ตอนที่ 677 สบายใจ / ตอนที่ 678 เลือดหนึ่งหยด

ลิขิตฟ้าชะตารัก

ตอนที่ 677 สบายใจ

 

 

หลังจากที่ทุกคนออกไปจนหมด อวี้อาเหราก็มองไปทางชายที่หลบอยู่หลังฉากกั้น จากนั้นก็เอ่ยขึ้นมาอย่างพิจารณา คิ้วเลิกขึ้นเพราะพยายามที่จะเอ่ยขึ้นมาเป็นคำพูด “ตอนนี้มีเพียงเราสองคนแล้ว เจ้าก็ยังไม่คิดที่จะปรากฏตัวให้ข้าเห็นอีกหรือ”

 

 

“ไม่จำเป็น มีเรื่องอะไรก็รีบถามมา” น้ำเสียงของชายผู้นั้นแสดงให้เห็นถึงความรำคาญ ราวกับไม่อยากที่จะเสวนาพูดคุยกับนางเลย

 

 

อวี้อาเหราชะงัก “ได้ยินมาว่า เจ้าต้องการเงื่อนไขเพื่อแลกกับการตอบคำถามมิใช่หรือ”

 

 

“ไม่เลวเลย” เขาพยักหน้า

 

 

อวี้อาเหราไล่ถามต่อไป “เจ้าต้องการอะไร”

 

 

“ตอนนี้ยังคิดไม่ออก เจ้าถามมาก่อนเถิด”

 

 

ให้ถามก่อนหรือ? อวี้อาเหราก้มหน้าลง แล้วหัวเราะเสียงเยาะ “ไม่ได้ หากข้าถามออกไป แล้วเจ้าบอกเงื่อนไขที่ข้าทำไม่ได้จะทำอย่างไรกัน? ไม่สมควรๆ!”

 

 

“หากคุณหนูรองไม่มีความกล้าพอที่จะถาม เช่นนั้นก็เชิญกลับไปเถิด”เมื่อได้ยินอวี้อาเหราเอ่ยปฏิเสธเช่นนี้ ชายผู้นั้นก็ตอบคำถามอย่างไม่ไว้หน้า

 

 

อวี้อาเหรากัดฟัน ว่ากันว่ายาต้องมีพิษสามส่วน ระหว่างทางย่อมมีอันตราย ดูเขาซี แม้แต่สถานะของนางยังทราบ ดูแล้วคงไม่ใช่ธรรมดาแน่ ดังนั้นจึงไม่คิดอะไรให้มากความอีก รีบเงยหน้าขึ้นมาในทันที “ได้ ข้ารับปากเจ้า”

 

 

 “ยินดีนัก” ชายผู้นั้นหัวเราะเสียงเบา

 

 

เสียงหัวเราะของเขาแผ่วเบานัก หากไม่ตั้งใจฟังให้ดีคงไม่มีทางได้ยิน

 

 

อวี้อาเหรามองไปรอบด้าน เมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่แล้ว นางจึงหันไปมองชายที่อยู่หลังฉากกั้นอย่างกระวนกระวายใจ แล้วอ้าปากขึ้น แต่กลับไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมาได้ นางควรจะพูดเช่นไรดี การที่จะพูดวความลับของตัวเองออกมาเช่นนี้ นางรู้สึกไม่ค่อยจะเต็มใจเลยทีเดียว

 

 

มองท่าทีกระวนกระวายใจของนางด้วยความยินดี น้ำเสียงเย็นชาของชายผู้นั้นก็ดังเข้าไปในหู

 

 

“หากเจ้าไม่อยากถาม ก็เชิญออกไปเถิด”

 

 

เมื่อได้ยินเขาพูดเช่นนี้ อวี้อาเหราจึงนำเรื่องราวที่อยู่ในส่วนลึกของจิตใจแล้วเอ่ยขึ้นมา

 

 

เมื่อชายหนุ่มได้ฟังแล้ว เขาก็เลิกคิ้วแล้วหัวเราะ “อ้อ? คุณหนูรองอยากรู้สถานะของตัวเองหรือ ท่านก็คือคุณหนูรองอย่างไรเล่า!”

 

 

หากมันง่ายถึงเพียงนั้นแล้วนางจะถ่อมาถึงพระอารามจีซูแห่งนี้ทำไม! ที่แท้ข่าวลือเรื่องพระอารามจีซูนั้นก็คงไม่ค่อยเท่าไหร่ ในยามที่ในใจของนางเต็มไปด้วยคำเย้ยหยัน ทันใดนั้นเสียงของชายผู้นั้นก็ดังขึ้นว่า “ข้าจจะดูชะตาชีวิตของเจ้าก็ย่อมได้ แต่ว่า…”

 

 

“แต่อะไร?” อวี้อาเหราเงยหน้าขึ้นมามองด้วยความสงสัยเต็มที หรือว่าเขาต้องการสิ่งของหรือเงินทอง?

 

 

เห็นได้ชัด ว่าไม่ใช่ทั้งสองอย่าง

 

 

เมื่อสังเกตโดยละเอียด สายตาของชายหนุ่มก็ลอดผ่านฉากกั้น แล้วตกกระทบลงที่ร่างของนาง

 

 

“ขอเพียงเลือดของเจ้าหนึ่งหยดเท่านั้น”

 

 

“ได้” อวี้อาเหราลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบตกลง

 

 

ทันใดนั้น ก็มีอุปกรณ์คล้ายถ้วยลอยออกมาจากฉากกั้น ตกกระทบที่ร่างของนาง อวี้อาเหรารับโดยไม่ได้ตั้งใจ จากนั้นเสียงของชายผู้นั้นก็ดังตามมา “นำเลือดหนึ่งหยดของเจ้าใส่ลงไปในนั้นเสีย”

 

 

เขาอยากได้เลือดของนางไปทำไมกัน? อวี้อาเหราคิดไม่ตก แต่ก็กลัวว่านางจะทำให้อีกฝ่ายโกรธเข้า จึงไม่คิดอะไรให้มาก นางกัดที่ปลายนิ้วชี้ของตัวเองแล้วหยดเลือดลงไปในถ้วย เมื่อนางกำลังจะเอ่ยปากพูด ก็เกิดแรงดูดมหาศาลจากในฉากกั้น เพื่อนำถ้วยใบนั้นกลับคืนไปสู่มือของชายผู้นั้น

 

 

เมื่อเห็นเช่นนี้ ในใจของอวี้อาเหราก็ยิ่งรู้สึกหนักอึ้งขึ้นมา

 

 

ประมุขของพระอารามจีซูนี้ ที่แท้ก็มีพลังอำนาจที่น่ากลัว?!

 

 

ถามไถ่ไปทั่วแผ่นดิน ใครเลยจะเป็นเช่นนี้ ก็คงมีแต่ฉู่ป๋าย นอกนั้นก็คงไม่มีแล้ว

 

 

ในเวลาเดียวกัน อวี้อาเหราก็เริ่มเชื่อในตัวเขามากยิ่งขึ้น ไม่แน่ว่าเขาอาจจะรู้ถึงประวัติภูมิหลังของนางเข้าจริงๆ

 

 

ในชั่ววินาทีนั้น ยามที่นางมองไปทางฉากกั้นนั้น เสียงของชายหนุ่มก็ดังขึ้นมา “เจ้าไม่ใช่คุณหนูรองหลิงตัวจริง”

 

 

 

 

ตอนที่ 678 เลือดหนึ่งหยด

 

 

น้ำเสียงไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ราวกับความลับที่สะเทือนฟ้าดินเช่นนี้ไม่ได้ดึงดูดความสนใจของเขาเลยแม้แต่น้อย

 

 

แต่ว่าความลับนี้ หากเป็นผู้อื่นล่วงรู้เข้าจะต้องเป็นเรื่องใหญ่ของแผ่นดินนี้แน่ ทว่าในสายตาของชายหนุ่มนั้น กลับไร้ซึ่งความสลักสำคัญใดๆ หรือจะพูดอีกอย่าง ก็คือไม่ได้ใส่ใจเลยแม้แต่น้อย

 

 

เนื่องจากคำพูดของเขา ใบหน้าของอวี้อาเหราก็เคร่งขรึมขึ้น “เหตุใดถึงพูดเช่นนี้”

 

 

นางไม่เคยพูดเรื่องของตัวเองมาก่อน แล้วอีกฝ่ายนั้นรู้ได้อย่างไร เป็นเรื่องจริงไม่ได้หลอกเลยแม้แต่น้อย นางรู้สึกแปลกประหลาดเป็นอย่างมาก ชายหนุ่มที่อยู่หลังฉากกั้นเป็นใครกัน เหตุใดจึงได้ดูลึกลับกว่าเจ้าสำนักเม่ยเก๋อหนิงจื่อเย่เสียอีก นับตั้งแต่วินาทีที่นางเข้ามาในพระอารามจีซูแล้ว นางก็มองไปทั่วบริเวณ กลับไม่เห็นแม้แต่เงาของข้ารับใช้เลยแม้แต่คนเดียว

 

 

พระอารามจีซูแห่งนี้ ราวกับมีเขาเป็นประมุขเพียงคนเดียวเท่านั้น

 

 

ทว่าหนิงจื่อเย่ยังมีคนใต้บังคับบัญชาอีกนับไม่ถ้วน เมื่อเทียบกันแล้ว ประมุขของพระอารามจีซูผู้นี้กลับดูแย่เสียยิ่งกว่า

 

 

ชายผู้นั้นมองนาง แล้วจึงค่อยตอบขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเรื่อยเปื่อย “เจ้าไม่ใช่คุณหนูรองหลิงตัวจริง เพียงแต่มีหน้าตาคล้ายนางก็เท่านั้น ทว่าเจ้ากลับ…เจ้ากลับเป็นองค์หญิงแห่งราชวงศ์ก่อนผู้นั้น เรื่องสถานะของเจ้าที่ตั้งใจจะมาถาม เจ้าก็คงจะรู้เกือบหมดแล้วกระมัง?”

 

 

ช่างร้ายกาจนัก! อวี้อาเหราอดไม่ได้ที่จะชื่นชม สามารถพูดเรื่องของนางออกมาได้อย่างชัดแจ้ง ดังนั้นนางจึงเงยหน้าขึ้น มองไปที่เขา แล้วยิ้มออกมาอย่างคาดไม่ถึง “เจ้าไปรู้มาจากไหนกัน?”

 

 

ไม่ใช่ว่านางไม่เชื่อในคำพูดของอีกฝ่าย ทว่านางอยากจะรู้เหลือเกินว่าเขารู้เรื่องราวพวกนี้ได้อย่างไร

 

 

ชายหนุ่มไม่ตอบอะไร

 

 

อวี้อาเหราเห็นดังนั้น ก็ไม่กล้าที่จะถามต่อ นี่เป็นความสามารถที่ใช้ในการทำมาหากินของอีกฝ่าย หากนางรู้เข้า คงจะไม่ได้ความ ทว่านางไม่ใช่คนที่จะฟังความข้างเดียว จะต้องมีหลักฐานประกอบด้วย เมื่อคิดได้ดังนั้นแล้ว นางก็บอกวิธีที่นางคิดเอาไว้ในใจทันที

 

 

เมื่อได้ยินดังนั้น ชายหนุ่มก็เงียบงันไม่ตอบคำ ผ่านไปนานจึงค่อยตอบขึ้นมาว่า “ข้ามีสมบัติที่หลงเหลือมาจากราชวงศ์ก่อนหนึ่งชิ้น สมบัติชิ้นนั้นจะใช้เพื่อเป็นเครื่องยืนยันของสายเลือดราชวงศ์ก่อน เพราะฉะนั้นเมื่อหยดเลือดของเจ้าลงไป ก็จะทราบแล้วว่าใช่หรือไม่? และฮ่องเต้และฮองเฮาทรงมีพระธิดาเพียงหนึ่งเดียว ดูแล้วคงจะมีพระชนม์พอๆ กับเจ้า และเลือดยังเข้าไปหล่อรวมเข้ากับอัญมณี แน่นอนว่าเจ้าต้องเป็นพระธิดาเอกแห่งราชวงศ์ก่อนแน่ เมื่อคิดพิเคราะห์ เจ้าก็คงจะเป็นองค์หญิงจีซูที่หายสาบสูญไปใช่หรือไม่?”

 

 

“นายท่านกล่าวได้ดี” เมื่ออวี้อาเหราได้ยินดังนั้น ใบหน้าก็ปรากฏรอยยิ้มบาง ในใจดังเป็นเหมือนถูกคลื่นใหญ่โหมซัด

 

 

ในโลกนี้มีสมบัติที่แสนมหัศจรรย์ถึงเพียงนี้เชียวหรือ?

 

 

เป็นสมบัติเช่นไรกันแน่?

 

 

“สมบัติอะไรกัน?” อวี้อาเหราถามขึ้นมา

 

 

บรรยากาศเปลี่ยนไปเป็นเงียบสงบ แล้วน้ำเสียงของชายหนุ่มก็เปลี่ยนไปเป็นเหนื่อยอ่อน “สิ่งที่ไม่ควรถามเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องถาม”

 

 

อวี้อาเหราเม้มปาก เพียงเปิดเผยชื่อของสมบัติแค่นี้จะตายหรือ? นางไม่ได้อยากได้ของเช่นนั้นเสียหน่อย เพียงแค่สงสัยเท่านั้นว่านั่นคือของแบบใดกัน หากเป็นสมบัติที่สืบทอดกันมาแต่โบราณ แน่นอนว่านางจะต้องรู้จักเป็นแน่

 

 

ยามที่นางกำลังจะเอ่ยปาก สายตาแหลมคมของชายหนุ่มก็พุ่งไปยังด้านหลังของนาง แล้วน้ำเสียงเย็นชาก็เอ่ยขึ้นมาว่า

 

 

“ใครแอบฟังอยู่กัน?”

 

 

อวี้อาเหราเองก็ชะงักไป ทันใดนั้นก็หันหลังกลับไปมอง ในใจกระตุก เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า เขารู้ได้เช่นไรว่ามีคนอยู่ คงจะได้ยินในบทสนทนาที่พวกเขาพูดคุยกันแล้วกระมัง แล้วจะทำอย่างไร หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไปจะเป็นอย่างไร?

 

 

จากนั้น ชายหนุ่มที่สวมชุดขาวก็เดินเข้ามา สายตาพุ่งไปข้างหน้า

 

 

“เป็นเจ้าเองหรือ?” ฉู่ป๋ายปรากฏกาย อวี้อาเหรายิ่งรู้สึกเหนือความคาดหมายไปอีก

 

 

ไม่มีใครคนอื่นอีก มีเพียงฉู่ป๋ายคนเดียวเท่านั้น และมีเพียงฉู่ป๋ายเท่านั้นที่จะสามารถแอบฟังได้โดยที่ไม่มีคนรู้ เรื่องนี้ก็อยู่ในความคาดหมายของนาง แต่ที่นางคาดไม่ถึงก็คือ เขาหัดเลียนแบบฉู่เกอแอบฟังผู้อื่นเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน?