ตอนที่ 675 กินอิ่มแล้วฟุ้งซ่าน
ท่าทีการสนทนาของพวกเขาดูสนิทสนมยิ่งนัก ราวกับคู่สามีภรรยาที่ใช้เวลาร่วมกันมานานปี
อวี้จื้อในยามนี้ ดวงตาดำขลับของเขานั้นปรากฏสายตาประกายอ่อนโยน สายตาของเขายามมองฉู่เกอนั้นแตกต่างจากยามที่มองผู้อื่น ท่าทีนิ่งเฉยของเขานั้นช่างดูนิ่งเสียยิ่งกว่าฉู่ป๋ายเสียอีก แต่เป็นความนิ่งเฉยที่แตกต่างกัน
ท่าทีนิ่งเฉยของฉู่ป๋ายนั้นเพราะไม่อยากคุยกับคนอื่น หรือไม่ก็ไม่อยากเสวนากับผู้อื่นให้มากความ เป็นเพราะมีนิสัยนิ่งขรึม
ทว่าอวี้จื้อนั้นเป็นความเอียงอายของเด็กหนุ่ม ที่ไม่ค่อยกล้าพูดก็เท่านั้น
“มองพอหรือยัง” เสียงเสียงหนึ่งพาในนางตื่นจากภวังค์ อวี้อาเหราได้สติจึงเบิกตากว้าง จึงเห็นว่าคนที่นั่งข้างๆ นั้นมีสีหน้านิ่งเฉย ราวกับนิ่งขรึมเสียยิ่งกว่าในยามปกติ นางไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไร “ข้าจะมองอะไรแล้วมันเกี่ยวอะไรกับเจ้า”
“ทำไมจะไม่เกี่ยวกับข้า? ทางที่เจ้ามองไปนั้นมีเพียงเกอเอ๋อร์และน้องสามของเจ้า หากเจ้ามองเกอเอ๋อร์ แน่นอนว่าต้องเกี่ยวกับข้าด้วย” คำพูดนิ่งเฉยของเขานั้น ช่างทำให้คนได้ยินนั้นอยากจะกลอกตาเสียให้ได้
อวี้อาเหราหมดคำจะพูด กัดฟันแล้วเอ่ยว่า “เจ้าวางใจเสียเถิด ข้ามองน้องชายของข้าต่างหาก!”
“นั่นก็ไม่ได้” มือของฉู่ป๋ายที่ลอบจับมือนางไว้นั้นบีบแรงขึ้นไปอีก
อวี้อาเหราอยากจะหัวเราะเสียงเยาะนัก
แล้วมันกวนใจเขาตรงไหนกัน?
ชั่วครู่นั้น ฉู่ป๋ายก็ยังพูดขึ้นมาอีกว่า “ทว่าเจ้าก็มองข้าได้ ข้าไม่ถือ”
“เหอะ” อวี้อาเหราร้องเสียงเย็น “ข้ากินเสียแล้วฟุ้งซ่านหรือจึงต้องมองเจ้า”
“แล้วตอนนี้เจ้ามองอะไรอยู่เล่า?” ฉู่ป๋ายเลิกคิ้ว
“ข้า…” อวี้อาเหราโกรธขึ้นมาไม่น้อย ทำไมนางไม่เคยเอาชนะเขาได้เลย จะให้นางคุยกับเขาโดยไม่ต้องมองหน้าหรืออย่างไรกัน? ถ้าอย่างนั้นก็เท่ากับว่านางไม่เห็นเขาอยู่ในสายตา สนใจก็สนใจอยู่หรอก แต่นางไม่มีเหตุผลที่จะตอบโต้น่ะสิ!
ฉู่ป๋ายชะงักไปในทันที แล้วหัวเราะออกมา “ดังนั้น เป็นเจ้าที่กินอิ่มแล้วฟุ้งซ่านใช่หรือไม่?”
“เจ้า!” อวี้อาเหราสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พยายามที่จะทำให้ตัวเองสงบลง แล้วสะบัดหน้าหนี
ถ้าอย่างนั้น ก็ไม่จำเป็นต้องพูดกับนางหรอก!
ในใจของอวี้อาเหราโกรธเคืองนัก
หลังจากนิ่งคิดไปนาน ฉู่ป๋ายก็ยิ้มแล้วหันมามองนางอีกครั้งพร้อมทั้งยิ้มแย้ม “เจ้าเอาแต่โกรธเคืองเช่นนี้ คนที่ไม่รู้ก็คงคิดว่าพวกเราเป็นสามีภรรยาที่โต้เถียงกัน เจ้าจะต้องแสดงท่าทีเช่นนั้นเชียวหรือ?”
สองสามีภรรยาโต้เถียงกันหรือ? เมื่อฉู่ป๋ายพูดขึ้นมาเช่นนี้ อวี้อาเหราก็ขนลุกขึ้นมาทันที
ไม่ต้องพูดถึงความเหน็บหนาวเลย
นางทำผิดอะไรกัน ถึงได้ปล่อยผู้ชายเช่นนี้เอาไว้ข้างกายนาง
สาเหตุทั้งหมดก็คงเป็นเพราะฉู่เกอที่ให้เขามานั่งตรงนี้ นางรีบส่งสายตาไม่พอใจไปทางนางเสียทันที
ยังไม่ทันได้คิด คนทั้งหมดในรถก็ส่งสายตามาที่ร่างของพวกเขา เพื่อที่จะดูว่าพวกเขาพูดอะไรกันเหตุใดจึงดูจริงจังเพียงนี้
อวี้อาเหราหมดคำจะเอ่ย มองทำไมกันเล่า? เมื่อคิดถึงที่เขาพูดเมื่อครู่ ใบหน้าของนางก็แดงก่ำเป็นผลทับทิม ล้วนแล้วแต่เป็นสีแดงก่ำไปทั่ว ช่างดึงดูดสายตาผู้อื่นนักเพราะท่าทีเอียงอายของนาง ดังนั้น เหตุการณ์ตรงหน้าจึงกลายเป็นเช่นนี้
กระแอมไอหนักๆ นางจึงค่อยได้สติ มองไปทางจวินอู๋เหินที่กระแอมไอขึ้นมา
สีหน้าของจวินอู๋เหินนี่นแสดงท่าทีชะงักงัน “อาเหรา เหตุใดใบหน้าเจ้าถึงแดงเช่นนี้เล่า?”
“หมายความว่าอย่างไร?” สายตาของอวี้อาเหราไม่หลงเหลือความปรารถนาดีเลยแม้แต่น้อย ยามที่กล่าวเช่นนี้ ใบหน้าก็แดงก่ำขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ แม้จะบอกว่าไม่ได้หน้าแดงแต่ใครเล่าจะเชื่อ คนทั้งหลายล้วนมองเห็น ใจของนางก็ยิ่งเต้นแรงมากขึ้น คำพูดเมื่อครู่นี้ของฉู่ป๋ายนั้น นางจำได้อย่างดีเชียว
อวี้อาเหราไม่รู้จะเอามือไม้ไปไว้ที่ไหน ทางที่ดีที่สุดก็คือพยายามที่จะเปลี่ยนเรื่อง
ตอนที่ 676 ช่างตื้นเขินนัก
“ก็ไม่ได้หมายความว่าอย่างไร” จวินอู๋เหินกะพริบตาปริบๆ เงยหน้าขึ้นมองร่างของฉู่ป๋าย สายตาเต็มไปด้วยรอยยิ้มเยาะ จนคนที่ถูกมองรู้สึกขนหัวลุกไปหมด
อวี้อาเหราสบถในใจเสียงเย็น จากนั้นก็เปลี่ยนสายตาไปมองที่อื่น
รถม้าเคลื่อนที่ไปเรื่อยๆ เสียงกีบเท้าม้ากระทืบลงบนพื้นดินหนักๆ ฝุ่นฟุ้งตลบไปทั่ว
หลังจากผ่านความทุกข์ยาก ในที่สุดก็มาถึงพระอารามจีซู
เงยหน้าขึ้นมองตัวตำหนักที่สูงตระหง่านแทบจะเทียมฟ้า เมฆหมอกปกคลุมไปทั่วบริเวณราวกับอยู่เขตแดนของเทพเซียน เมื่อปรายตามอง แล้วก็ถอนสายตากลับ ใช้หางตามองไปทางฉู่ป๋ายที่อยู่ข้างๆ เขาทำเพียงยืนนิ่งๆ ไม่ขยับตัว ในการกระทำทั้งหมดแฝงความเย็นชาเอาไว้
โชคดีที่ให้เขามาด้วย มิเช่นนั้นหากมีเพียงนางและฉู่เกอช่วยกันหาแล้ว กว่าจะหาตัวพระอารามจีซูพบคงใช้เวลาหลายต่อหลายปีเลยทีเดียว
“นี่คือพระอารามจีซูหรือ?” ฉู่เกอมอง มีแววตาเหนือความคาดหมายอย่างเห็นได้ชัด
ไม่คิดเลยว่าพระอารมจีซูจะยิ่งใหญ่และสูงเทียมเมฆเช่นนี้ ตัวอาการสร้างขึ้นมาจนใหญ่โตทั้งยังงดงาม ไม่ว่าจะเป็นเสาที่สลักภาพเอาไว้ หรือเหล่าต้นไม้ใบหญ้าก็ล้วนแล้วแต่พิถีพิถัน ไม่แตกต่างจากวังหลวงเลยแม้แต่น้อย เพียงแต่เล็กกว่า เพราะฉะนั้นจึงดูไม่กว้างขวางร่ำรวยเท่าพระราชวังของฮ่องเต้
“ไปกันเถิด” อวี้อาเหราถอนสายตากลับมา แล้วเดินนำหน้าไปก่อน
ทุกคนเดินเข้าไปในตำหนัก แม้ว่าตัวพระอารามจีซูจะดูยิ่งใหญ่อลังการจากด้านนอก แต่เมื่อเข้าไปแล้วกลับไม่เห็นมีใครอยู่แม้แต่คนเดียว ทำให้บรรยากาศนิ่งงันและน่ากลัว พวกเขาจึงทำได้แต่เพียงเดินเข้าไปด้านใน เมื่อมาถึงพระตำหนักกลางแล้ว ก็ยังไม่พบเงาของมนุษย์เลยแม้แต่ร่างเดียว
อวี้อาเหราแปลกใจ “ทำไมไม่ถึงไม่มีคนเลยเล่า?”
“รอก่อนเถิด” ฉู่ป๋ายว่า
อวี้อาเหราไม่พูดอะไรอีก มองไปทางร่างของฉู่เกอที่อยู่ด้านข้าง ทว่ากลับไม่พบเงาของอวี้จื้อเลย จึงอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นมา
ฉู่เกอตอบพลางกลั้วหัวเราะ “เขาบอกว่าไม่มีอะไรที่อยากจะถาม ดังนั้นจึงรอพวกเราอยู่ข้างนอกเจ้าค่ะ”
อวี้อาเหราพยักหน้าแล้วก็หันกลับมา จึงเห็นว่าค่อยๆ มีเงาคนเดินออกมาจากม่านกันลมของตัวตำหนัก เสื้อผ้าลากไปยังพื้นดินเพราะหนักอึ้ง หรือว่านี่จะเป็นประมุขของพระอารามจีซู? นางมองฉู่ป๋ายด้วยความลังเลใจ เห็นว่าเขาทำเพียงพยักหน้า
บรรยากาศเงียบงันไร้เสียง จวินอู๋เหินกลับหัวเราะออกมา “แม้แต่โฉมหน้าก็ยังไม่กล้าที่เปิดเผย ยังกล้าบอกว่าเป็นผู้รู้ทุกเรื่องของโลกใบนี้ คงจะเป็นเพียงเรื่องแหกตาเท่านั้นกระมัง!”
“ท่านอ๋องน้อยจวิน” ในที่สุดผู้ที่อยู่หลังฉากกั้นก็ขยับแล้ว น้ำเสียงที่เปล่งออกมาฟังดูวังเวงและแหบพร่า ผู้ที่อยู่ด้านหลังของฉากกั้น ไม่รู้ว่ามีหน้าตาอย่างไร เมื่อได้ฟังคำยั่วยุของจวินอู่เหินแล้วก็ไม่ได้เผยอารมณ์โกรธเคืองออกมาให้เห็นเลยแม้แต่น้อย ได้ยินแต่เสียงพูดที่เนิบนาบเท่านั้น
“เคยได้ยินมาว่าคนเรามิอาจตัดสินด้วยหน้าตาดังเช่นธาราในทะเลมิอาจตวงวัดหรือไม่? ดูแล้วท่านอ๋องน้อยจวินนั้นช่าง…”
ตื้นเขินหรือ? แบบนี้เท่ากับด่าจวินอู๋เหินทางอ้อมมิใช่หรืออย่างไร!
จวินอู๋เหินโกรธเคืองขึ้นมาในทันที จากนั้นก็ชะงักไป “เจ้ารู้ถึงสถานะของข้าได้อย่างไร”
“หากข้าไมรู้ จะเป็นประมุขของพระอารามจีซูแห่งนี้ได้อย่างไร?” หลังจากคนผู้นั้นเอ่ยจบแล้ว ท่าทีก็เปลี่ยนไปเป็นรำคาญใจในทันที น้ำเสียงยังเปลี่ยนไปเป็นเฉยชา “ทุกท่านมีเรื่องอะไรก็ให้รีบถามเถิด ที่นี่ไม่ใช่สถานที่ที่จะมามัวเสวนาเรื่องดินฟ้าอากาศได้”
อวี้อาเหรามองทุกคน จากนั้นก็มองไปยังคนที่อยู่หลังม่าน “ให้ถามตรงนี้น่ะหรือ?”
“แน่นอนว่าไม่ใช่ หากคุณหนูรองไม่สะดวก ก็ถามเป็นการส่วนตัวได้” คนผู้นั้นตอบ
รู้สถานะของนางจริงๆ ด้วย! ใจของอวี้อาเหรากระตุกแรงมากยิ่งขึ้น ประมุขของพระอารามจีซูแห่งนี้คงจะพอมีฝีมืออยู่บ้าง หลังจากสงบจิตใจแล้ว ก็หันไปบอกคนที่อยู่ข้างๆ ว่า “พวกเจ้าออกไปก่อน ข้ามีเรื่องที่จะถามเขาเป็นการส่วนตัว”