ยโต่วในการเข้าร่วมการแข่งขันการคัดเลือกของทีมสายฟ้าในครั้งนี้ ซึ่งมีชื่อว่าเจียงเหอซวน!
“ไอ้เย่เทียนคนนี้เหลี่ยมเยอะจริงๆ เลยนะ มันไม่คิดจะใช้ความสามารถที่แท้จริงเลยด้วยซ้ำ แค่เล่นกับเฮียเซวเหมือนลิงตัวหนึ่ง!”
เมื่อมองไปที่เย่เทียนบนดาดฟ้าด้านล่างที่ซึ่งกำลังหลบการโจมตีของเซวหมานจื่ออย่างง่ายดาย หลัวสามก็อดใจไม่ได้ที่จะส่ายหัวอย่างเหลือทน
“แค่นี้ก็พอแล้วไม่ใช่เหรอ?”
เฉียนซิงหรงยักไหล่และพูดด้วยความหมายอันลึกซึ้ง “เฮียเซวได้ฝึกฝนวิชาป้องกันที่ยอดเยี่ยมอย่างวิชาวัชระร่างป้องกันสกิลเทพเชียวนะ ถ้าฝีมืออยู่ในระดับเดียวกัน คู่ต่อสู้ของเขาคงไม่สบายแบบนี้หรอก!”
“ดังนั้น ฝีมือของไอ้หนุ่มเย่เทียนอย่างน้อยก็อยู่ในระดับดำชั้นล่างแล้ว หรือไม่ก็อาจจะอยู่ในระดับดินแล้วล่ะ!”
คนอื่นๆ อาจจะมองไม่ออก แต่พวกเขาทั้งสองต่างเป็นผู้อาวุโสในโลกแห่งศิลปะการต่อสู้ อีกทั้งยังอยู่ในเส้นทางการต่อสู้ตั้งแต่เด็ก ดังนั้นจึงมีประสบการณ์อันโชกโชนในการต่อสู้ แล้วพวกเขาจะดูไม่ออกได้อย่างไร?
แม้กระบวนท่าในการโจมตีของเซวหมานจื่อจะรุนแรงมาก แต่เย่เทียนก็หลบการโจมตีของเขาเท่าที่จะทำได้ ส่วนกระบวนท่าที่ไม่สามารถหลบหลีกได้เขาจะใช้วิธีสกัดกั้น ซึ่งไม่มีทางทำให้เขาได้รับบาดเจ็บเลย
ที่น่าเกลียดกว่านั้นคือ เย่เทียนยังไม่คิดที่จะโต้ตอบหรือสวนกลับเลยด้วยซ้ำ หากเป็นแบบนี้ต่อไป กำลังของเซวหมานจื่อก็จะหมดลงในไม่ช้า และเขาจะต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอน!
“เหล่าหลัว รอบนี้สำนักเฟยวี่ของพวกคุณได้ของดีเลยนะ! ขอแค่เขาได้พัฒนามากกว่านี้ อนาคตเขาจะเป็นกระดูกสันหลังของสำนักเฟยวี่ได้อย่างแน่นอน!”
เฉียนซิงหรงหันหน้าไปแล้วยิ้มพูดกับหลัวสาม และสีหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความชื่นชมยินดีจากใจ
“เหล่าเฉียน ไม่ต้องยกยอผมหรอกน่า”
หลัวสามโบกมือด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น และสายตาอันขุ่นมัวของเขามองไปที่เจียงเหอซวนด้วยความลึกซึ้ง “ต่อให้ไอ้หนุ่มเย่เทียนจะอยู่ในระดับดินจริงๆ แต่ฝีมือก็คงไปไม่ไกลกว่าชั้นสูงหรอก แล้วจะเทียบกับศิษย์น้องเหอซวนได้อย่างไรล่ะ?”
“อาจารย์อาหลัวชมผมเกินไปแล้วครับ”
เจียงเหอซวนยิ้มอย่างอ่อนน้อมถ่อมตน แต่ความหยิ่งทะนงในดวงตาเขานั้นไม่อาจซ่อนได้
“เอาล่ะ เอาล่ะ”
ดูเหมือนจะกลัวว่าหลัวสามจะตั้งคำถามต่อ เฉียนซิงหรงจึงรีบหันความสนใจไปที่ถังเหวินหลงและเปลี่ยนเรื่องพูดว่า “เหล่าถัง นี่มันก็เริ่มสายแล้วนะ พวกเราลงไปกันเถอะ!”
แน่นอนว่าถังเหวินหลงจะไม่คัดค้านอยู่แล้ว แต่สายตาที่มองเจียงเหอซวนก็เต็มไปด้วยความหมายอันลึกซึ้งเช่นกัน จากนั้นเขาก็หันหลังแล้วพาทุกคนเดินลงไปบนดาดฟ้าของเรือ……