TQF:บทที่ 518 คนชนะได้ตัดสินใจ ในที่สุดก็หาเจอ (1)

โม่ซวนซุนไม่รู้จักตาเฒ่าคนนี้จริงๆ ไม่ใช่รู้แต่แกล้งถาม

ส่วนผู้ฝึกตนวิถีมารคนอื่นยังพิจารณาโม่ซวนซุนและเฉิงเสี่ยวเสี่ยวที่ยังดูหนุ่มสาวอยู่มาก ชื่อของพวกเขาเรียกได้ว่าดังก้องไปทั่วเมืองโลกทมิฬ

ตอนนี้ได้เห็นพวกเขาเป็นครั้งแรก ในสายตาพวกเขามีความตกใจ งุนงง ไม่เข้าใจ ดูถูก ดููหมิ่น ไม่ใส่ใจ อิจฉา สายตาเหล่านี้ได้เปิดโปงสิ่งที่อยู่ในใจพวกเขาไว้เปราะหนึ่ง

โดยเฉพาะผู้ฝึกตนวิถีมารที่ยังหนุ่มอยู่ เมื่อเห็นเฉิงเสี่ยวเสี่ยวอดมีท่าทีเคลิบเคลิ้มไม่ได้ สายตาโลมเลียสอดส่องไปทั่วตัวนาง

โม่ซวนซุนรู้ตัวทันที หน้าหล่อเหลาของเขาเย็นยะเยือกลง สายตาครมกริบราวกับน้ำแข็งกวาดไปยังคนหนุ่มพวกนั้น ทำให้สีหน้าพวกเขาเปลี่ยนไปทันที รู้สึกถึงบรรยากาศดุดันที่ปะทะเข้ามา อดตัวสั่นขวัญผวาไม่ได้

คนอื่นกลับไม่ได้รู้สึกถึงเหตุการณ์นี้ เพราะว่าโม่ซวนซุนต้องการปะทะแค่ไม่กี่คนเท่านั้น เขาไม่ให้คนอื่นรู้ คนอื่นก็ย่อมไม่รู้

เฒ่าผีที่ยืนอยู่ตรงกลางหัวเราะเล็กน้อย สายตาของเขากวาดผ่านเจ้านิกายฉินและเจ้าเขาจี้ เห็นได้ชัดว่าเขารู้จัก 2 คนนี้

เจ้านิกายฉินมองเขาตรงๆ ก่อนจะหันไปบอกคนข้างๆ “คุณชายโม่ เขาก็คือหัวหน้ากลุ่มเทียนยี กุ่ยจินไฉ คนบ้าๆที่รักเงินเท่าชีวิต”

เฒ่าผีไม่ได้มีท่าทีไม่พอใจกับน้ำเสียงรังเกียจที่อีกฝ่ายแนะนำตัวเอง ราวกับคาดการณ์ไว้แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้

“ที่แท้ก็อาวุโสกุ่ยนี่เอง” เขาประสานมือเอ่ยเรียบๆ แม้โม่ซวนซุนจะไม่เคยพบเขามาก่อน แต่ว่าชื่อเสียงของเฒ่าผีกลุ่มเทียนยีเขาก็เคยได้ยินอยู่

เฒ่าผีไม่ได้ดูแคลนโม่ซวนซุนเพราะฐานะ ตรงกันข้าม สีหน้าเขาเหมือนคุยกับสหายตัวเอง “ในเมื่อคุณชายโม่และคุณหนูเฉิงมาถึงที่นี่แล้ว ถ้าอย่างนั้นเรื่องนี้ต้องได้รับการแก้ไขแล้วใช่มั้ย”

“ถูกต้อง ต้องแก้ไขแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะทุกท่านส่งคนไปป่วนชีวิตของประชาชนในเมืองต่างๆ บางทีพวกเราก็คงไม่มีเหตุจำเป็นให้ต้องพบกัน”

โม่ซวนซุนพยักหน้าและเอ่ยต่อ “ในเมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว พูดมากไปก็เปล่าประโยชน์ วันนี้มาตัดสินแพ้ชนะกันที่นี่เถอะ เฒ่าผีและหัวหน้ากลุ่มทุกท่านคิดว่าอย่างไร”

“ควรจะเป็นแบบนี้” เฒ่าผีพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ไม่จำเป็นต้องยื้อต่อไป เชื่อว่าทุกท่านก็เข้าใจดีว่าทำไมพวกเราถึงต้องมาอยู่ในสถานการณ์ที่รบราฆ่าฟันแบบนี้ ข้อเรียกร้องอย่างอื่นพวกเราจะยังไม่พูดถึง แค่อยากรุ้ว่าทุกท่านจะให้พวกเราไปใช้ชีวิตอยู่ที่ไหน มีเงื่อนไขชีวิตอะไรบ้าง ถ้าหากพวกเราพอใจพวกเราก็ไม่จำเป็นต้องมารบรากันอีกให้เป็นบาปเป็นกรรม คุณชายโม่ว่าถูกมั้ย”

ไม่รบอีก?

มันจะเป็นไปได้อย่างไร อิทธิพลของเมืองโลกทมิฬจำเป็นต้องถูกกำจัด ไม่อย่างนั้นจะไม่ให้พวกเขาเข้าไปเด็ดขาด

ทุกคนต่างรู้ภารกิจตัวเองในครั้งนี้ สายตาเย็นยะเยือกทิ่มแทงไปที่อีกฝ่าย

สำหรับเรื่องนี้โม่ซวนซุนเองก็รู้ดี เขายิ้มเล็กน้อยพลางตอบ “ตอนนี้เมืองโลกทมิฬยังไม่สามารถโยกย้ายได้….”

“ถุยย….”

ชายร่างสูงใหญ่ราวเจดีย์เหล็กตะโกนลั่นขัดคำพูดของโม่ซวนซุนไว้ เขาชี้หน้าโม่ซวนซุนพลางตะโกน “ไอเด็กเวร แกตั้งใจมารนหาที่ตายใช่มั้ย ถ้าพวกเราไม่ได้ย้ายออกจากที่เฮงซวยนี้แล้วที่พวกเราสู้กันแทบตายนั่นทำไปเพื่ออะไรกัน”

ไม่ใช่แค่ชายเจดีย์เหล็กนี้ที่ไม่พอใจ ผู้ฝึกตนวิถีมารคนอื่นๆก็ไม่พอใจเช่นกัน มาถึงขั้นนี้แล้ว พวกเขากลับไม่ยอมให้ตัวเองย้ายออก จะให้พวกเขายอมได้อย่างไร

อย่าว่าแต่ผู้ฝึกตนวิถีมารด้านหลังจะไม่ยอมเลย แม้แต่หัวหน้ากลุ่มทั้ง 10 ก็มีสีหน้าที่เคร่งขรึมขึ้น อย่างไรซะพวกเขาก็คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายไม่ได้สนใจเลยว่าพวกเขาจะเป็นตายร้ายดียังไง

เท่ากับว่าคนนับล้านของพวกเขาตายฟรี

“แม่มเอ๊ย พวกเขาไม่เห็นพวกเราอยู่ในสายตา พวกเราไม่ต้องสนใจอะไรแล้ว เอามันให้ตายเลย”

“ทำไมถึงเป็นแบบนี้ ไหนว่าครั้งนี้พวกเขาจะให้ที่ใหม่เราไปอยู่ไม่ใช่หรือ”

“พวกเรายังต้องอยู่ที่นี่ต่อเหรอ แล้วพี่น้องของพวกเราตายฟรีเนี่ยนะ”

“ตกลงนี่มันยังไงกันแน่ หรือว่าพวกเราถูกหลอก”

“ไหนว่าจะมาแก้ปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัยของพวกเราไม่ใช่เหรอ หรือว่าไม่ใช่”

……

ผู้ฝึกตนวิถีมารระเบิดเหมือนเม็ดข้าวที่เพิ่งลงหม้อทันที พากันพูดเซ็งแซ่ สถานการณ์ไม่เหมือนกับที่พวกเขาคิดไว้นี่นา

เทียบกับความแตกตื่นของพวกเขาแล้ว คนฝั่งนี้แต่ละคนอย่างกับดูละครอยู่ เห็นการแสดงของพวกเขาแล้วไม่มีท่าทีแปลกใจกันเลย

“เอาล่ะ ทุกคนเงียบหน่อย” เสียงของเฒ่าผีดังขึ้น กลบเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของผู้ฝึกตนวิถีมารลง ทุกอย่างเงียบลงในไม่ช้า

สีหน้าเฒ่าผียังคงเย็นชา ราวกับไม่ได้โกรธอะไรกับคำพูดของโม่ซวนซุน สายตาของเขาจ้องอีกฝ่ายอยู่ตลอด “คุณชายโม่ สถานการณ์ของเมืองโลกทมิฬ ท่านไม่รู้รึ”

————————————-