ผู้จัดการบอกว่าเป็นบริษัทใหญ่ ไม่ต้องกลัวจะไม่มีเงิน และห้ามผิดใจอีกฝ่าย ต้องปรนนิบัติเฉกเช่นคุณชาย
เลยเวลานัดหมายกว่าสิบนาทีแล้ว เธอดูนาฬิกาบนข้อมือไม่หยุด และแล้วสิ่งที่เหลือการคาดหมายก็เกิดขึ้น เธอเห็นหัสดินเดินเข้ามา
เขาสวมเสื้อกันหนาวสีเทา ดวงตาดอกท้อยกขึ้น ด้านหลังยังมีผู้ช่วยติดตามสองนาย เมื่อเดินเข้าห้องโถงแล้วช่างสะดุดสายตาผู้คนเหลือเกิน
ยู่ยี่ทำหน้าปกติอย่างใจเย็น เธอละสายตาไปมองนอกหน้าต่าง
พูดตามความเป็นจริง หากหัสดินไม่ทำให้เธอเจ็บลึกขนาดนี้ เธอก็คงทำไม่ได้ถึงขั้นนี้
มีเพียงอีกฝ่ายโหดร้ายเกินพอ จึงจะทำให้คุณตายใจอย่างสนิท
ทว่า ตอนที่หัสดินเดินผ่านเธอก็หยุดฝีเท้า กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า“คุณยู่ยี่”
ยู่ยี่ไม่ได้แยแส ผู้ช่วยเข้ามาถาม“ไม่ทราบว่าเป็นคุณยู่ยี่ที่มาเซ็นสัญญาหรือเปล่าครับ?”
เธอชะงักค้าง จากนั้นก็ตอบสนองกลับมา วันนี้ต้องมาเซ็นสัญญากับหัสดิน มิน่าล่ะผู้จัดการถึงให้เธอได้เปรียบขนาดนี้
ยู่ยี่หน้าถอดสี โทรหาผู้จัดการต่อหน้าหัสดิน โดยใช้น้ำเสียงไม่สู้ดีนัก พูดตรงๆออกไปว่าไม่เซ็นรับโปรเจคนี้
ผู้จัดการไม่ยอมอย่างแน่นอน อีกฝ่ายชี้แจ้งหนึ่งรอบว่าต้องรับโปรเจคนี้ให้ได้ มิฉะนั้นเธอก็ไม่ต้องกลับไปอีก
ยู่ยี่โกรธจนอยากสาดกาแฟที่หัวผู้จัดการ เมื่อกวาดสายตามอง หางตาก็เหลือบเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าหัสดินโดยบังเอิญ
เธอหลับตาพลันกดสายทิ้ง มุมปากเผยรอยยิ้มสง่างามโดยหมายถึงเธอจะเซ็นรับโปรเจคนี้
ไม่ว่าจะบาดหมางกับใครก็ไม่ควรบาดหมางกับเงิน ผู้จัดการอุตส่าห์ประเคนผลประโยชน์มหาศาลมาให้ แล้วเธอจะปฏิเสธทำไม จะผลักออกไปทำไม?
อีกอย่างเธอเห็นหัสดินเหมือนอากาศธาตุไปแล้ว เธอต้องหาเงินกับทุกคนอยู่แล้ว แล้วทำไมจะทำงานแลกเงินกับหัสดินไม่ได้?
ยู่ยี่ลุกขึ้น บอกว่าจะไปเข้าห้องน้ำ
ตอนเธอไปลืมเอามือถือไปด้วย โดยวางไว้บนโต๊ะ เมื่อเธอลุกออกจากที่นั่งไปแล้ว มือถือก็ดังขึ้น
ซึ่งฉันทัชเป็นคนโทรมา……
ดวงตาดอกท้อหรี่ขึ้น หัสดินก้มตัวดูชื่อผู้โทรเข้า จากนั้นก็กดรับสาย“ฮัลโหล……”
โปรเจคร่วมงานของทั้งสองบริษัทดำเนินการมาเรื่อย ๆ ซึ่งก่อนหน้านี้เขาไม่รู้ว่ายู่ยี่ทำงานอยู่ในบริษัทที่กำลังคุยกันอยู่ แต่ช่วงบ่าย เลขาเอาสัญญามาให้อ่าน เขาจึงจะเห็นชื่อของเธอ
เขาไม่ได้ตั้งใจให้เกิดความบังเอิญนี้ขึ้น เพียงแต่เปลี่ยนคนมาคุยเรื่องสัญญาเป็นเขากะทันหันเท่านั้น……
อีกฝั่งหนึ่งของสายเงียบกริบ คล้ายกับไม่มีคนคุย ทว่าได้ยินเสียงหายใจเบา ๆ
“คุณฉันทัช พวกเราพึ่งเจอหน้ากันไม่นาน คิดว่าคุณยังคงจำเสียงผมได้นะครับ” หัสดินยกแก้วน้ำชาบนโต๊ะขึ้นมา ดวงตาดอกท้อหรี่ขึ้น
ฉันทัชตอบกลับด้วยเสียงทุ้มต่ำที่เรียบเฉย ไม่มีคลื่นอารมณ์ใด ๆ“แน่นอน แล้วเธอล่ะ?”
“เธอไปเข้าห้องน้ำ” หัสดินเลิกคิ้วพลันจงใจพูดอย่างเชื่องช้า“คงไม่กลับมาเร็ว ๆ แต่ผมสามารถถ่ายทอดคำพูดของคุณฉันทัชได้”
“ขอบคุณสำหรับน้ำใจของคุณหัสดิน แต่ผมไม่ค่อยชินที่จะให้บุคคลที่สามพูดต่อคำพูดหวาน ๆ”
“……”
บุคคลที่สาม……
ไม่ต้องสงสัยเลย บุคคลที่สามที่ว่าหมายถึงเขานั่นแหละ หัสดินขมวดคิ้วเป็นปม ไม่อาจสรรหาคำมาโต้ตอบ พลางรู้สึกหงุดหงิดยิ่ง
“เดี๋ยวสักพักผมจะโทรหาเธอใหม่ สวัสดี” สิ้นเสียงก็กดสายทิ้ง
ฉันทัชมีนิสัยบางอย่าง ซึ่งก็คือไม่ชอบพูดคุยกับคนที่รู้สึกมีทิฐิ นี่คือความเคยชินของเขา
หางตาเห็นเงาคนตรงมุมเลี้ยว หัสดินรีบลบบันทึกการโทรเข้าอย่างว่องไวและรวดเร็ว
จากนั้นก็วางมือถือไว้ที่เดิม คล้ายกับไม่เคยสัมผัสมาก่อน……
ยู่ยี่นั่งตรงข้ามเขา ไม่ได้ดื่มชา ไม่ได้กินของหวานใด ๆ เพราะอีกฝ่ายคือหัสดิน ดังนั้นเธออยากคุยงานให้เสร็จโดยเร็ว
ระหว่างทั้งสอง ไม่จำเป็นต้องพูดคุยกันให้มากความ……
ยู่ยี่เปิดเอกสารขึ้นมา ก่อนหน้านี้เธอเคยทำความเข้าใจโปรเจคนี้มาแล้ว ดังนั้นไม่ได้รู้สึกไม่ชำนาญแต่อย่างใด
เธอสามารถบอกจับใจความสำคัญแล้วยกตัวอย่างเป็นข้อ ๆ ได้อย่างชัดเจนและตรงประเด็น
เรื่องงานก็คือเรื่องงาน เรื่องส่วนตัวก็คือเรื่องส่วนตัว เธอแยกแยะออก เอามารวมกันไม่ได้ เธอยังต้องหาเงิน ยังต้องทำงาน ไม่จำเป็นต้องทำลายอนาคตเพราะชีวิตแต่งงานที่เคยผิดพลั้งมาก่อน
เธออายุยี่สิบเจ็ดปี ไม่ใช่สาวน้อยสิบแปดในวัยหุนหันพลันแล่น ไม่ว่าจะการกระทำก็ดี ความคิดก็ช่าง ล้วนเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว
หัสดินไม่เคยเห็นยู่ยี่ตอนทำงานมาก่อน นี่เป็นครั้งแรก
เวลาเธอทำงาน ท่าทีจริงจัง เป็นการเป็นงาน คล่องแคล่ว เป็นระเบียบ มั่นใจในตัวเอง
หัสดินหรี่ตามองเธออย่างล่องลอย ชีวิตก่อนหย่ากับหลังหย่า คล้ายกับเป็นคนละคน
ยู่ยี่ขมวดคิ้ว ยกนิ้ววางบนโต๊ะ ก่อนจะดีดเป็นเสียงดังอย่างมีจังหวะขึ้นมา จากนั้นเสียงใสก็เอ่ยว่า “ถ้าไม่มีปัญหาอะไรก็เซ็นสัญญากันค่ะ”
หัสดินหยิบปากกาขึ้นมาอย่างเร็วไว ลงนามเสร็จพลันยื่นฝ่ามือออกไป“หวังว่าจะทำงานร่วมกันอย่างมีความสุขครับ”
ยู่ยี่ไม่ได้เงยหน้ามอง ก้มหน้าจัดแจงเอกสาร จากนั้นก็หยิบมือถือไว้ในกระเป๋าถือ แล้วหมุนกายเดินจากไป
เธอมาถึงข้างถนนก็โบกมือเรียกแท็กซี่ ฤดูหนาวในเดือนธันวาคมช่างหนาวสั่นสะท้านจริง ๆ รถแท็กซี่ที่ผ่านไปมาล้วนไม่มีคันว่างเลย
รถเบนซ์สีดำเงางามจอดอยู่ข้างถนน ใบหน้าหัสดินเผยในหน้าต่างรถ“ผมไปส่งคุณได้”
ยู่ยี่ทำเหมือนไม่ได้ยิน โบกรถต่อ เมื่อไม่มีรถว่าง เธอก็เดินไปยังถนนฝั่งตรงข้าม และเจอแท็กซี่ว่างคันหนึ่งพอดี
หัสดินยังคงอยู่ในรถเบนซ์สีดำ เขามองรถแท็กซี่หายลับไปจากสายตา พลางเลิกคิ้วขึ้น
ไม่ตัดขาดอดีตที่ผ่านมาแล้วก็ไม่จำเป็นต้องเหลือเยื่อใยต่อกัน ไม่จำเป็นต้องเกี่ยวข้องกันสักนิด
ความรักเจ็ดปี ทำให้เธอเจ็บลึกฝังใจ มีบาดแผลเต็มไปหมด เธอใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดเพื่อผ่านมันมา
เหมือนคำที่กล่าวไว้ว่า บนโลกนี้ไม่มีความรักโดยไร้สาเหตุ และไม่มีความแค้นโดยไร้ต้นเหตุเช่นกัน ตอนนั้นรักมากแค่ไหน ตอนนี้ก็จะยิ่งเกลียดแค้นมากเท่านั้น
เมื่อกลับมาถึงคอนโดก็เห็นนาโนเหมือนแม่ศรีเรือนเฉกเช่นผู้หญิงทั่วไป เธอเก็บกวาดเช็ดถูภายในห้องจนสะอาดสะอ้าน ยู่ยี่เห็นแล้วคิดว่าเธอจับไข้หรือเปล่า
เพราะกลัวเธอหิว ตอนกลับมาจึงแวะซื้อเกี๊ยวแผ่นบาง เนื้อเน้น ๆ น้ำซุปยิ่งอร่อยเลิศมาก
ยู่ยี่ไปห้องน้ำ วางกระเป๋าไว้บนโซฟา เมื่อมือถือดังขึ้น นาโนมองห้องน้ำแล้วร้องบอกเพื่อนรัก
แต่ไม่ได้รับเสียงตอบรับ บวกกับมือถือดังไม่หยุดขาดสาย นาโนใช้มือขวามือรับ มุมปากยิ้มดั่งดอกตูม “คุณฉันทัช……”
เมื่อเดินออกจากห้องน้ำ ยู่ยี่ก็เห็นนาโนยกหูโทรศัพท์พร้อมกับยิ้มไม่หุบปาก