เปาอีฝานพยักหน้าลงน้อยๆ “ข้าทราบแล้ว ขอบคุณ”
“ใช่แล้ว ข้าเปิดโรงหัตถกรรมหลังหนึ่งไว้ที่เมืองอุดร คิดจะหาคนทำกุนเชียงเสียหน่อย หลายปีมานี้กุนเชียงในตระกูลล้วนออกขายให้คุณชายเซี่ยมาตลอด ฉะนั้นข้าจึงเตรียมเขียนจดหมายให้เขาฉบับหนึ่ง รอขบวนม้าของตระกูลกลับไปก็ให้นำติดกลับไปด้วย ท่านไม่ติดใจที่ข้าจะนำเรื่องของท่านบอกเขาหรอกใช่หรือไม่”
คิดถึงเซี่ยเจียงเฟิง จูหลานและอันอี่หยวนทั้งสามคน บนใบหน้าเปาอีฝานเต็มไปด้วยความรำลึกถึง ส่ายหน้า “ไม่ติดใจ แม่หญิงเมิ่งบอกพวกเขาว่า หากมีเวลาว่างก็ให้พวกเขามาที่เมืองหลวงสักครั้งหนึ่ง หลายปีไม่ได้พบหน้า ข้าคิดถึงพวกเขาเหลือเกิน”
เมิ่งเชียนโยวพยักหน้า “ได้ วันนี้ข้าจะกลับไปเขียน พรุ่งนี้ขบวนม้าของตระกูลก็จะกลับแล้ว คาดว่าหลังจากที่ได้รับจดหมาย ผ่านไปไม่กี่วันพวกเขาก็คงจะรีบเดินทางมา”
“กำชับพวกเขาว่าไม่ต้องเร่งรีบ ตอนนี้อาการบาดเจ็บข้าสาหัสนัก ต่อให้พวกเขามาพวกเราก็ไม่อาจร่ำสุราสนทนาพาเพลินกับพวกเขาได้ ต้องขอให้พวกเขาผ่านไปสักช่วงระยะเวลาหนึ่งแล้วค่อยมาเถิด” เปาอีฝานพูด
เมิ่งเชียนโยวยิ้มพลางส่ายหน้า “พวกท่านสนิทสนมกันดุจพี่น้องสายเลือดเดียวกัน แล้วยังไม่ได้ติดต่อกันมาหลายปี ตอนนี้ได้ยินว่าท่านเกิดเรื่อง พวกเขานั่งนิ่งอยู่ได้ถึงจะแปลก ตอนนี้ท่านรักษาชีวิตเอาไว้ได้ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว ยังจะร่ำสุราสนทนาพาเพลินอีกหรือ ท่านอย่าได้คิดเชียว รักษาอาการบาดเจ็บให้ดีเถิด” เปาฮูหยินพยักหน้าเห็นด้วย “ใช่แล้ว ฝานเอ๋อร์ แม่หญิงเมิ่งพูดถูก ตอนนี้ท่านจะต้องรักษาอาการบาดเจ็บเสียก่อน รอพวกเขาทั้งหลายมาก ท่านจะได้มีเรี่ยวแรงต้อนรับพวกเขา”
เมิ่งเชียนโยวเอ่ยกำชับเปาฮูหยินและซูนฮุ่ยว่าจะต้องให้เปาอีฝานดื่มยาตรงเวลา จะต้องเคี่ยวโสมให้เขาดื่มลงไปทุกวัน พลางพูดว่า “โสมที่เหลืออยู่แม้จะมีอายุไม่ถึงร้อยปี แต่ฤทธิ์ยาก็ไม่เลวนัก เคี่ยวเสร็จแล้วให้คุณชายเปาดื่มวันละหนึ่งถ้วย ทานหมดแล้วก็มาบอกข้า”
โสมต้นหนึ่งมีค่าหลายพันตำลึง อายุร้อยปีขึ้นไปยิ่งมีมูลค่ากว่าพันชั่ง แม่หญิงเมิ่งพูดออกมาโดยไม่กะพริบตาว่าจะมอบให้จำนวนหนึ่ง ในใจของเปาฮูหยินและเปาชิงเหอซาบซึ้งเป็นอย่างมากอยู่แล้ว ได้ยินเมิ่งเชียนโยวพูดเช่นนี้ เปาฮูหยินก็รีบพูดว่า “ข้าไม่รู้ว่าจะต้องพูดเช่นไรดี พันประโยคหมื่นประโยคก็ไม่อาจแสดงถึงความตื้นตันใจที่ข้ามีได้”
เมิ่งเชียนโยวยิ้มพลางพูดว่า “ท่านป้าไม่จำเป็นต้องเกรงใจเช่นนี้ โสมเหล่านี้ข้าไม่ได้ใช้ตำลึงไปแลกมา มีคนมอบให้ ข้าเองก็ยืมดอกไม้มาถวายพระ นำมาให้คุณชายเปาได้ใช้”
แม้จะพูดเช่นนี้ แต่ของเหล่านี้ล้วนเป็นสมุนไพรชั้นดีที่หาได้ยาก นางนำออกมาทั้งหมดอย่างไม่ลังเล อาศัยเพียงความผูกพันระหว่างพี่น้องญาติมิตรนี้ก็มากพอที่จะทำให้คนตระกูลเปาซาบซึ้งอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
เกรงว่าเปาฮูหยินจะพูดคำพูดซาบซึ้งใจอะไรออกมาอีก เมิ่งเชียนโยวรีบพูดว่า “ในเมื่อคุณชายเปาไม่ได้มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้ว ข้าเองก็จะไม่รั้งตัวอยู่นานนัก ยังมีเพื่ออีกคนหนึ่งที่ร่างกายไม่ค่อยสบายเท่าไรนัก ข้าจะไปดูที่จวนสักครั้ง”
ดูอาการบาดเจ็บให้คนป่วยเป็นเรื่องสำคัญ เปาฮูหยิน เปาชิงเหอและซุนฮุ่ยจึงไม่ได้รั้งตัวนางให้อยู่รับประทานอาหารเย็น ทั้งสามคนเดินออกไปส่งนางหน้าประตูจวน เห็นนางนำชิงหลวนและจูหลีเดินห่างออกไปไกล แล้วถึงได้หมุนตัวเดินกลับเข้าไปในจวน
เมิ่งเชียนโยวเดินไปยังโรงหัตถกรรม หวงฝู่อี้เซวียนเดินวนรอบโรงหัตถกรรมไปแล้วรอบหนึ่ง
คนงานในโรงหัตถกรรมไม่รู้ตัวตนของเขา เห็นเขาสวมเสื้อผ้าหรูหราชั้นสูง คิดว่าจะต้องเป็นเพื่อนของเถ้าแก่ หลังจากที่มองเขาด้วยสายตานึกแปลกใจแล้วก็ไม่ได้ให้ความสนใจอะไรเขาอีก
หวงฝู่อี้เซวียนเพลิดเพลินไปกับบรรยากาศเช่นนี้มากนัก เหมือนตอนแรกที่ตนเองไปอยู่บ้านนอก
เมิ่งฉีเห็นเขา ก็นึกแปลกใจอยู่บ้าง ถามเขาเหตุใดถึงได้มากะทันหัน เพราะว่ามีเรื่องใดหรือไม่
หวงฝู่อี้เซวียนเล่าเรื่องเมิ่งเชียนโยวไปจวนตระกูลเปาเพื่อดูอาการบาดเจ็บให้เปาอีฝานรวมไปถึงอีกครู่หนึ่งตนเองจะไปจวนตระกูลเฝิงเป็นเพื่อนนาง เพื่อที่จะไปดูอาการเจ็บป่วยของเฝิงจิ้งเหวินให้ฟัง
เมิ่งฉีได้ยินว่าเขาจะตามไปจวนตระกูลเฝิงด้วย ถึงได้วางใจขึ้นพูดว่า “ไปกลับเช่นนี้ลำบากเจ้าแล้ว รอจนผ่านไปสองสามวันไม่มีอะไรแล้ว จะต้องให้น้องสาวทำของอร่อยสองสามอย่างให้ทาน”
หวงฝู่อี้เซวียนรอคอยความลำบากเช่นนี้ยิ่งนัก เมื่อเป็นเช่นนี้ทุกวันก็จะได้อยู่ค้างในห้องเมิ่งเชียนโยวแล้ว แน่นอนว่าคำพูดนี้เขาไม่กล้าพูดออกมา มิเช่นนั้นจะต้องถูกเมิ่งฉีหยิบมีดไล่ฆ่าไปทั่วโรงหัตถกรรมเป็นแน่ เขาพูดอย่างเอาจริงเอาจังว่า “พี่รองพูดอะไรกัน โยวเอ๋อร์เป็นสตรีของข้า ข้าไปรับส่งนางก็ถือเป็นเรื่องสมควร”
เมิ่งฉีมองเขาทีหนึ่ง ไม่ได้คิดเล็กคิดน้อยความหมายในคำพูดของเขา พูดว่า “จะปีใหม่แล้ว หากเรื่องแต่งงานของเจ้ายังถอนก่อนจะหมดปีไม่ได้ ข้าจะพาโยวเอ๋อร์กลับบ้านไปฉลองปีใหม่ สำหรับจะกลับมาหรือไม่ก็ต้องความคิดของท่านพ่อท่านแม่แล้ว”
หวงฝู่อี้เซวียนแสดงการรับประกัน “พี่รอง วางใจ ก่อนจะหมดปีข้าจะต้องสร้างความกระจ่างให้กับโยวเอ๋อร์เป็นแน่”
พูดจบประเด็นแล้วก็หยุด หลังจากนี้จะทำเช่นไรก็ถือเป็นเรื่องของหวงฝู่อี้เซวียนแล้ว เมิ่งฉีไม่ได้พูดอะไรอีก
หลังจากที่เมิ่งเชียนโยวมาถึง เมิ่งฉีก็เอ่ยกำชับสองสามประโยคให้นางรีบไปรีบกลับ มองดูพวกเขาออกจากโรงหัตถกรรมไป
หลังจากที่ทั้งสองคนขึ่นรถม้าไปแล้ว เมิ่งเชียนโยวก็เอ่ยสั่งจูหลี “เจ้ากลับจวนไปเอาเข็มเงินของข้ามา”
จูหลีรับคำ จากไปอย่างรวดเร็ว
ทั้งสองคนนั่งบนรถม้า เมื่อไปถึงจวนตระกูลเฝิงหวงฝู่อี้เซวียนก็ให้รถม้าหยุดลง พูดกับเมิ่งเชียนโยวว่า “ข้าจะรอเจ้าอยู่ที่นี่ เจ้ารีบออกมา”
คืนนี้ไม่เพียงแต่ดูอาการเจ็บป่วยให้เฝิงจิ้งเหวินเท่านั้น ยังมีเรื่องอื่นที่ต้องทำอีกด้วย ไม่รู้ว่าจะต้องใช้เวลานานเพียงใด เมิ่งเชียนโยวทำใจให้เขานั่งรออยู่ในรถม้าเช่นนี้ไม่ได้ พูดว่า “ข้าน่าจะต้องอยู่ในจวนตระกูลเฝิงเป็นระยะเวลาช่วงหนึ่งเลยทีเดียว หากท่านไม่มีธุระอะไร ก็ไปทานอาหารที่เหลาจวี้เสียนเสียหน่อย จากนั้นค่อยมารับข้า”
หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า “ดี หลังจากนี้หนึ่งชั่วยามข้าจะมารับเจ้า เจ้าเองก็พยายามให้เร็วเสียหน่อย”
เมิ่งเชียนโยวรับคำ ลงจากรถม้าของเขากลับขึ้นไปนั่งบนรถม้าของตนเอง
หวงฝู่อี้เซวียนมองดูนางเดินไปหน้าประตูจวนตระกูลเฝิงอย่างปลอดภัยถึงได้เอ่ยสั่งคนบังคับรถม้าให้บังคับรถม้าไปยังเหลาจวี้เสียน
รถม้ามาถึงหน้าประตูจวนตระกูลเฝิง เมิ่งเชียนโยวลงจากรถม้า ชิงหลวนก้าวขึ้นมาแสดงตัวตนของเมิ่งเชียนโยวให้คนดูแลประตูได้รับรู้ คนดูแลประตูรีบวิ่งเข้าไปรายงานด้านในด้วยความรวดเร็ว
ผ่านไปไม่นานเฝิงจิ้งซูก็รีบวิ่งนำหน้าออกมาก่อน คล้องข้อศอกเมิ่งเชียนโยวเอาไว้ด้วยความกระตือรือร้น เหวี่ยงแขนพานางเดินไปข้างใน “เมื่อครู่นี้ข้ายังพูดกับท่านพี่อยู่เลยว่าเหตุใดวันนี้เจ้าถึงยังไม่ได้ส่งคนมาบอกพวกข้า เพิ่งจะคุยกันจบเมื่อครู่นี้
เมิ่งเชียนโยวเดินตามนางเข้าไปในจวนนตระกูลเฝิง
เฝิงฮูหยินและเฝิงจิ้งเหวินมาช้ากว่าเล็กน้อย เร่งชักฝีเท้าเดินมาต้อนรับเช่นเดียวกัน เฝิงจิ้งเหวินพูดว่า “น้องโยวเอ๋อร์ เจ้าให้คนมาแจ้งข้าแค่คำเดียว ข้าก็จะให้คนไปที่จวนเจ้าก็พอแล้ว ยังต้องรบกวนเจ้าให้มาเองอีก”
เมิ่งเชียนโยวยิ้มพูดว่า “วันนี้ข้ามีธุระต้องจัดการแถวนี้พอดี เห็นว่าเวลาเย็นมากแล้วจึงได้ตรงมาที่นี่เลย จะได้ไม่ต้องให้พี่เฝิงเหนื่อยไปที่จวนข้าเอง ไม่ได้รบกวนพวกท่านหรอกกระมัง”
เฝิงจิ้งเหวินโบกมือ “ไม่รบกวนๆ ข้าคาดหวังให้เจ้ามาบ้านข้าเสียด้วยซ้ำ”
พูดจบก็แนะนำให้นางรู้จัก “นี่คือท่านแม่ข้า”
จากนั้นก็แนะนำเมิ่งเชียนโยว “ท่านแม่ นี่คือน้องโยวเอ๋อร์ที่ข้ามักจะพูดให้ท่านฟังอยู่บ่อยๆ”
เมิ่งเชียนโยวค้อมตัวทำความเคารพ “เฝิงฮูหยิน”
เฝิงฮูหยินรีบประคองนางเอาไว้ ยิ้มพลางพูดว่า “ข้ามักจะได้ยินเหวินเอ๋อร์และซูเอ๋อร์พูดถึงเจ้าอยู่ตลอด วันนี้ถือว่าได้พบหน้าเสียที ดีกว่าที่พวกนางพูดเสียอีก”
เมิ่งเชียนโยวพูดด้วยความเกรงใจ “ข้าเป็นเพียงเด็กน้อยจากบ้านนอก เพราะพี่เฝิงและน้องซูไม่นึกรังเกียจถึงได้นับถือกันเป็นพี่น้อง ถือเป็นเกียรติของข้ามากเจ้าค่ะ”