ราชสำนักมีคลื่นลมพายุแห่งการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น แต่เจินเมี่ยวยังคง ‘พักรักษาตัว’ อยู่เช่นเดิม
ในขณะที่นางกำลังครุ่นคิดว่าจะหายเมื่อใดดีกลับมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นเสียก่อน
ลี่อ๋องแห่งชิงเป่ยก่อกบฏ
เมื่อลี่อ๋องก่อกบฏ งานเลี้ยงฉลองครื้นเครงใดต่างก็ต้องยกเลิกไปในทันที ทั่วทั้งเมืองหลวงเงียบสงบขึ้นมาในทันใด แน่นอนว่าเรื่องนี้ย่อมมิได้มีผลกระทบมากนักกับจวนกั๋วกงที่ยังคงอยู่ในช่วงไว้ทุกข์
มีเพียงหลัวเทียนเฉิงที่กลับมาค่ำมืดทุกวัน และออกไปจากจวนตั้งแต่เช้าตรู่เสมอ ส่วนโอวหยางเจ๋อก็ติดตามแม่ทัพผู้เป็นแม่ทัพบัญชาการกองพลพยัคฆ์มังกรที่เคลื่อนทัพมาจากชายแดนฝั่งตะวันออกไปปราบกบฏที่ทางเหนือ
พระพลานามัยจองเจาเฟิงตี้ทรุดหนักลงทุกวัน ระยะนี้เขาจึงสนใจในลัทธิเทพเซียนอย่างยิ่ง และผู้ที่ถูกเชิญให้มาเป็นแขกกิตติมศักดิ์ก็คือนักพรตผู้ได้ทำนายว่าจะเกิดฝนตกห่าใหญ่ ตลิ่งพังถล่มในหมู่บ้านสือหลี่นั่นเอง
วันนี้เจาเฟิงตี้เรียกหลัวเทียนเฉิงเข้ามาพูดคุยเรื่องสำคัญ เมื่อหารือเสร็จแล้วจึงเอ่ยถามว่า “ยานนี้คนวัยหนุ่มนั้นมีพลังและความมุ่งมั่นมากกว่าตาเฒ่าแก่ชราพวกนั้นมาก หลานชายคนโตของจวนหย่วนเวยโหวยื่นฎีกาเสนอตนเองเข้าไปรบปราบกบฏ เจ้าคิดว่าเซียวซื่อจื่อเป็นอย่างไรบ้าง”
หลัวเทียนเฉิงยืดอกขึ้นตอบว่า “เซียวซื่อจื่อแม้อายุยังน้อย แต่ฝีมือการต่อสู้นั้นเก่งกาจไม่น้อย หากให้เขาเป็นแม่ทัพปราบกบฏย่อมองอาจเก่งกาจไม่แพ้ผู้ใดแน่พ่ะย่ะค่ะ”
ชาติก่อนพวกเขาเคยได้ประมือกันในสนามรบหลายครั้ง เซียวอู๋ซังนับเป็นแม่ทัพที่ดุดันผู้หนึ่งของต้าโจวเลยทีเดียว หากเทียบกับโอวหยางเจ๋อนั้นยังเหนือชั้นกว่าขั้นหนึ่ง
เจาเฟิงตี้คล้ายพอใจยิ่งที่หลัวเทียนเฉิงเอ่ยปากชมคนหนุ่มรุ่นเดียวกันอย่างไม่ตระหนี่ เขาพยักหน้าแล้วเอ่ยถามขึ้นว่า “แล้วขุนนางหลัว มิอยากนำทัพออกไปรบบ้างหรือ”
หลัวเทียนเฉิงอึ้งไป คล้ายคาดไม่ถึงว่าเจาเฟิงตี้จะถามคำถามนี้ ผ่านไปครู่หนึ่งจึงเอ่ยตอบว่า “การได้นำทัพรับใช้ชาติ สังหารศัตรูให้แดดิ้นนั้นเป็นความฝันของบุรุษทุกคน หม่อมฉันเองก็เช่นกัน แต่การได้อยู่ข้างพระวรกายคอยเป็นพระเนตรพระกรรณให้กับพระองค์ก็เป็นเกียรติแก่หม่อมฉันมากยิ่งแล้ว ทุกอย่างสุดแล้วแต่พระองค์จะเห็นสมควรพ่ะย่ะค่ะ”
เจาเฟิงตี้เผยรอยยิ้มเป็นครั้งแรกในรอบหลายวัน “ขุนนางหลัวเป็นขุนนางคู่ใจของเราจริงๆ ยามนี้หน่วยองครักษ์จิ่นหลินมิอาจขาดเจ้าได้”
หลัวเทียนเฉิงคุกเข่าลงเอ่ยว่า “ขอบพระทัยฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”
เวลาล่วงเข้าสู่ปลายเดือนหกอย่างรวดเร็ว แม่ทัพที่นำทัพกองพลพยัคฆ์มังกรไม่คุ้นเคยกับสภาพอากาศทำให้ฝีมือลดกำลังลงไปมาก สุดท้ายจึงเสียเมืองไปถึงสองเมือง
เจาเฟิงตี้โกรธกริ้วอย่างยิ่ง เขาคิดว่าแม่ทัพกองพลพยัคฆ์มังกรอายุมากกว่าห้าสิบปีแล้ว ศักยภาพจึงถดถอยลง จึงสะบัดพู่กันบัญชาให้แม่ทัพอีกผู้หนึ่งที่อายุยังไม่ถึงสี่สิบนำกำลังเข้าไปเสริมทัพ
ครานี้มิได้มีข่าวการแพ้สงครามของต้าโจวแพร่ออกมา เพราะแม่ทัพทั้งสองถูกล้อมไว้ในเมืองน้ำแข็งทางแดนเหนือเสียแล้ว
กองทัพของต้าโจวที่สามารถเคลื่อนพลไปรบได้ต่างถูกส่งไปร่วมรบหมดแล้ว หากแบ่งกองกำลังมาจากหน่วยอื่นอีกอาจทำให้เกิดผลกระทบที่มากกว่านี้ เมื่อกองทัพถูกล้อม เจาเฟิงตี้ก็ยิ่งเคร่งเครียดมากขึ้น ทั้งยังมีความรู้สึกจนใจชนิดหนึ่งอยู่ด้วย ครั้นเกิดความวุ่นวายใจจึงเรียกนักพรตผู้นั้นมาเข้าเฝ้า ไม่นานเขาก็กลายเป็นคนโปรดที่ผู้ใดมิอาจเทียบได้
เมื่อความร้อนค่อยๆ ผ่อนคลายลง เวลาก็ล่วงเลยเข้าสู่เดือนแปดและเป็นช่วงเวลาของการกินดอกกุ้ยอันสดใหม่ อาการป่วยครานี้ของเจินเมี่ยวหายดีตามสัญญาณที่ฮูหยินผู้เฒ่าบอกใบ้มา
นางมิได้ออกจากเรือนมานานถึงสามเดือนเต็ม แม้แสงอาทิตย์ยามเช้าจะไม่แสบตานัก แต่เจินเมี่ยวกลับรู้สึกมิค่อยชินเท่าใดนัก นางจึงยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นบังใบหน้าด้านข้างของตนแล้วเดินไปที่เรือนอี๋อานเพื่อน้อมทักทายฮูหยินผู้เฒ่า
เมื่อนางเดินเข้าไป ภายในห้องก็เงียบสงบลงทันที
“คารวะท่านย่าเจ้าค่ะ” เจินเมี่ยวย่อกายลง แล้วหันไปทำความเคารพนางซ่งและนางชี
กระทั่งนางทำความเคารพทุกคนเสร็จแล้ว เถียนเสวี่ยที่ท้องโตมากแล้วก็หันมาทักทายนาง
“รีบมานั่งเถิด” ฮูหยินผู้เฒ่ากวักมือเรียก เมื่อพิจารณาใบหน้าอันข่าวผ่องของเจินเมี่ยวอย่างละเอียดแล้วจึงเอ่ยออกมาอย่างทอดถอนใจว่า “ในที่สุดก็หายเสียที”
“ทำให้ท่านย่าเป็นห่วง หลานสะใภ้ช่างอกตัญญูนัก”
ฮูหยินผู้เฒ่าตบหลังมือนางคราหนึ่ง “เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นสิ่งที่คนเรามิอาจควบคุมได้ จึงมิอาจตำหนิเจ้า หายป่วยเสียทีก็ดีแล้ว ตอนที่อาสะใภ้รองของเจ้าจากไป เจ้ามิอาจมาร่วมงานได้จึงมิได้ไปส่งศพนาง ประเดี๋ยวก็ไปที่ศาลบรรพบุรุษจุดธูปให้นางสักหน่อยเถิด”
“เจ้าค่ะ” เจินเมี่ยวรีบรับคำทันที
นางนั่งอยู่ด้านข้างฟังฮูหยินผู้เฒ่ากับนางซ่ง นางชีพูดคุยเรื่องต่างๆ เถียนเสวี่ยเองก็ดูผ่อนคลายมากว่าตอนที่มีนางเถียนอยู่ บางคราที่นางเอ่ยพูดผสมโรงไปด้วย ฮูหยินผู้เฒ่าก็จะยิ้มออกมา แววตาเต็มไปด้วยความรักใคร่เอ็นดู
นางชีเหลือบมองเจินเมี่ยวคราหนึ่งด้วยความเป็นห่วง
สองสามเดือนมานี้ เรื่องภายในจวนล้วนมอบให้นางซ่งจัดการ นางเองก็สุขภาพไม่ค่อยดีจึงช่วยดูแลได้เพียงเล็กน้อย ตามหลักแล้วเมื่อนางเจินหายดีก็ควรมอบอำนาจการดูแลจัดการจวนให้นางเช่นเดิม แต่ฮูหยินผู้เฒ่ากลับมิเอ่ยถึงเลย
นางชีรู้สึกอยู่รางๆ ว่าหลังจากที่นางเจินหายป่วย ท่าทีที่ฮูหยินผู้เฒ่ามีต่อนางแม้ยังคงสนิทชิดใกล้แต่กลับมีบางอย่างที่แปลกไป แต่แปลกที่ตรงใดนางก็บอกไม่ถูก ทว่าสำหรับคนที่เป็นหม้ายอยู่เพียงลำพังมาหลายปีเช่นนางกลับรับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ นี้ได้ไวเป็นพิเศษ
นางชีส่ายหน้าไปมา นางต้องคิดมากไปเป็นแน่ ฮูหยินผู้เฒ่าชมชอบนางเจินมาแต่ไหนแต่ไร เมื่อนางเจินล้มป่วยก็มีแต่จะเป็นห่วงเป็นใยมากขึ้นเท่านั้น
เจินเมี่ยวกลับคล้ายมิได้รับรู้ถึงความเฉยชาของฮูหยินผู้เฒ่าเลย นางนั่งฟังทุกคนสนทนากันอยู่เงียบๆ เมื่อถึงเวลากลับ นางก็ลุกขึ้นเอ่ยด้วยยิ้มว่า “ท่านย่า หลานสะใภ้กลับก่อนแล้ว ประเดี๋ยวพลบค่ำจะมาน้อมทักทายท่านอีก”
ฮูหยินผู้เฒ่ามองรอยยิ้มนั้นแล้วกลับมิได้รู้สึกดีอันใดนัก แต่ก็มิได้แสดงมันออกมาทางสีหน้า “มิต้องมาแล้ว ตอนนี้ทุกอย่างปกติดี มิจำเป็นต้องมากพิธีเพียงนั้น ข้าเองก็มิให้พวกนางมาน้อมทักทายในตอนเย็นแล้ว”
เจินเมี่ยวอึ้งงันไปแล้วพยักหน้าทันที “หลานสะใภ้ทราบแล้วเจ้าค่ะ”
เมื่อผู้คนต่างแยกย้ายกลับหมดแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าก็นั่งพิงหมอนอิง นับลูกประคำในมือโดยไม่ส่งเสียงอันใดเลย แต่ยิ่งนับก็ยิ่งรู้สึกหงุดหงิด สุดท้ายจึงถอดกำไลลูกประคำบนข้อมือออกมาวางไว้บนโต๊ะเล็กที่ตั้งอยู่บนเตียงคั่ง
แม้นางชมชอบนางเจินไม่น้อย แต่เมื่อคิดถึงวันเวลาที่นางถูกลักพาตัวไปก็อดรู้สึกรังเกียจมิได้
เจินเมี่ยวไปที่ศาลบรรพบุรุษกับไป่หลิง
“ไป่หลิง เจ้าคอยอยู่ที่นี่เถิด”
สถานที่เช่นนี้ บ่าวไพร่ไม่มีสิทธิ์เข้าไปได้
ด้านในค่อนข้างมืด เมื่อก้าวเข้าไปก็ได้กลิ่นหอมฉุนของธูปทันที
เจินเมี่ยวจุดธูปแล้วคุกเข่าลงไหว้คำนับคราหนึ่ง เมื่อนางลุกขึ้นจะเดินออกไปมือก็พลันถูกคนจับไว้
เจินเมี่ยวนั้นเป็นประเภทที่ยิ่งตกใจยิ่งร้องไม่ออก หรือที่เรียกกันว่าคนที่มีปฏิกิริยาตอบสนองช้านั่นเอง แต่หลังจากนางประสบพบกับการถูกลักพาตัว ร่างกายกลับตอบสนองรวดเร็วยิ่ง ครานี้นางจึงยกเท้าขึ้นเตะออกไปโดยแรง
คนผู้หนึ่งล้มกลิ้งลงไปกับพื้นแล้วลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล
“น้องรอง?” เจินเมี่ยวร้องขึ้นด้วยความตกใจ “เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”
“ท่านมาทำอันใด” คุณชายรองจ้องมองเจินเมี่ยวด้วยแววตาดุดัน แล้วหันไปมองธูปที่นางจุดคราหนึ่งจึงแค่นยิ้มออกมา “ท่านแม่ข้าไม่ต้องการการคำนับอันจอมปลอมของท่านดอก”
เจินเมี่ยวกวาดตามองคุณชายรองด้วยสายตาเย็นชาคราหนึ่งแล้วยกเท้าเดินออกไป
“หยุด!” คุณชายรองยื่นมือออกไปคว้าแขนเสื้อเจินเมี่ยวไว้
เจินเมี่ยวล้วงเอามีดสั้นที่อยู่ในแขนเสื้อตนออกมา “คุณชายรอง หากเจ้ายังกำเริบเสิบสานอีก ข้าจะมิใช่แค่เตะเจ้าเท่านั้น”
คุณชายรองหัวเราะแหะๆ ออกมา “มีอันใด ท่านจะแทงข้าหรือ เอาเลย เก่งจริงก็ทำให้คนทั้งจวนดูเลย อย่างไรเสียข้าก็เป็นคนเท้าเปล่าไม่กลัวการสวมรองเท้า”
เจินเมี่ยวใช้สายตาพิจารณาคุณชายรองแล้วถอนหายใจออกมาพลางส่ายหน้า “เหตุใดเจ้าจึงมีสภาพเช่นนี้ได้ หากข้าเป็นเจ้า คงไม่กล้าจะมาเจออาสะใภ้รองด้วยซ้ำ!”
นางยกเท้าก้าวเดินออกไปข้างนอก ทว่าเสียงของคุณชายรองกลับลอยตามหลังมาว่า “พี่สะใภ้ ท่านมิได้ป่วยใช่หรือไม่”
เจินเมี่ยวพลันชะงักฝีเท้าตน
คุณชายรองแค่นยิ้มเย็น “ท่านต้องมิได้ป่วยอย่างแน่นอน!”
เจินเมี่ยวหมุนกายเดินเข้าไปหาเขาช้าๆ นางหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมารองมือแล้วตบไปบนศีรษะของคุณชายรอง “ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นบ้าขึ้นมาอีกแล้ว เลิกทำอันใดตามใจเสียทีเถิด!”
พูดจบก็หมุนกายจากไปโดยไม่แม้แต่จะหันมามอง นางส่งผ้าเช็ดหน้าให้ไป่หลิง “มันสกปรกแล้วเอาไปเผาทิ้งเถิด”
เมื่อกลับถึงเรือนชิงเฟิง เจินเมี่ยวก็อาบน้ำเพื่อชำระล้างเอาไออัปมงคลนั้นออกไป แล้วเรียกชิงเกอเข้ามาหา “ไปเอาดอกกุ้ยที่หมักได้ที่แล้วมา”
“ต้าไหน่ไหน่จะทำขนมดอกกุ้ยหรือเจ้าคะ”
“อืม” เจินเมี่ยวลงมือทำขนมอยู่หนึ่งชั่วยามกว่า ขนมดอกกุ้ยรูปทรงสวยงามจึงเป็นอันเสร็จเรียบร้อย
“เอาจานนี้ไปส่งที่เรือนฮูหยินผู้เฒ่า”
ไป่หลิงจัดขนมใส่ตะกร้าเรียบร้อยก็เดินออกจากประตูไป
“ฮูหยินผู้เฒ่าเจ้าคะ แม่นางไป่หลิงจากเรือนต้าไหน่ไหน่มาเจ้าค่ะ”
แม่นมหยางกำลังนั่งสนทนาเป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่าอยู่บนเก้าอี้ตัวเตี้ยพอดี
ฮูหยินผู้เฒ่าหันหน้าไป “ให้นางเข้ามา”
“ไป่หลิงคารวะฮูหยินผู้เฒ่าเจ้าค่ะ” ไป่หลิงรูปโฉมงดงาม ทั้งฉลาดมีไหวพริบ เห็นแล้วพาให้เบิกบานใจยิ่ง
ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยน้ำเสียงอ่อนนุ่มว่า “มีเรื่องอันใดหรือ”
“ต้าไหน่ไหน่ทำขนมดอกกุ้ยจึงให้บ่าวนำมาให้ท่านเจ้าค่ะ”
มิรอให้ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยอันใด ไป่หลิงก็รีบยกขนมดอกกุ้ยที่กำลังร้อนๆ ออกมาอย่างคล่องแคล่ว
“กลับไปบอกต้าไหน่ไหน่ด้วยว่า นางเพิ่งหายดีอย่าเพิ่งหักโหมทำอันใดพวกนี้”
ไป่หลิงยิ้มก่อนเอ่ยว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าเจ้าคะ ต้าไหน่ไหน่ของพวกเราหายดีจนสามารถทำขนมเพื่อแสดงถึงความกตัญญูต่อฮูหยินผู้เฒ่าได้เช่นนี้ ต้าไหน่ไหน่กลับดูเบิกบานกว่าแต่ก่อนเสียอีกเจ้าค่ะ เมื่อคนเราเบิกบานสุขภาพก็ย่อมดีตามไปด้วย”
ฮูหยินผู้เฒ่ายิ้มออกมาในที่สุด “สาวใช้ผู้นี้ช่างรู้จักพูดจาเสียจริง หงสี่ ไปส่งไป่หลิงหน่อยเถิด”
หงสี่เข้าใจในทันที เมื่อออกไปส่งจึงยัดเงินรางวัลใส่มือไป่หลิง
เมื่อเป็นเงินรางวัลจากฮูหยินผู้เฒ่า ไป่หลิงจึงรับไว้ด้วยความเต็มใจ นางเอ่ยขอบคุณแล้วกลับเรือนชิงเฟิงไป
ฮูหยินผู้เฒ่ามองขนมดอกกุ้ยที่กำลังร้อนกรุ่นอยู่บนจานแล้วถอนหายใจออกมา ในใจก็คิดว่าเด็กน้อยผู้นั้นมิใช่คนคิดซับซ้อนคงดูไม่ออกถึงท่าทีห่างเหินเฉยชาของนางกระมัง
เมื่อคิดได้เช่นนี้ก็อดคิดไม่ได้ว่านางจะรู้สึกเช่นไรหากรู้ความคิดของตน
แม่นมหยางก้มหน้าเม้มริมฝีปากเป็นรอยยิ้ม
ฮูหยินผู้เฒ่าตัดสินใจว่าจะรักษาระยะห่างกับต้าไหน่ไหน่ แต่แค่ขนมดอกกุ้ยจานเดียวก็หวั่นไหวเสียแล้ว มิน่าเล่าคนถึงเอ่ยกันว่าเฒ่าทารกนั้นเปลี่ยนไวยิ่งกว่าเด็กทารกเสียอีก
“เจ้าว่า เหตุใดนางต้องทำเช่นนี้ด้วย” ฮูหยินผู้เฒ่าจะพูดความรู้สึกกับแม่นมหยางที่รู้ความนัยทุกอย่างแค่เพียงคนเดียวเท่านั้น
“ต้าไหน่ไหน่เป็นคนไร้เดียงสาเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าแค่นเสียงหึคราหนึ่ง “ข้าไม่มีขนมดอกกุ้ยกินหรือไร”
“เจ้าค่ะๆ ฮูหยินผู้เฒ่าย่อมมีขนมดอกกุ้ยกินอย่างแน่นอน แต่บ่าวจำได้ว่าขนมดอกกุ้ยที่ต้าไหน่ไหน่ทำจะหอมและนุ่มกว่าขนมดอกกุ้ยธรรมดาทั่วไป เช่นนั้นก็ยกให้บ่าวสักชิ้นเถิด”
ฮูหยินผู้เฒ่าถลึงตามองนางคราหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “อยากกินก็เอาไปเถิด”
เมื่อเห็นแม่นมหยางหยิบขนมกุ้ยไปกินอย่างไม่เกรงใจเลยสักนิด ทั้งกินหมดแล้วยังคิดจะกินอีก ฮูหยินผู้เฒ่าจึงกระแอมไอขึ้นเสียงหนึ่ง “ช่างเถิด นางทำมาแล้วแท้ๆ อย่างไรข้าก็ควรจะชิมสักคำ”
แม่นมหยางได้แต่ลอบยิ้มอยู่ในใจ นางหยิบผ้าขึ้นมาห่อขนมไว้แล้วส่งให้ฮูหยินผู้เฒ่า
ส่วนเจินเมี่ยวกินไปเพียงชิ้นเดียวก็วางมันไว้ไม่ไยดี
วันนี้หลัวเทียนเฉิงกลับมาเร็วกว่าทุกวัน เมื่อเห็นขนมดอกกุ้ยที่เหลือเต็มจานก็รับรู้ได้ว่าเจินเมี่ยวอารมณ์มิใคร่ดีนักจึงถามนางว่า “เป็นอันใด”
เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยต่อว่า “หรือตอนไปน้อมทักทาย ท่านย่า…”