TQF:บทที่ 517 บางคนปรากฏตัว (2)

1 เค่อต่อมา

สาสน์สงคราม! สาสน์สงครามสีดำถูกส่งเข้ามา

ทุกคนในโรงเตี๊ยมได้รับสาสน์สงครามที่หัวหน้ากลุ่มทั้ง 10 ส่งมาอีกครั้ง

ในที่สุดพวกเขาก็เตรียมพร้อมแล้ว

ทุกคนที่อยู่ ณ ที่นี้ไม่ได้พูดอะไรออกมาเมื่อเห็นเนื้อหาในสาสน์ สายตาตกไปอยู่ที่เฉิงเสี่ยวเสี่ยวและโม่ซวนซุน 2 คน

เฉิงเสี่ยวเสี่ยวไม่พูดอะไร คิ้วขมวดเหมือนกำลังใช้ความคิดอยู่

สีหน้าของโม่ซวนซุนไม่เปลี่ยนไป เอ่ยเรียบๆ “ทุกท่านเตรียมตัวให้ดี 1 ชั่วยามหลังจากนี้เตรียมรับแขกคนพิเศษ”

“เรื่องนี้ คุณชายเตรียมจะทำอย่างไร พวกเราจะวางแผนอย่างไรดี” ผู้เฒ่าหยิงเอ่ยปาก

เจ้าเขาจี้ก็เอ่ยถาม “คุณชายโม่ พวกเราควรจะเลือกสถานที่มั้ย แล้วค่อยวางแผนกัน”

“ไม่ต้องรีบ รอดูจำนวนคนที่พวกเขาเอามา ถ้าคนน้อยก็เชิญเข้ามา ถ้าคนเยอะละก็พวกเราทุกคนก็ต้องออกไปพบพวกเขาในขุนเขาข้างนอก ไม่ว่าพวกเขาจะทำอะไรพวกเราคอยดูแล้วปรับเปลี่ยนกลยุทธตามก็พอ ไม่มีอะไรให้ต้องกังวล”

“ขอรับ พวกเราทราบแล้ว”

ทุกคนพากันพยักหน้า ก็จริง การได้รับสาสน์สงครามครั้งนี้ไม่มีความจะเป็นอะไรที่จะต้องไปวางกับดัก วางกลอุบายเลย ถ้าพวกเขาจะมาเราก็แค่สู้ ไม่มีอะไรต้องคิดเยอะ

ในขณะนั้นเฉิงเสี่ยวเสี่ยวก็ทำการสื่อสารกับหยูเฮง หยูเฮงพูดด้วยความสมน้ำหน้า “คุณหนู ข้าไปวนรอบเมืองโลกทมิฬมาแล้ว พวกเขาไม่ได้อ่อนแออย่างที่พวกเราคิด จะสู้กับพวกเขาคงไม่ง่ายนัก”

เฉิงเสี่ยวเสี่ยวไม่แปลกใจกับพฤติกรรมไปเพล่นพล่านที่อื่นของหยูเฮง ดีซะอีกจะได้รู้ข่าวคราวด้านนอกจากนางด้วย

อีกอย่างด้วยความสามารถของนาง เฉิงเสี่ยวเสี่ยวไม่กลัวเลยที่นางจะถูกพบหรือเจอปัญหาอะไรเข้า เรียกได้ว่าในผืนดินนี้คนที่จะทำร้ายหยูเฮงได้มีน้อยมากจริงๆ ไม่จำเป็นต้องเป็นห่วงอะไรนาง

“เฮ่ะๆๆ” หยูเฮงหัวเราะเสียงพิลึก “คุณหนู มีเรื่องประหลาดใจสุดๆกำลังรอพวกเราอยู่ ต้องเป็นของดีแน่ๆ”

“พอแล้ว เลิกทำให้ข้าอยากรู้ได้แล้ว บอกมาเร็วๆเถอะว่ามันเป็นอย่างไรกันแน่” เฉิงเสี่ยวเสี่ยวรู้ว่านางต้องไปรู้อะไรมา

“คุณหนู รออีกแปปท่านก็รู้แล้ว ถือว่าให้ท่านได้ประหลาดใจไง”

“ไม่ต้องมาพูดล้อเล่น ถ้ารู้ก็รีบบอกเผื่อจะเกิดเรื่องที่ไม่คาดคิดขึ้น”

“ก็ได้ บอกก็บอก คุณหนู ข้าเพิ่งรู้ว่าผู้ฝึกตนวิถีมารและผีดิบที่เมืองโลกทมิฬส่งไปก่อเรื่องปั่นป่วนในเมืองต่างๆเป็นแค่เศษเดนเท่านั้น ของดีน่ะพวกเขาเก็บไว้ทีหลัง เดี๋ยวท่านก็จะได้รู้ว่าของดีของพวกเขาน่ะเก่งขนาดไหน”

“เจ้าหมายความว่าพวกเขายังซ่อนพลังไว้อีกเยอะ” เมื่อได้ฟังข่าวนี้สีหน้าของเฉิงเสี่ยวเสี่ยวเปลี่ยนไปเล็กน้อย

หน้าเล็กๆของหยูเฮงมีรอยยิ้มร้ายๆอยู่ พูดอย่างสมควรแล้ว “ยังต้องพูดอีกเหรอคุณหนู ท่านไม่รู้สึกแปลกบ้างเหรอ พวกผีดิบที่บุกเข้าแต่ละเมืองเมื่อช่วงก่อนเป็นระดับธรรมดาทั้งนั้น คุณหนูอย่าบอกนะว่าท่านไม่รู้ว่าผีดิบแบ่งระดับ ข้าจำได้ว่าท่านรู้”

“ระดับ…”

เฉิงเสี่ยวเสี่ยวชะงักไป นึกย้อนกลับไปถึงข้อมูลที่ตัวเองได้รับรู้มา พยักหน้าพร้อมกล่าว “เจ้าพูดถูก ผีดิบแบ่งระดับจริงๆ เหมือนจะเป็นระดับธรรมดา ระดับเจ้าแห่งผีดิบอะไรเทือกๆนี้ใช่มั้ย ที่จริงข้าก็ไม่ค่อยรู้อะไรมากเหมือนกัน”

“ถูกต้องคุณหนู ท่านไม่รู้จริงๆ” หยูเฮงพูดอย่างตั้งใจ “เกิดมาจากความโกรธแค้นจากฟ้าดิน ไม่แก่ ไม่ตาย ไม่ถูกทำลาย ถูกถอดทิ้งจากเส้นทางฟ้าดินมนุษย์ อยู่นอกกฏชีวีทั้ง 6 เตรดเตร่ไร้แหล่ง ถือแรงแค้นเป็นพลัง เลือดเนื้อเป็นอาหาร ใช้เลือดมนุษย์เพื่อระบายความเหงาอันไม่มีที่สิ้นสุด ไม่ถูกกฎชีวีควบคุม มีวันเวลาอันยาวนานไม่มีจบ”

“ผีดิบสามารถเกิดขึ้นได้ในธรมมชาติโดยไม่ตั้งใจ พวกนี้ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยนักแต่ก็ใช่ว่าจะไม่มี ที่เยอะที่สุดคือวิธีลับของผู้ฝึกตนวิถีมารที่เลี้ยงผีดิบขึ้นมาจากการทำให้ซากศพแข็งตัว พวกผีดิบที่ก่อเรื่องตามเมืองต่างๆเมื่อช่วงก่อนถือว่าเป็นผีดิบที่ไร้ความสามารถที่สุด กลัวแสงแดดแรงกล้า มันไม่มีความคิด ไม่มีอารมณ์ เป็นแค่ซากที่เดินได้ ทำได้แค่กระโดดไล่สิ่งมีชีวิต ดูดเลือดเพื่อมีชีวิตต่อ ไม่มีความสามารถอะไร ทำได้มากสุดก็แค่ยื่นมือไปบีบคอคนเพื่อดูดเลือด”

“ความสามารถพิเศษคือ ผีดิบเป็นสิ่งมีชีวิตที่อยู่นอกเหนือกฎชีวี เพราะฉะนั้นตาของพวกมันสามารถมองเห็นวิญญาณ ร่างวิญญาณ หรือแม้กระทั่งยมบาล ผีดิบทุกตัวมีความสามารถพิเศษที่แตกต่างกันไป ความสามารถพิเศษจะเปลี่ยนแปรงและแกร่งขึ้นเรื่อยๆตามระดับ”

“แน่นอนว่าพวกเขาจะเชื่อฟังและกลายเป็นทหารลี้ลับ ผีดิบชั้นต่ำจะมีนัยน์ตาสีดำ ที่จริงระดับของผีดิบแบ่งตามสีของนัยน์ตา สีตาเป็นสัญลักษณ์ที่เอาไว้แยกระดับของพวกผีดิบ สีที่แตกต่างกันก็คือระดับที่แตกต่างกัน แต่พวกผีดิบน่ะยิ่งรุ่นหลังก็ยิ่งอ่อนแอ”

“ผีดิบระดับต่ำสุดจะมีนัยน์ตาสีดำ แล้วยังผีดิบที่นัยน์ตาสีเทาด้วย พวกนี้จะอยู่ระดับสูงกว่าผีดิบนัยน์ตาดำ 1 ระดับ หลังจากนั้นก็เป็นผีดิบนัยน์ตาสีฟ้าหม่น ไม่กลัวแดด เหมาะจะเป็นทหารระดับล่าง ให้อยู่ใต้บัญชาของพวกผีดิบระดับสูง พลังของผีดิบพวกนี้เต็มที่ก็อยู่ในระดับนักรบหรือผู้ฝึกศิลปการต่อสู้”

“ระดับที่สูงกว่าผีดิบนัยน์ตาสีฟ้าหม่นก็คือผีดิบนัยน์ตาสีเหลือง มันสามารถรับการโจมตีจากสิ่งอื่นหรือการโจมตีเหนือธรรมชาติได้มาก พลังของพวกมันพอๆกับเทพยุทธ์ หลังจากนั้นก็คือผีดิบนัยน์ตาสีเงินและสีม่วง พลังของผีดิบ 2 ระดับนี้แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ถ้าหากได้ดูดเลือดมนุษย์ละก็จะคลั่ง ไม่สามารถประเมินพลังได้ จะเรียกว่าร่างเล็กก็ได้ เทียบเท่ากับเทพยุทธ์และราชันย์เทพยุทธ์ของพวกเรา”

“ที่เก่งที่สุดยังมีสีแดงและสีทอง ผีดิบ 2 ระดับนี้เก่งที่สุด เรียกได้ว่าเป็นเจ้าแห่งผีดิบ สามารถรับโจมตีได้ทุกรูปแบบทั้งจากสิ่งอื่นหรือจากธรรมชาติ เป็นร่างชีวิตที่อยู่ร่วมระดับกับฟ้าดิน มีพลังทำลายล้างและความเร็วที่ไม่สามารถวัดได้ ผีดิบนัยน์ตาสีแดงทุกตัวมีพลังหยินอยู่ สามารถใช้เป็นท่าโจมตีได้ พลังของพวกมันเทียบเท่าระดับจักพรรดิ์เทพยุทธ์หรือก่อเกิดราชันย์จักรพรรดิ์”

“ได้ข่าวว่ามีระดับกษัตริย์ผีดิบด้วย มันเป็นเหมือนเทพแห่งผีดิบ อยู่ระดับเดียวกับเทพเจ้าผู้สร้างจักรวาลนี้ขึ้น มีชีวิตที่ไม่มีวันจบ ไม่แก่ไม่ตาย คงความเยาว์วัยไว้ได้ตลอดไป แต่ว่าทุกระดับจะถูกสร้างโดยระดับที่เหนือกว่าตัวเอง ความแตกต่างระหว่างแต่ละระดับก็ราวฟ้ากับเหว ไม่สามารถข้ามพ้นไปได้ เพราะฉะนั้นการแบ่งระดับของผีดิบจึงเข้มงวดมาก และก็ไม่ง่าย ส่วนผีดิบระดับกษัตริย์แบบนี้ยากที่จะปรากฏขึ้น”

หยูเฮงบอกข้อมูลทุกอย่างเกี่ยวกับผีดิบออกไปรวดเดียว ในที่สุดเฉิงเสี่ยวเสี่ยวก็เข้าใจ สุดท้ายแล้วผีดิบก็คงอยู่ตลอดกาลได้

แต่ว่าสิ่งที่นางสนใจที่สุดในตอนนี้ไม่ใช่ระดับของผีดิบ จึงเปิดปากถามขึ้น “หยูเฮง เจ้าบอกความจริงมา ตอนนี้ในเมืองโลกทมิฬมีผีดิบระดับอะไรบ้าง แล้วก็พวกหุ่นเชิดด้วย”

“เอ่อ คุณหนู ร่างเดิมของผีดิบคือซากศพซึ่งก็ไม่มีอะไร หุ่นเชิดก็เหมือนกับพวกผีดิบนั่นแหละเข้าใจมั้ย”

“ก็ได้ ข้ารู้ว่าก็เป็นพวกบ้าๆที่ถูกควบคุมอยู่ทั้งนั้น ข้าไม่สนหรอกว่าจะเป็นหุ่นเชิดหรือเป็นผีดิบ เจ้าบอกเรื่องที่เจ้ารู้มาเดี๋ยวนี้ จะได้ไม่เกิดอะไรที่ไม่คาดคิด”

“ได้ บอกท่านก็ได้ ข้าพบว่าผู้ฝึกตนวิถีมารที่อยู่ระดับราชันย์เทพยุทธ์จนถึงจักพรรดิ์เทพยุทธ์น่ะมีกันอย่างน้อยหลักหมื่น และพวกเขาก็เป็นตาแก่อายุหลายร้อยปีด้วย ไม่ใช่คนที่จัดการได้ง่ายๆแน่ แล้วก็ผีดิบที่พูดถึงเมื่อกี้ ข้าพบว่ามีนัยน์ตาสีม่วงและสีแดงอย่างน้อย 5 หมื่นตัว ขอบ้าๆแบบนี้ยากจะสู้ด้วย ข้ากลัวว่าตาแก่ข้างนอกนั่นจะจัดการพวกนี้ไม่ได้”

“หยูเฮง ของพวกนี้เราใช้ไฟเผาได้มั้ย” แม้เฉิงเสี่ยวเสี่ยวจะกังวลแต่ก็ไม่ถึงกับสติหลุด เรื่องพวกนี้นางก็คาดการณ์ไว้อยู่ก่อนแล้ว

หยูเฮงตอบกลับ “ได้น่ะมันก็ได้ ต้องดูว่าใช้ไฟอะไรเผา ข้าว่าอย่างน้อยๆก็ต้องใช้ไฟเจินเว่ยของระดับก่อเกิดราชันย์จักรพรรดิ์เท่านั้นถึงจะเผาพวกผีดิบระดับสูงนั่นได้”

“วางใจเถอะ เรามีวิชาสะกดอีก ถึงเวลาให้พวกสัตว์ศักสิทธิ์วางวิชาสะกดแล้วเราค่อยเผาพวกมัน”

“ใช่แล้วๆ…”

1 คน 1 ภูติคุยกันอยู่ โม่ซวนซุนเห็นคนข้างๆไม่ได้พูดอะไรเลยจึงถามขึ้น “เสี่ยวเสียว เป็นอะไรไป มีข้อเสนอแนะอะไรรึเปล่า”

“ข้า ไม่มี” เฉิงเสี่ยวเสี่ยวตอบกลับเบาๆ หันไปมองทุกคน ใช้ความคิดก่อนจะเอ่ยขึ้น “เมื่อกี้หยูเฮงค้นพบปัญหาบางอย่างที่ทุกคนต้องระวังกันหน่อย ในเมืองโลกทมิฬนอกจากจะมีพวกตาแก่ไม่น้อยแล้ว ยังมีผีดิบระดับสูงด้วย สถานการณ์ก็คือ….”

เฉิงเสี่ยวเสี่ยวบอกข้อมูลที่รู้มาจนหมด ให้ทุกคนพอรู้เท่าทันจะได้ไม่เกิดเรื่องที่ไม่คาดฝัน

เวลาเดินไปเรื่อยๆในขณะที่พวกเขาสนทนาขึ้น พริบตาเดียวก็ถึงเวลานัดหมาย

“พวกเขามาแล้ว….”

โม่ซวนซุนเลิกคิ้วเบาๆ “มากันไม่น้อยเลย ท่าทางพวกเราจะต้อนรับพวกเขาที่นี่ไม่ได้แล้ว ฉะนั้นทุกคนออกไปต้อนรับแขกพิเศษของเราข้างนอกกันเถอะ”

ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยตา คนที่อยู่ที่นี่ไม่มีใครธรรมดาทั้งนั้น ทุกคนปล่อยจิตออกไปก็รู้แล้วว่าสถานการณ์ข้างนอกนั่นเป็นอย่างไร

ผู้ฝึกตนวิถีมารนับหมื่นปรากฏขึ้นเรียงราย สีดำทะมีนเป็นแถบ พลังมารคละคลุ้งไปทั่วราวกับเมฆครึ้ม ในสายตาของเฉิงเสี่ยวเสี่ยวเหมือนกันอีกาตัวใหญ่ ดูยังไงก็ทำให้ไม่สบายใจ

ทุกคนพยักหน้าและพากันลุกขึ้นไปด้านนอกตำบล

คนที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์จงหยวนส่งมาในครั้งนี้มีประมาณ 1 หมื่นคนเท่านั้น และยังมีหลายสิบท่านที่บาดเจ็บด้วย จำนวนคนไม่สามารถเทียบกับอีกฝ่ายได้

เฉิงเสี่ยวเสี่ยวออกมาหลายสิบลี้นอกตำบล ที่นี่เป็นพื้นที่ในเมืองโลกทมิฬแล้ว ทุกคนหยุดอยู่กลางอากาศ ไม่มีใครเข้าใกล้ ห่างกับฝ่ายตรงข้าม 10 กว่าเมตร

คนของทั้ง 2 ฝ่ายจึงมาเจอกันอย่างเป็นทางการที่นี่

“ทั้ง 2 ท่านคือคุณหนูตระกูลเฉิงแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์จงหยวนและคุณชายโม่แห่งวิหารสวรรค์รึเปล่า” ผู้เฒ่าคนหนึ่งมองไปยังชาย 1 หญิง 1 ที่พวกตาแก่โอบล้อมไว้อยู่ตรงกลาง

จะว่าไปไอนี่เหมือนรู้อยู่แล้วแต่แกล้งถาม แกล้งโง่ รู้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายเป็นใครยังจะเอ่ยปากถาม

เฉิงเสี่ยวเสี่ยวไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่มองไปยังฝ่ายตรงข้าม

“ถูกต้อง พวกเราเอง อาวุโสผู้นี้คือ…”