ตอนที่ 633 ชนะติดต่อกัน

ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ

“ข้ารู้มาว่าพวกเขาเรียกคนมากว่ายี่สิบคน ถึงแม้ว่าเจ้าจะเป็นยอดปรมาจารย์นักปรุงยา แต่เจ้าก็ไม่อาจรับมือกับการประลองแบบผลัดเวียนได้ หากพลังจิตของเจ้าหมดลง เกรงว่าเจ้าจะพ่ายแพ้เอาได้นะ!” ผู้อาวุโสสูงสุดกล่าวอย่างกังวลใจ

“ในเมื่อข้ากล้าประลอง ข้าย่อมมีความมั่นใจแน่นอน พวกท่านคอยดูเอาเถอะ!” มู่เฉียนซีกล่าวตอบ

การประลองในครั้งนี้จัดขึ้นที่สนามปรุงยา

หน่วยสำนักปรุงยาได้หยุดเรียนพร้อมกัน นั่นก็เป็นเพราะว่าพวกเขาต้องการทำให้มู่เฉียนซีพ่ายแพ้และอับอายขายหน้าต่อหน้านักเรียนทุกคน ดังนั้นนักเรียนของหน่วยสำนักปรุงยาเกือบทุกคนก็ได้มาร่วมชมการประลองในครั้งนี้

ภายใต้การนำพาของรองอาจารย์ใหญ่ อาจารย์แต่ละคนต่างก็ต่อแถวกันเดินมา แม้กระทั่งอาจารย์ที่ปลดเกษียณแล้วของหน่วยสำนักปรุงยาที่ใกล้จะต้องฝังศพแล้วก็ยังถูกเขาเชิญมา

นักเรียนห้องเจ็ดกำลังนับจำนวนคนอยู่ “หนึ่ง สอง……ยี่สิบแปด! รองอาจารย์ใหญ่หมูอ้วนผู้นี่ช่างไร้ยางอายเกินไปแล้วถึงได้เรียกคนมามากมายเช่นนี้”

“เจ้าว่า ท่านอาจารย์มู่จะชนะหรือไม่ ?” จ้านเทียนอวี้กล่าวถาม

“หากเป็นมนุษย์ธรรมดาทั่วไป ต้องพ่ายแพ้ไปอย่างน่าสังเวชแน่ แต่ท่านอาจารย์มู่ของพวกเราใช่มนุษย์ซะที่ไหนกันเล่า เขาเป็นปีศาจ ต้องชนะแน่นอน”

“อืม! นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว!”

ในขณะที่ชายหนุ่มผู้รูปงามราวกับภูตปีศาจได้ปรากฏตัวต่อหน้าพวกเขา สายตาของทุกคนต่างก็จ้องมองไปที่นาง

มู่เฉียนซีกล่าว “รองอาจารย์ใหญ่ คนของท่านมาครบแล้วใช่ไหม! แล้วจะเริ่มการประลองได้หรือยังล่ะ ? ข้าไม่อยากจะเสียเวลาไปมากกว่านี้แล้ว”

รองอาจารย์ใหญ่ทำเสียงฮึดฮัดออกทางจมูก ก่อนจะกล่าวว่า “เจ้าหนู เจ้าอย่าได้อวดดีเกินไป ยังไงวันนี้เจ้าก็ต้องพ่ายแพ้แน่นอน”

“การประลองครั้งนี้ ผู้ใดที่หลอมยาระดับสูงกว่า และบริสุทธิ์มากกว่าก็นับว่าเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติ ท่านว่าเช่นไร ?”

“แน่นอนอยู่แล้ว! ผู้ตัดสินก็มากันครบแล้ว” รองอาจารย์ใหญ่กล่าว

“เช่นนั้นก็มาเริ่มกันเถอะ!”

คนแรกที่ถูกส่งตัวออกมาก็คือนักปรุงยาระดับสูงผู้หนึ่ง

เขาเอาหม้อยาออกมา เตรียมสมุนไพรวิญญาณพร้อมแล้ว แต่มู่เฉียนซียังคงเฉยเมยราวกับทองไม่รู้ร้อน

หลังจากที่เขาเริ่มปรุงยา มู่เฉียนซีถึงจะเอาหม้อเทพปาฮวางชิงมู่ออกมา จากนั้นก็เริ่มปรุงยา

กิริยาท่าทางของมู่เฉียนซีนั้นกระทำได้อย่างรวดเร็วจริง ๆ จนทุกคนไม่ทันได้มีปฏิกิริยาตอบสนองเลย

เวลายังไม่ถึงครึ่งชั่วยาม มู่เฉียนซีก็ได้หลอมยาเม็ดหนึ่งออกมาได้สำเร็จสมบูรณ์แล้ว

มู่เฉียนซีกล่าว “เปลี่ยนคนได้แล้ว”

ทุกคนล้วนแต่ตกตะลึงพรึงเพริด เหตุใดถึงได้รวดเร็วเช่นนี้ ?

รองอาจารย์ใหญ่กล่าว “เจ้าใช้เวลาสั้น ๆ เช่นนี้ คงจะหลอมยาออกมาได้ไม่ดีแน่นอน! และยาที่อาจารย์เก๋อหลอมออกมา ต้องดีกว่าของเจ้าแน่ เจ้าแพ้แล้ว ยังต้องประลองสนามต่อไปอีกเหรอ ?”

มู่เฉียนซีกล่าว “ยาของข้า ท่านผู้ตัดสินตรวจสอบได้!”

ผู้ตัดสินรับเม็ดยาของมู่เฉียนซีมาตรวจสอบ “ยาระดับแปด บริสุทธิ์เต็มร้อย เป็นยาที่ดีที่สุด!”

“ยาดีที่สุด!”

นั่นหมายความว่ายาที่ต่ำกว่ายาระดับแปด นางชนะแน่นอน

รองอาจารย์ใหญ่กล่าว “อาจารย์เก๋อเป็นถึงนักปรุงยาระดับสูง ยาที่เขาหลอมออกมาต้องเป็นยาที่ดีที่สุด!”

มู่เฉียนซีส่ายหน้าพลางกล่าว “รองอาจารย์ใหญ่ ถึงแม้ว่าท่านจะไม่เข้าใจในเรื่องการปรุงยา แต่ท่านก็น่าจะพอมีความรู้เรื่องหยูกยามาบ้าง ในฐานะที่เป็นถึงรองอาจารย์ใหญ่ของหน่วยสำนักปรุงยา หากไร้ความรู้จนเกินไป มันจะดูไม่ดีเอานะ!”

สีหน้าของรองอาจารย์ใหญ่เขียวคล้ำด้วยความโกรธ “นี่เจ้า……เจ้าว่าใครไร้ความรู้!”

มู่เฉียนซีหันไปมองนักเรียนห้องเจ็ด และกล่าวว่า “พวกเจ้าบอกรองอาจารย์ใหญ่ไปหน่อยซิ ว่ายาที่อาจารย์เก๋อหลอมออกมานั้นคือยาอะไร ?”

นักเรียนห้องเจ็ดตอบพร้อมกันว่า “สมุนไพรที่อาจารย์เก๋อใช้ก็คือรากสมุนไพรซาวเย่า โป่งรากสน อีกทั้งยังมี……”

“เพราะฉะนั้นยาที่เขาหลอมออกมาก็คือยาบัวหอม เป็นยาระดับเจ็ด!”

นักเรียนห้องอื่นต่างก็หันไปมองนักเรียนห้องเจ็ดห้องที่เคยได้ชื่อว่าเป็นสวะไร้ประโยชน์ด้วยความประหลาดใจ เพียงแค่ดูจากสมุนไพรวิญญาณที่ใช้ และระดับการใช้เปลวไฟในการหลอม ก็สามารถรู้ได้ว่าเป็นยาชนิดใด

มู่เฉียนซีกล่าว “ท่านดูสิ เรื่องที่ทุกคนรู้ แต่ท่านผู้เป็นรองอาจารย์ใหญ่กลับไม่รู้”

สีหน้าของรองอาจารย์ใหญ่ยิ่งทวีความเขียวคล้ำขึ้นเรื่อย ๆ เขากล่าวว่า “ข้าไม่ใช่นักปรุงยา การเป็นรองอาจารย์ใหญ่ก็เพียงแค่จัดการเรื่องราวต่าง ๆ แน่นอนว่าไม่รู้เกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ อีกอย่าง ข้าจะไปรู้ได้เช่นไรว่าเจ้าจะสมรู้ร่วมคิดกับนักเรียนของเจ้าหรือไม่ ยายังไม่ทันได้หลอมออกมา ยังยืนยันเช่นนั้นไม่ได้!”

ผู้อาวุโสสูงสุดกล่าว “เป็นยาบัวหอม ยาระดับเจ็ด เจ้าอย่ามาทำให้อับอายขายหน้าที่นี่เลย คนต่อไป!”

สีหน้าของรองอาจารย์ใหญ่ยิ่งดูไม่ดีขึ้นเรื่อย ๆ ทำได้เพียงแค่ส่งคนต่อไปออกไปรับมือต่อ

ปล่อยให้มันอวดดีไปก่อนเถอะ รอให้ถึงตอนที่หลอมยาออกมามากจนพลังจิตหมดไป ดูสิว่ามันจะมีหน้ามาอวดดีอีกหรือไม่

ต่อมาคนที่สอง ฝ่ายตรงข้ามยังไม่ทันได้หลอมยาเสร็จ แต่มู่เฉียนซีก็หลอมยาระดับสูงกว่าเขาออกมาได้สำเร็จอีกครั้ง เป็นยาที่มีประสิทธิภาพสูงกว่า และนางยังคงทำสำเร็จในเวลาที่ยังไม่ถึงครึ่งชั่วยามเช่นเดิม

รองอาจารย์ใหญ่กระวนกระวายใจขึ้นจึงได้ปรึกษาหรือกับอาจารย์ท่านอื่น ๆ

“พวกเจ้าหลอมยาที่มันดูไม่ออกไม่ได้หรือไง ?”

“สายตาของจ้าเด็กนั่นเฉียบแหลมเกินไปแล้ว ดูเหมือนว่าจะไม่มียาชนิดใดที่เขาไม่รู้จักเลย”

“หากจะหลอมยาให้มีประสิทธิภาพดีกว่านี้ พวกข้าก็ไม่มีความมั่นใจ หลอมยาออกมาล้มเหลวก็แพ้อยู่ดี!”

นักเรียนห้องเจ็ดต่างก็ตื่นเต้นขึ้นเป็นอย่างมาก “คนที่หนึ่ง คนที่สอง……คนที่สิบแล้ว!”

“การต่อสู้วรยุทธ์แบบผลัดเวียนก็ไม่ได้เจ๋งอะไรเลย การประลองปรุงยาแบบผลัดเวียนนี่สิถึงจะเจ๋ง และยอดเยี่ยมอย่างแท้จริง การปรุงยามันเป็นเรื่องของการสูญเสียพลังจิต แต่ท่านอาจารย์มู่ก็ยังสามารถเอาชนะแบบผลัดเวียนได้”

“นี่ไม่ใช่ความมั่นใจในชัยชนะ แต่เป็นการฆ่าภายในชั่วพริบตาเดียวต่างหากล่ะ!”

ระดับของอาจารย์เหล่านี้เป็นเพียงแค่นักปรุงยาระดับสูงเท่านั้น ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมู่เฉียนซีเลย และตอนนี้ก็มาถึงตาของตาเฒ่าปรมาจารย์นักปรุงยาระดับต่ำแล้ว

จากนี้การปรุงยาล้วนแต่เป็นยาระดับปฐพีทั้งสิ้น หมากกระดานสำคัญกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว

ก่อนหน้านี้ประลองกับนักปรุงยาระดับสูง พลังจิตของมู่เฉียนซีจึงไม่ค่อยได้สูญเสียไปมากเท่าไหร่ ครานี้ถึงเวลาต้องมารับมือกับปรมาจารย์นักปรุงยาระดับต่ำแล้ว

มู่เฉียนซียังไม่เคยรับมือกับปรมาจารย์นักปรุงยาระดับต่ำมาก่อน แต่ตอนนี้พลังวิญญาณของนางเพียงพอมากแล้ว อีกทั้งยังมีมรดกตกทอดมาจากนิรันดร์อีก นางไม่เชื่อหรอกว่าตนเองจะทำไม่สำเร็จ

การหลอมยาระดับปฐพีที่มีประสิทธิภาพสูงนั้น จำเป็นต้องใช้เวลาค่อนข้างมาก

เพราะว่ายาระดับปฐพีจำเป็นต้องใช้สมุนไพรวิญญาณที่ล้ำค่า อาจารย์เหล่านี้ก็ไม่ต้องการสิ้นเปลืองสมุนไพรวิญญาณมากเกินไป ดังนั้นประสิทธิภาพของยาจึงไม่สูงมากนัก

ของสะสมของมู่เฉียนซีนั้นมีมากมายและหลากหลาย ไม่จำเป็นต้องวางแผนในเรื่องเหล่านี้เลย และเมื่อยาได้หลอมออกมาสำเร็จ พวกเขาต่างก็พ่ายแพ้ไปทีละคน ๆ

ตั้งแต่รุ่งสางจวบจนตะวันตกดิน ดูเหมือนว่ามู่เฉียนซีจะไม่ได้หยุดพักเลย

หลังจากที่นักปรุงยาเหล่านั้นได้พ่ายแพ้การประลองไป ใบหน้าของทุกคนต่างก็ซีดเผือดราวกับได้สูญเสียพลังจิตไปจนสิ้นก็มิปาน

ส่วนมู่เฉียนซียังคงมีกำลังวังชาอยู่ ช่างวิปริตอย่างมิอาจเทียบได้!

ตลอดทั้งวันดูพวกเขายิ่งมีกำลังวังชา ไม่มีผู้ใดลุกออกไปจากสนามประลองเลยแม้แต่คนเดียว

“ต่อไปจะเป็นตาของปรมาจารย์นักปรุงยาระดับกลางแล้ว ปรมาจารย์นักปรุงยาระดับกลางมีทั้งหมดเจ็ดคน”

“เจ้าว่าท่านอาจารย์มู่จะใช้เวลานานเท่าไหร่ถึงจะเอาชนะตาเฒ่าเหล่านี้ได้!”

“ก่อนยามจื่อ ท่านอาจารย์มู่น่าจะชนะได้”

“วันนี้ข้าไม่นอนแล้ว ข้าจะต้องรอดูจนถึงประกาศผล”

“ร่างกายของท่านอาจารย์มู่จะรับไหวเหรอ ?” มีบางคนอดที่จะเป็นกังวลไม่ได้

หลอมยามาทั้งวัน ความเข้มข้นระดับนี้สำหรับมู่เฉียนซีแล้วไม่ได้สูงมากเลย เมื่อก่อนนางหลอมยาติดกันเป็นเวลาสามวันสามคืน นับว่าเป็นเรื่องปกติของนาง

มู่เฉียนซีกล่าวอย่างเกียจคร้านว่า “รองอาจารย์ใหญ่ ส่งปรมาจารย์นักปรุงยาระดับกลางของท่านออกมาเถอะ! รีบประลองจะได้รีบจบ ทุกคนเขาง่วงกันแล้ว”

รองอาจารย์ใหญ่ทำเสียงฮึดฮัดออกทางจมูกด้วยความไม่พอใจ ก่อนจะกล่าวว่า “มู่ซี เจ้าอย่าได้ลำพองใจเร็วไปหน่อยเลย”