ตอนที่ 867 - คู่มือประหลาด

The Divine Nine Dragon Cauldron

DND.867 – คู่มือประหลาด
  สมบัติที่มีธาตุวารีนั้นยากที่จะได้มามันหายากพอๆกับการหาสายใยมังกร ซือหยูแอบดีใจที่เขาตัดสินใจมาอ่านตำราโบราณที่นี่
  เป็นเรื่องยากที่จะหาความรู้หายากจากตำราทั่วไปเพราะความรู้ที่ดีมักจะมีอยู่ในอารยธรรมโบราณเท่านั้นเรื่องหยกแก่นเพลิงที่ซือหยูได้พบนั้นเป็นที่น่ายินดี เทียบกันแล้ว ข้อมูลเรื่องคำสาปที่ได้ทำให้เขาไม่มีความมั่นใจเลย
  นั่นก็เพราะคำสาปนั้นเป็นปัญหายิ่งกว่าที่ซือหยูคิดเอาไว้มันคือมนต์ดำจากยุคโบราณที่ลึกลับและซับซ้อนถึงขีดสุด ว่ากันว่ามันถือกำเนิดมาจากเผ่าลึกลับที่ไม่เหมือนกับมนุษย์เลย
  คำสาปเหล่านี้มีความซับซ้อนและมีอยู่หลายชนิดมีมากกว่าล้านนคำสาปที่ถูกเขียนไว้ในบันทึกโบราณ
  ตัวอย่างของคำสาปก็คือคำสาปที่ซือหยูกำลังเจอคำสาปนี้จะกลืนกินดวงวิญญาณของเขาช้าๆ
  ยิ่งไปกว่านั้นหากมีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้น คำสาปจะระเบิดตัวเองและกลืนกินดวงวิญญาณทั้งดวงของซือหยูไปพร้อมกับจบชีวิตของเขาในพริบตา! คำสาปนี้อันตรายมาก!
  และเมื่ออรหันต์ผีที่ใช้คำสาปตายไปแล้วซือหยูก็ได้แต่พึ่งตัวเองในการล้างคำสาป เมื่อดวงวิญญาณของเขามีพลังเท่ากับจ้าวเทวะ เขาจะสามารถกำจัดคำสาปไปได้เองง นี่คือทางออกเดียวที่เขามี
  เมื่อรับรู้ถึงการเป็นอยู่ของคำสาปซือหยูตัดสินใจที่จะทำให้วิญญาณของตัวเองแข็งแกร่งขึ้น เขาต้องคว้าทุกโอกาสที่จะเพิ่มพลังดวงวิญญาณของตัวเอง นั่นรวมถึงการใช้วารีผงกลั่นดวงใจ
  เคราะห์ดีที่วัตถุดิบหลายชนิดที่ใช้ปรุงโอสถในมุกวิญญาณเก้าหยกเติบโตแล้วผลอันมหัศจรรย์ของดินเพาะบ่มชั้นสูงทำให้วัตถุดิบเติบโตเต็มที่ในไม่กี่วัน
  นอกจากหยกแก่นเพลิงและคำสาปซือหยูไม่พบข้อมูลเรื่องศิลาเลือดศักดิ์สิทธิ์ชำระวิญญาณ ซือหยูได้หาวัตถุดิบทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับศิลาในร้านตามเมืองแต่ก็ไม่มีศิลาเลือดศักดิ์สิทธิ์ชำระวิญญาณ ราวกับว่ามันไม่เคยมีตัวตนอยู่เลย
  “เทพปีศาจหลอกข้างั้นรึ?”
  ซือหยูโพล่งขึ้นมา
  ซือหยูเคลือบแคลงใจแต่เมื่อคิดถึงน้ำเสียงและท่าทางตกใจของเทพปีศาจ เขาก็รู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องโกหก
  หลังจากทำสมาธิซือหยูจ้องมองกองตำราเก่าตรงหน้า…แค่ตำราพวกนี้คงจะไม่พอ…
  เขารู้สึกเสียดายที่สวนตำราจี่เฉินมีตำราในเรื่องที่เขาอยากรู้มากที่สุดไม่มากพอสุดท้าย ตำราเดียวที่เขายังไม่ได้อ่านก็คือตำราปกสีทองที่กงซุนหวูซื่ออ่านไปก่อนหน้า
  ซือหยูพลิกหน้าตำราดูด้วยความสงสัยกลิ่นความเก่าแก่โชยออกมา
  “ยุคโบราณมันอะไรกััน?ทำไมมันถึงมีอารยธรรมเจริญรุ่งเรืองในอดีต แต่ไม่มีอะไรสืบทอดมาถึงตอนนี้?”
  ในตำราโบราณสิ่งต่างๆมากมายมิได้ถูกส่งต่อมายังยุคปัจจุบัน ซือหยูจะไม่รู้เรื่องความมหัศจรรย์ของหยกแก่นเพลิงมาก่อนเลยถ้าไม่ได้อ่านจากตำราโบราณ ยุคสมัยนี้ไม่มีการสอนหรือไม่ใครรู้เรื่องราวในอดีตมากนัก
  ซือหยูคิดถึงทวีปเฉินหลงที่เป็นบ้านเกิดมันคือทวีปรกร้างที่เฟื่องฟูเพราะการมาของเฉินอี้เจิง แต่น่าเศร้าที่ซือตี๋ทำลายมันจนหมดสิ้น
  เมื่อคิดถึงตรงนี้เขาก็คิดขึ้นได้…หรือว่าชะตาแบบเดียวกันจะเกิดกับอารยธรรมมนุษย์จิวโจวด้วย?
  ซือหยูอ่านตำราต่อไปขณะที่ยังคงสงสัยเขาอ่านมันต่อไปจนกระทั่งพบหน้าที่เปื่อยยุ่ยตามกาลเวลา มันยังคงดีในด้านนอก แต่หน้าตำราส่วนใหญ่นั้นเสียหายไปแล้ว เหลือไว้แค่เพียงข้อความจางๆ
  จุดจบของภูเขาภูติ…หนทางการเป็นพระเจ้า…การถือกำเนิดดารา…ไม่มีประโยคใดเลยที่ต่อเนื่องกันเหลือเพียงเศษเสี้ยวของประโยคที่ยังอยู่
  ซือหยูขมวดคิ้ว…นี่มันเรื่องอะไรกัน?
  เขามิอาจจับใจความได้แม้จะอ่านมานานเขาสงสัยว่ามันคือการแนะนำของบางสิ่งบางอย่างในยุคโบราณ แต่เขาก็บอกไม่ได้เพราะข้อความมันกระจัดกระจายเกินไป!
  ซือหยูยิ่งฉงนเมื่อพลิกหน้าตำราเขาไม่รู้เลยว่ากงซุนหวูซื่อพบอะไรถึงทำสีหน้ายินดีขนาดนั้น
  ต่อมาซือหยูก็เลิกอ่านข้อความเหล่านั้น เขาเพ่งสมาธิไปยังตัวหนังสือที่เขียนด้วยมือที่แทบจะมองไม่ออก
  หมึกที่เขียนบนกระดาษเลือนหายไปตามกาลเวลาเหลือไว้เพียงรอยกดของเครื่องเขียนผ่านไปอีกครึ่งชั่วโมงกว่าซือหยูจะได้เงื่อนงำ เขาใจเต้นแรงเมื่อประกอบข้อความในหน้ากลางได้
  เขาเข้าใจแล้วว่าตำรานี้คืออะไร!ตำรานี้ไม่ใช่ตำราที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวของยุคโบราณ
  แต่มันคือตำราเขียนด้วยมือที่เขียนโดยเหยามู่เต๋าเหรินมันคือบันทึกการเดินทางตลอดชีวิตของเขา
  หลังจากอ่านคำที่เขียนด้วยลายมือซือหยูพบว่าเหยามู่เต๋าเหรินเป็นปรมาจารย์เลื่องชื่อที่มีพลังเหนือกว่าอสูรเนรมิตรในยุคโบราณ พลังของเขาเทียบได้กับราชาเขต
  แต่เขาถูกเนรเทศไปยังสถานที่ที่เรียกว่าป่าปีศาจร้างมันคือสถานที่ที่บันทึกเล่มนี้ถูกทิ้งเอาไว้ ซือหยูตัวแข็งทื่อเมื่อพบว่าตำราเล่มนี้มีที่มาอันน่าทึ่ง!
  เขาได้แต่สงสัย…สมบัติจากปรมาจารย์เลื่องชื่อและแข็งแกร่งผู้ก้าวข้ามอสูรเนรมิตรและโลดแล่นมาทั่วจิวโจวย่อมต้องแข็งแกร่ง!
  ซือหยูอ่านต่อไปโดยหวังว่าเขาจะได้เจอกับรายละเอียดสถานที่ตายที่เขาบันทึกในคู่มือแต่สุดท้ายเขาก็เจอแค่ข้อมูลของป่าปีศาจร้างและไม่มีอะไรอื่นอีก ซึ่งมันทำให้เขาผิดหวัง
  จากคู่มือป่าปีศาจร้างนั้นเป็นดินแดนกว้างใหญ่ที่มักจะไม่มีมนุษย์อยู่อาศัย พื้นที่ของมันทอดยาวหลายแสนลี้ นั่นหมายความว่าต่อให้ซือหยูใช้ความเร็วสูงสุด เขาก็ต้องใช้เวลาหลายวันกว่าจะข้ามป่าปีศาจร้างไปได้ และการหาสถานที่ตายของเหยามู่เต๋าเหรินก็จะยิ่งยากเข้าไปใหญ่!
  ที่แย่กว่านั้นก็คือชื่อป่าปีศาจร้างเพียงแค่ชื่อก็บอกได้ว่ามันไม่ใช่สถานที่ที่เดินทางได้อย่างราบลื่น มันควรจะเต็มไปด้วยอันตราย! เมื่อซือหยูคิดถึงอันตรายที่อยู่ข้างหน้าก็หายใจเข้าลึกเพื่อทำใจให้เย็นและอ่านมันต่อไป เขารู้สึกแปลกใจที่คู่มือเช่นนี้มาอยู่ในสวนตำราแห่งนี้
  เมื่อเขาอ่านจบซือหยูตรวจสอบเวลาและตกใจเมื่อเห็นว่าเวลาเกือบจะผ่านไปครึ่งชั่วยามแล้ว ตอนนี้เป็นเวลาที่เขาจะกลับ แต่เมื่อเขาจะเก็บคู่มือ เขาก็ได้ยินเสียงบางอย่างจากกระดาษ
  มันเป็นเสียงที่เบาจนแทบจะไม่ได้ยินเหมือนกับเสียงทรายเสียงเบาจนแทบจะถูกสิ่งรอบข้างกลบจนหมด แต่ซือหยูอยู่ในการใช้พลังเร่งเวลา เพียงเสียงสั้นๆนั้นก็ช้าลงสี่ร้อยเท่า!
  แต่ถึงอย่างนั้นเสียงที่ได้ยินก็คงอยู่ไม่กี่ลมหายใจ มันไม่ต่างจากพริบตาเดียวของคนอื่นๆ แม้แต่อสูรเนรมิตรก็อาจจะไม่ทันได้ยินเสียงนี้
  “มีอะไรข้างในนี้รึ?”
  เขารีบใช้ความคิดและใช้เนตรวิญญาณมองบันทึกทั้งเล่มไม่มีสิ่งใดสามารถซ่อนจากเนตรวิญญาณของเขาได้ และก็เป็นอย่างที่คิด ซือหยูพบว่าส่วนภายในของกระดาษทุกหน้ามีทรายสีทองอยู่สองส่วน!
  ทรายสีทองเหล่านี้จะต้องซ่อนความลับเอาไว้ไม่ผิดแน่เหยามู่เต๋าเหรินจะต้องทิ้งทรายเอาไว้เพื่อปิดบังบางสิ่งบางอย่างในคู่มือเอาไว้ ซือหยูใจเต้นแรง..ไอลีนโนเวล
  แต่เขาจะแตกตื่นไม่ได้เพราะเหล่าคนรับใช้กำลังจ้องมองเขาอยู่!ซือหยูรีบใจเย็นลงและเปิดตำราอ่านต่ออีกครั้ง เหล่าคนที่ชะเง้อคอมองดูซือหยูเปิดตำราต่างสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น
  “คนคนนั้นแปลกจริงๆ!เขาเปิดตำราเร็วขนาดนั้นได้ยังไง?”
  หนึ่งในคนรับใช้พูดด้วยความตกตะลึงเขาตกใจมากที่เห็นการเปิดตำราที่รวดเร็วของซือหยู มันเร็วจนไฟแทบจะลุกจากตำรา!
  เจ่าฉวนถอนหายใจแรง
  “หึ…มันจะกล้าช้ารึ?ด้วยราคาแก้วหมื่นดวงต่อครึ่งชั่วยาม ข้าเองก็จะเปิดเร็วเท่ามันนั่นแหละ! แต่ก็น่าเศร้าถ้ามันคิดว่านั่นคือการอ่านตำราทั้งหมด ตำราของพวกเรามมีผนึกบันทึกว่าผู้อ่านอ่านจบหรือไม่ ….เราก็แค่ใช้ผนึกนั่นเผยธาตุแท้ของมัน มันปิดบังความจริงไม่ได้หรอก! ฮ่าๆ! ถ้าหากกล้าอวดดีเช่นนั้นก็ต้องชดใช้!”
  ต่อมาซือหยูวางคู่มือลงราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นขณะที่แอบใช้มือขวาหยุดพลังเร่งเวลา
  จากนั้นเขาจึงเงยหน้าถามเหล่าคนรับใช้
  “ข้าอ่านไปนานเท่าไหร่แล้ว?”
  “ครึ่งชั่วยามฮ่าๆๆ เจ้าเร็วจริงๆ!”
  เจ่าฉวนตอบครึ่งยิ้ม
  ซือหยูจึงตอบกลับ
  “เอาแก้วหมื่นดวงของเจ้าไป”
  เขาโยนแก้วหมื่นดวงให้กับเจ่าฉวนเขาคิดว่านี่เป็นการแลกเปลี่ยนที่คุ้มค่าเพราะเขาอ่านตำราไปเกือบครึ่งของทั้งหมดที่มีขณะที่ใช้แก้วไปไม่กี่ดวงเท่านั้น คนธรรมดาคงจะต้องจ่ายเป็นล้านหากจะอ่านทั้งหมดนี่! ซือหยูคิดว่าเขาได้กำไรไปเต็มๆ
  เจ่าฉวนมองดูภายในแหวนมิติและเบิกตากว้างเล็กน้อยข้างในมีแก้วหมื่นดวงอยู่จริง!
  เขาเงยหน้ามองซือหยูด้วยความระแวงเพราะยากที่จะเชื่อว่าชายแก่จากตำหนักโลหิตจะมีแก้วถึงหมื่นดวงซึ่งเป็นจำนวนมากแม้แต่กับจ้าวเทวะ!
  “ข้าจะไปแล้ว…”
  ซือหยูพูดพร้อมกับหันหลังกลับ
  “ช้าก่อน!”
  เจ่าฉวนตะโกนและเข้าไปขวางทางซือหยู
  ซือหยูหรี่ตาถาม
  “มีอะไรกัน?สวนหนังสือเจ้าตอนนี้จะสังหารคนรวยเพื่อปล้นแล้วรึ?”
  “อะไรนะ?เจ้าพูดอะไรออกมา? ที่นี่ทำค้าขายเป็นธรรม!”
  เจ่าฉวนพูดเสียงดัง
  ซือหยูตอบอย่างไม่ใส่ใจ
  “โอ้?อย่างนั้นรึ? ถ้าอย่างนั้น ข้าก็จ่ายน้อยไปสินะ?”
  เจ่าฉวนแสยะ
  “อย่ามาทำเป็นไม่รู้เรื่อง!เจ้าจำกฎที่ข้าบอกเจ้าไม่ได้แล้วสินะ?”
  กฎรึ?ซือหยูสงสัย จากนั้นเขาก็คิดและถาม
  “เจ้าพูดถึงกฎที่บอกว่าคนที่ยืมตำราจะต้องอ่านตำราทุกเล่มที่ยืมให้จบก่อนจะออกไปใช่หรือไม่?”
  “เจ้ารู้ก็ดีแล้ว…”
  “แล้วทำไมเจ้าถึงไม่กลับไปอ่านต่อ?เจ้าต้องไม่กล้าออกไปก่อนจะอ่านตำราทั้งหมดให้จบ และถ้าเจ้าจ่ายไม่ครบ พวกข้าจะขายเจ้าแลกเป็นแก้วตามกฎของที่นี่! อย่ามาโทษว่าที่นี่ไม่เคารพตำหนักโลหิตเพราะข้าบอกเจ้าให้ไสหัวไปตั้งแต่เจ้ามาแล้วแต่เจ้ากลับไม่ฟัง! ตอนนี้เจ้าไม่มีโอกาสอีกแล้ว!”
  เมื่อได้ฟังซือหยูดูจะงุนงง
  “แต่…มิใช่ว่าข้าอ่านทุกเล่มจบไปแล้วหรือ?เจ้ามีหลักฐานว่าข้าไม่ได้อ่านจบหรือไม่?”
  เจ่าฉวนตอบราวกับรู้อยู่แล้ว
  “ว่าแล้วว่าเจ้าต้องพูดแบบนี้!”
  เขาสุ่มหยิบตำราที่ซือหยูยืมออกมาหนึ่งเล่ม
  “ข้าเกรงว่าเจ้าจะไม่รู้ตำราทุกเล่มมีผนึกที่จะชิงพลังชีวิตไปเล็กน้อยให้ผนึกตอบสนองกับผู้อ่านคนก่อน! ยิ่งเจ้าอ่านจบไปเท่านั้น ผนึกก็จะยิ่งส่องแสงสีแดงมากเท่านั้น สีโลหิตคือสีที่เข้มที่สุด แต่ถ้ามันเปล่งแสงสีขาวบริสุทธิ์ก็แสดงว่าตำรายังไม่ถูกอ่านแม้แต่น้อย!”
  เจ่าฉวนยิ้มอย่างบ้าคลั่งและถาม
  “หึตอนนี้เจ้ายังจะพูดว่าเจ้าอ่านหมดแล้วอีกไหม?”