บทที่ 407 ขอแผ่นมาร์คหน้าด้วย

ครูเจ้าเสน่ห์คนนี้ประธานจอง

“ล้อเล่น ทำไมต้องโกรธด้วย ฉันผิดไปแล้ว ผิดแล้วจริง ๆ” นาโนรีบยิ้มละมุนละไมแล้วขอโทษ จากนั้นพูดต่อว่า “แม่ของเขากำลังบีบบังคับอยู่ ถ้าพักอยู่ที่คฤหาสน์ตระกูลเตชะโสภา ไม่ใช่แค่ฉัน รวมทั้งเขาด้วย ล้วนไม่ได้อยู่อย่างสงบสุขแน่ ฉันอยากย้ายออกมา จะได้สบายหูสบายตา”

“แบบนี้ก็ถูก แต่ฉันรู้สึกว่าเธอหมกอยู่แต่ในห้อง มันเหมือนหาความสงบสุขที่ไหน” ยู่ยี่ชี้หน้าผากเธอ “รู้ว่าเธอไม่สบายใจและรู้สึกเธอมีเรื่องกังวลใจมาก แต่มันคือความจริง ดนัยไม่สนใจเธอ แต่เธอก็ดีกว่าพวกที่ไม่มีแขนขาหรือเป็นโรคมะเร็ง ไม่ใช่”

นาโนพยักหน้าหงึก ๆ สื่อให้เห็นว่ารู้แล้ว เธอยกถ้วยขึ้นมา“ให้ฉันกินหมดก่อนได้ไหม?”

นึกถึงคำพูดของเชอร์รีนตอนเที่ยง มุมปากยู่ยี่ขยับ ทว่าสุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไร

ช่วงนี้สภาพจิตใจนาโนย่ำแย่อยู่แล้ว เธอไม่อยากเพิ่มให้เธอรู้สึกหนักอึ้งขึ้น

อีกอย่าง เชอร์รีนก็ไม่มั่นใจถึงผู้หญิงคนนั้น ดังนั้นช่างเถอะ อย่าพึ่งพูดเลย

เช้าวันถัดมา

ยู่ยี่ไปที่บริษัท พึ่งไปที่ห้องทำงาน ผู้จัดการก็เรียกเธอเข้าพบ

เธอเดินเข้าไปในห้องทำงานส่วนตัวของผู้จัดการ อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้น“บริษัทมีสัญญาฉบับจะมอบหมายให้คุณทำ”

“ฉันยังมีสัญญาที่ทำไม่เสร็จ และจะเริ่มงานแล้ว ถ้างานเยอะเกินเกรงว่าฉันคงรับไม่ไหวนะคะ”

ผู้จัดการยิ้ม“สัญญาฉบับนี้ง่ายมาก ทั้งสองฝ่ายคุยกันไว้แล้ว เหลือแค่ไปเซ็นสัญญาเท่านั้น คุณทำได้อยู่แล้ว”

“……”ยู่ยี่ไร้คำจะพูด เหลือเพียงเซ็นสัญญา แล้วทำไมต้องมอบหมายให้เธอทำด้วยไม่เท่ากับให้เธอได้เปรียบหรอกหรือ?

เธอรู้สึกว่าผู้จัดการต้องไม่มีเจตนาดีแน่

“อันนี้คือหนังสือสัญญา คุณไปตอนบ่าย จำไว้ว่าต้องเซ็นชื่อนะ” สิ้นเสียง ผู้จัดการก็ยื่นให้เธอ ยู่ยี่ดูสองปราด

ทำไมเมื่อก่อนเขาจึงไม่รู้ว่ายู่ยี่มีความสามารถมาก อดีตคุณนายแห่งภูษาธรกรุ๊ปที่แท้ก็เป็นเธอนี่เอง

ยู่ยี่ขมวดคิ้วมุ่น พลางรับสัญญามา ผู้จัดการยิ้มตบไหล่เธอเบา ๆ “小申ของพวกเราออกโรง คนหนึ่งสามารถเทียบได้สามคนแน่”

ยู่ยี่มีเหงื่อซึมเต็มหัว สัญชาตญาณบอกว่าไม่ได้ง่ายขนาดนี้

พอถึงอาหารเที่ยง ยู่ยี่ลุกขึ้นเตรียมจะไปร้านอาหาร ระหว่างนี้เพื่อนร่วมงานชายณภัทรก็เดินเข้ามา“ยู่ยี่ ตอนเที่ยงมีเวลาไหมครับ?”

“ทำไมเหรอคะ?”

“ครั้งก่อนคุณช่วยผมเอาเอกสาร วันนี้ผมจะเลี้ยงข้าวเที่ยงตอบแทนคุณหน่อยครับ”

ยู่ยี่ส่ายหัว แค่เรื่องนิดเดียวเอง ทว่าณภัทรกลับยืนกรานจะเลี้ยงข้าวเธอให้ได้ ยู่ยี่จนปัญญา ได้แต่ตอบตกลง

พวกเธอเลือกร้านตรงข้ามบริษัท มีเมนูทอดกระดูกซี่โครง ข้าวเปล่า กาแฟ นม สรุปก็คือมีครบครันตามความต้องการ ทั้งสองสั่งกับข้าวเสร็จ มือถือของยู่ยี่ก็สั่นขึ้น ซึ่งเป็นข้อความจากฉันทัชที่ถามว่าเธออยู่ไหน

เธอไม่ได้คิดมากอะไร มองชื่อร้านเสร็จก็พิมพ์บอกแล้ว

เมื่ออาหารยกมาเสิร์ฟ ยู่ยี่หยิบตะเกียบเตรียมจะกิน ทว่าณภัทรกลับยกแก้วไวน์ขึ้นมาจะชนแก้ว เธอยิ้มอย่างไม่มีทางเลือก ได้แต่ยกขึ้นตาม

“ที่จริง วันนี้ผมนัดคุณมากินข้าวเที่ยงยังมีเรื่องอื่นด้วยครับ” ณภัทรเช็ดปาก ใบหน้าค่อย ๆ แดงขึ้นมา “อันที่จริงผมสนใจคุณและชอบคุณอย่างไม่รู้ตัวแล้วครับ คุณไม่เหมือนผู้หญิงคนอื่น ตอนอยู่กับคุณ ผมรู้สึกเป็นตัวของตัวเอง สบายใจมาก คุณมีอะไรที่ผู้หญิงอื่นไม่มี ซึ่งก็คือซื่อสัตย์ แน่วแน่ ไม่กลัวความลำบาก แถมยังสวยด้วย พวก……พวกเราคบกันไหมครับ”

ยู่ยี่ที่ถือตะเกียบค้างกลางอากาศ ตัวแข็งทื่อ เดิมทีเธอคิดว่าเป็นเพียงมื้อเที่ยงแสนธรรมดา ทว่ากลับคิดไม่ถึงว่ามีเล่ห์กลแฝงอยู่

เธอรู้สึกอึดอัดใจเล็กน้อย จากนั้นพลันคิดคำปฏิเสธที่เป็นมิตรและสุภาพ จะได้ไม่ทำลายความสัมพันธ์ของเพื่อนร่วมงาน

กำลังคิดสรรหาถ้อยคำ บนบ่าก็หนักอึ้งกะทันหัน จานกั้นเสียงดึงดูดใจก็ดังขึ้น“กินข้าวกับเพื่อนร่วมงานเหรอ?”

ยู่ยี่หันหน้าไปมองด้านหลัง“เอ้า คุณมาเหรอ?”

ฉันทัชพยักหน้า ลากเก้าอี้ด้านข้างเธอมา จากนั้นก็นั่งไขว่ห้างด้วยมาดผู้ดีมีชาติตระกูล

ณภัทรอึ้ง จ้องฉันทัชอย่างตาค้าง ผ่านไปเนิ่นนานกว่าจะหาเสียงของตัวเองเจอ“คุณฉันทัช”

“สวัสดี” ฉันทัชกล่าวทักทายเสียงเรียบ ทั้งไม่ได้สนิทสนมและไม่ได้ห่างเหินมากนัก ยิ่งไม่มีความเย้อหยิ่ง จากนั้นก็มองไปยังยู่ยี่“ทำไมไม่บอกผมว่านัดเพื่อนที่ทำงานกินข้าวเที่ยงล่ะ?”

“พึ่งตัดสินใจเมื่อกี้นี่เองค่ะ” ยู่ยี่ตอบ กำลังคิดว่าจะแนะนำกันยังไงดี

และเธอยังไม่ทันปริปากพูด ฉันทัชก็ชิงพูดก่อนหนึ่งก้าว“ผมเป็นแฟนของเธอ ขอบคุณที่ชื่นชมในตัวแฟนสาวของผม …”

ประโยคง่าย ๆ ทว่ากลับประกาศสิทธิ์การครอบครองได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย

ณภัทรยังคงอึ้งอยู่อย่างนั้น ผู้ชายที่มาเยือนตรงหน้าแผ่รังสียิ่งใหญ่มาออกจู่โจมจนพูดไม่ออก และเกือบกัดลิ้นตัวเองด้วย“ปีนี้ยู่ยี่อายุยี่สิบเจ็ดปี แต่ยังเหมือนเด็กนักศึกษาอยู่ แต่ตอนนี้คุณฉันทัชอายุสามสิบสี่แล้ว โตกว่าเจ็ดปี แก่ไปหรือเปล่าครับ?”

แก่ ยู่ยี่ชะงัก กำลังบรรยายคำนี้กับฉันทัชอยู่หรือ?

เห็นได้ชัดว่าฉันทัชก็ชะงักไปชั่วครู่ อาจเป็นเพราะไม่เคยได้ยินจากปากคนอื่นว่าตัวเองแก่มาก่อน

ความคิดเห็นของคนอื่นที่มีต่อตน ส่วนมากจะเป็นความเป็นผู้ใหญ่ มีเสน่ห์ สง่างาม ผู้ชายอายุสามสิบสี่กำลังดี จึงไม่เคยได้ยินคำว่าแก่เลย

ปกติเขาเป็นคนสุขุมเยือกเย็น ความไม่พอใจแวบผ่านบนใบหน้าหล่อเหลาอย่างหาได้ยาก ทว่าก็แค่เสี้ยววินาทีเท่านั้น จากนั้นก็กลับมาเป็นปกติ ถามณภัทรเสียงราบเรียบ“ใช่หรือ?”

ณภัทรเดาความคิดเขาไม่ออก ทว่าก็ย้อนกลับไปว่า“ใกล้เข้าเลขสี่แล้ว จะไม่แก่ได้ไงครับ?”

ฉันทัชยิ้มเจือจาง ริมฝีปากยกโค้งขึ้น กล่าวเสียงเรียบเฉยว่า“อาจจะใช่มั้ง”

ณภัทรยิ้มหน้าเจื่อน นั่งต่อไปไม่ได้แล้ว จึงหาข้ออ้างไปเรื่อย แล้วรีบเผ่นหนีทันที

ดังนั้นจึงเหลือกันแค่สองคน ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ยู่ยี่รู้สึกตลกมาก และก็หัวเราะเสียงดังออกมาด้วยจริง ๆ

“คิดว่าผมแก่ด้วยเหรอ” ฉันทัชจ้องมองเธออย่างจดจ่อ

“ไม่ค่ะ พอดีเลย เหมาะสมกันดี” ยู่ยี่รีบเก็บเสียงหัวเราะ คาดว่าเขาคงพึ่งได้ยินคำว่าแก่จากปากคนอื่นเป็นครั้งแรก

ฉันทัชรู้สึกจนปัญญาเล็กน้อย สั่งกาแฟมาหนึ่งแก้ว จากนั้นก็จิบดื่ม “แล้วทำไมต้องหัวเราะด้วย?”

เธอหุบปาก ส่ายหัวอย่างจริงจัง“ฉันไม่ได้หัวเราะ”

ร่างสูงโปร่งโน้มตัวไปด้านหน้า ฉันทัชชี้ไปยังมุมปากเธอที่ยกโค้งขึ้น ก่อนจะดีดเบา ๆ “กินข้าวกันเถอะ”

ใบหน้ายู่ยี่รู้สึกเหมือนโดนแผดเผา ตักข้าวสวยยื่นให้เขา“ชิมดูค่ะ รสชาติไม่เลวเลย”

สีหน้าเขาอ่อนนุ่มมาก ริมฝีปากบางอ้าออก พยักหน้า จากนั้นก็ตอบเธอว่า“รสชาติดีจริง ๆ”

บรรยากาศทั้งสองดีมาก หลังรับประทานอาหารเที่ยงเสร็จ ฉันทัชก็ส่งเธอไปด้านล่างตึกบริษัท

ยู่ยี่ไปทำงาน ส่วนฉันทัชก็ขับรถกลับไปที่คฤหาสน์

เขาถอดเสื้อกันหนาวออก ร่างกายเหลือเพียงเสื้อเชิ้ตสีดำเท่านั้น ร่างกายแข็งแรงกำยำของเขานั่งลงที่โซฟา ด้านหน้าวางกระจกไว้ด้วย มือใหญ่ค่อย ๆ ลูบคางตัวเอง ไม่รู้กำลังดูอะไรอยู่

อาคิระเดินเข้ามาเห็นภาพนี้ เขาขมวดคิ้วมุ่นอย่างสงสัย“มาไม้ไหนอีก?”

ฉันทัชพิงกายบนโซฟา ก่อนจะนั่งไขว่ห้าง แล้วหลับตาพูดว่า“บอกความจริงมา ผมแก่แล้วใช่ไหม?”

“อันนี้ก็ต้องดูว่าเปรียบเทียบกันแบบไหน ถ้าเทียบกับผู้ชายหล่ออายุยี่สิบกว่าก็แก่จริง ๆ แหละ แต่ถ้าเทียบกับผู้ชายอายุปกติก็กำลังดี แปลกจังเลย ทำไมจู่ ๆ ก็ถามแบบนี้ล่ะ”

อาคิระประหลาดใจสุดแสน คำถามนี้เหมือนคุณฉันทัชไม่น่าจะถามเลย

“ไม่มีอะไร แค่ถามไปงั้น ๆ”ฉันทัชกล่าวเสียงเฉยเมย พูดถูไถต่อเรื่องนี้

“แต่ผู้ชายเรา ถ้าผิวพรรณดีก็จะดูไม่แก่ ก็เหมือนผมไง ผมจะจัดเวลาไปที่ร้านเสริมสวย ไปมาร์คหน้า อีกอย่างผู้หญิงสมัยนี้ชอบผู้ชายที่ดูเป็นผู้ใหญ่ แบบคุณอาอย่างนั้นเลย หากอายุน้อยเกินไปจะดูอ่อนเกินไป ไม่มีอะไรน่ามอง และไม่มีความสามารถด้วย หนุ่มหน้าตาใส ๆ ก็มีแต่ผู้หญิงที่ยังไม่เรียนไม่จบชอบเท่านั้น”

กล่าวจบ อาคิระก็ถามว่า“ใช่แล้ว คุณกับคนท้อง…..ยู่ยี่เป็นยังไงบ้างแล้ว”

ฉันทัชเหล่ตามองเขาปราดหนึ่ง กล่าวเสียงอ่อนโยนว่า“กำลังคบกันอยู่ อยู่ระหว่างพัฒนาสายสัมพันธ์”

ได้ยินประโยคนี้ อารมณ์อาคิระแปรเปลี่ยนเล็กน้อย“ผมบอกแล้วว่าเธอไม่คู่ควรคุณ”

ฉันทัชไม่อยากคุยเรื่องนี้อีก“ผมไม่ชอบพูดซ้ำๆ”

สีหน้าอาคิระแปรเปลี่ยนมากขึ้น เขาลุกขึ้น พลางหยิบเสื้อกันหนาวสีคราม แล้วก้าวเท้ายาวออกไปด้านนอกคฤหาสน์

ฉันทัชไม่แยแส ใบหน้าหล่อเหลามืดครึ้มอย่างเห็นได้ยาก จากนั้นก็โทรหาผู้ช่วยโก๋ สั่งให้เขาซื้อของมา

ประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของโก๋นั้นเร็วไวมาก แค่ยี่สิบนาทีก็มาถึงคฤหาสน์แล้ว ในมือยังถือกล่องอันประณีตไว้ด้วย ด้านบนกล่องเขียนตัวหนังสือคำโต ๆ ว่า มาร์คหน้าสำหรับผู้ชาย

ประตูคฤหาสน์เปิดออก ฉันทัชก็เดินออกไป คล้ายกับพึ่งจะอาบน้ำเสร็จ เขาใส่ชุดอาบน้ำสีขาว หยดน้ำบนเส้นผมร่วงลงสู่พื้น

เมื่อรับกล่องมาก็หลุบตาลงพร้อมกับกล่าวว่า“คู่มือล่ะ?”

“อยู่ข้างในครับ” ผู้ช่วยโก๋รีบตอบ “แต่คุณฉันทัชซื้อมาร์คหน้าผู้ชาย……”

จากนั้นมุมปากฉันทัชยกยิ้มอย่างอ่อนนุ่ม พูดแทรกขึ้นมาว่า“เป็นของขวัญที่มอบให้เพื่อน ยังมีคำถามอื่นอีกไหม?”

ผู้ช่วยโก๋รีบส่ายหัว ประตูคฤหาสน์ปิดสนิท เขาเกาหัว ส่งแผ่นมาร์คหน้าสำหรับผู้ชายให้เพื่อน เหมือนจะไม่ดีสักเท่าไหร่

ทว่าเรื่องที่คุณฉันทัชทำล้วนเกินความคาดคะเนกันทั้งนั้น ขอเพียงคุณฉันทัชตัดสินใจ ทุกอย่างจะถูกต้องเสมอ

กล่องอันประณีตเปิดออก แผ่นมาร์คก็เผยสู่สายตา ฉันทัชขมวดคิ้วมุ่นด้วยสีหน้าจนปัญญา พลางจ้องแผ่นมาร์คหน้าอย่างเหลืออด คิดว่าตัวเองคงเป็นลมบ้าหมูซะแล้ว

จากนั้น เขานึกถึงคำที่ณภัทรพูดที่ร้านอาหาร ร่างสูงจึงนั่งลงใช้มือขวาแกะถุงมาร์คหน้า มือซ้ายเปิดอ่านคู่มือ

จากนั้นเขาก็ทำตามขั้นตอนมาแปะมาร์คบนใบหน้า ต่อมาก็ขมวดคิ้วอย่างไม่คุ้นชิน ……

เขารู้สึกเย็นเล็กน้อย รู้สึกผิวหนังตึงขึ้น รู้สึกไม่ค่อยสบายเสียเลย จากนั้นร่างกายขยับเขยื้อน ……

เขาอายุสามสิบสี่ปีแล้ว ผ่านประสบการณ์นานัปการ ทว่าตอนนี้กลับต้องวุ่นวายกับแผ่นมาร์คหน้า

……

ตอนบ่าย ยังไม่ถึงเวลาเลิกงาน ยู่ยี่ก็ถูกมอบหมายให้ไปเซ็นสัญญา

ซึ่งเลือกสถานที่นัดพบที่หอชาวังในถนนรินลา เธอไปเร็วมาก อีกฝ่ายยังไม่มาถึง