ตอนที่ 400 แต่งตั้งแม่ทัพ

วาสนาบันดาลรัก

เจินเมี่ยวมองเขาด้วยสายตาแปลกใจคราหนึ่ง “เกี่ยวอันใดกับท่านย่าหรือ”

 

 

หลัวเทียนเฉิงอึ้งงันไปครู่หนึ่ง ใจเขาพลันปวดแปลบขึ้นมาเล็กน้อย

 

 

สตรีโง่งมผู้นี้…เกรงว่าคงยังไม่รู้ความคิดของท่านย่ากระมัง

 

 

ความจริงสิ่งที่ท่านย่าทำก็มิได้ผิด หากเปรียบกับผู้อาวุโสทั้งหลายที่ได้พบเจอสถานการณ์เช่นนี้นั้น​ ยังนับว่าท่านย่าใจกว้างไม่น้อย ทว่าเขายังอดรู้สึกเจ็บปวดแทนนางมิได้ กระทั่งโทษตัวเองอยู่ลึกๆ

 

 

“เจี๋ยวเจี่ยว เป็นข้าเองที่คิดเดาไปส่งเดช”

 

 

เจินเมี่ยวหยิบขนมดอกกุ้ยขึ้นมายัดใส่ปากหลัวเทียนเฉิงชิ้นหนึ่งแล้วเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ท่านมิใช่เทพใช่เซียนเสียหน่อย จะคาดเดาเรื่องราวได้อย่างเทพเซียนงั้นหรือ ข้ารู้…ท่านกังวลว่าท่านย่าจะมีท่าทีที่เปลี่ยนไปต่อข้าใช่หรือไม่”

 

 

นางลุกขึ้นไปปิดหน้าต่างแล้วเดินกลับไปนั่งลงข้างหลัวเทียนเฉิง “ท่านว่าใจเถิด ข้ามิเก็บเอามาใส่ใจดอก ข้าผ่านเรื่องราวเช่นนั้นมา หากเป็นฮูหยินผู้เฒ่าตระกูลอื่นก็อาจจะบังคับให้ท่านหย่ากับข้าไปแล้ว แต่ท่านย่ากลับมิได้พูดจาตำหนิอันใดเลย แค่ดูเฉยชาต่อข้ามากกว่าเมื่อก่อนเพียงเล็กน้อย หากข้าจะโกรธเกลียดคงมิควรเป็นอย่างยิ่ง”

 

 

“เจี๋ยวเจี่ยว” หลัวเทียนเฉิงพลันรู้สึกอบอุ่นใจขึ้นมา

 

 

เขาคิดว่านางไม่รู้แต่นางกลับเข้าใจอย่างกระจ่างแจ้ง

 

 

“เช่นนั้นเจ้ามีเรื่องในใจอันใดอีกเล่า” หลัวเทียนเฉิงเอื้อมมือไปโอบนาง “มีเรื่องใด บอกข้ามิได้หรือ”

 

 

เจินเมี่ยวเงยหน้าขึ้น “ซื่อจื่อ ข้ารู้สึกว่าน้องรองคล้ายสติมิใคร่ปกตินัก”

 

 

“หืม?”

 

 

“วันนี้ข้าไปที่ศาลบรรพบุรุษเพื่อจุดธูปให้อาสะใภ้รอง น้องรองแอบอยู่ที่นั่นพอดี เขาพูดจาแปลกแปร่งพิกล ทั้งยังเอ่ยอย่างมั่นใจยิ่งว่าข้ามิได้ป่วย”

 

 

“เขาพูดเช่นนั้นหรือ” หลัวเทียนเฉิงหรี่ตาลง รอยยิ้มหายไปทันใด

 

 

เจินเมี่ยวพยักหน้า “ข้าเห็นท่าทีเขาแล้วมิได้ดูเหมือนรู้ความจริงอันใด แต่เหมือนสติมิใคร่อยู่กับร่องกับรอยนัก ช่างผิดแผกไปจากเมื่อก่อนยิ่ง”

 

 

“เจ้าวางใจเถิด เขาแสร้งเป็นคนโง่คนบ้าได้อีกไม่นานแล้ว”

 

 

ตกดึกเจินเมี่ยวที่กำลังหลับสบายก็ฝันว่านางใช้มีดกระดูกไก่แทงองครักษ์ที่คอยเฝ้านางอยู่เหล่านั้นจนตายหมด แล้วกระโดดลงเรือลำเล็กไปกับหลัวเทียนเฉิง

 

 

จู่ๆ​ ลมก็พัดกระโชกแรง เรือน้อยโยกคลอนไปตามลม เจินเมี่ยวจึงพลอยโอนเอนตัวตามไปด้วย​ นางรู้สึกเวียนหัวและคอแห้ง เมื่อเห็นกระบอกน้ำที่ห้อยอยู่ตรงเอวหลัวเทียนเฉิงจึงยื่นมือไปหยิบ แต่ไม่ทราบเหตุใดจึงหยิบไม่ได้เสียที นางร้อนใจเอามือลูบสะเปะสะปะทั่วไป

 

 

เสียงร้อง ‘หึ’ ดังขึ้น ตามด้วยความรู้สึกหนักอึ้งบนกายของเจินเมี่ยว นางจึงต้องลืมตาขึ้น

 

 

“ซื่อจื่อ?” ครั้นเห็นคนที่อยู่บนร่าง เจินเมี่ยวก็คิดจะหลบทันที

 

 

เขาใช้สองมือกักตัวนางไว้อย่างแน่นหนา แม้กระทำอย่างอ่อนโยนแต่กลับหนักแน่นอยู่ในที

 

 

“ยังอยู่ในช่วงไว้ทุกข์ ท่านจะทำตัวเหลวไหลเช่นนี้ได้อย่างไร” เจินเมี่ยวแทบร้องไห้ออกมาแล้ว

 

 

แม้หลายเดือนมานี้หลัวเทียนเฉิงจะลอบมานอนที่ห้องนางในยามวิกาลทุกคราที่กลับจวน ทว่าคนทั้งสองกลับมิเคยชิดใกล้กันถึงเพียงนี้ มิต้องพูดถึงเรื่องอื่นเลย หากตั้งครรภ์ขึ้นมาย่อมเป็นหลักฐานที่มิอาจปฏิเสธได้แน่

 

 

หลัวเทียนเฉิงรู้ว่านางกลัวอันใด เขาจุมพิตที่ริมฝีปากนางพลางเอ่ยว่า “มิต้องกลัว ข้ากินยามาแล้ว”

 

 

“กินยา?”

 

 

“อืม ข้าหาคนที่เชื่อใจได้จัดยาให้ข้า หลังจากกินแล้วจะไม่มีทางทำให้สตรีตั้งครรภ์ได้”

 

 

เจินเมี่ยวจึงมิขัดขืนอีก

 

 

นางมิใช่พระโพธิสัตว์เสียหน่อย หากนางเคารพนางเถียนจากใจย่อมต้องรักษากฎในช่วงไว้ทุกข์เป็น แต่ในความเป็นจริงต่างฝ่ายต่างขัดแย้งกัน ในเมื่อมั่นใจว่าจะไม่เกิดเรื่องผิดพลาดขึ้นแน่ แล้วนางมีเหตุผลอันใดที่จะไม่ร่วมเสพสุขกับช่วงเวลาของคนทั้งสองเล่า

 

 

ความโอนอ่อนผ่อนตามของนางยิ่งทำให้หลัวเทียนเฉิงอดรนทนไม่ไหว ไม่นานม่านก็ขยับพลิ้วไหวแผ่วเบา เมื่อคลื่นซัดสาดโหมกระหน่ำเข้ามา ก็ได้ยินเพียงเสียงหายใจอันหอบถี่ของคนทั้งสอง

 

 

หลังจากทุกอย่างสิ้นสุดลง หลัวเทียนเฉิงก็ไปยกน้ำเข้ามาทำความสะอาดให้เจินเมี่ยว หลังจากนั้นคนทั้งสองจึงโอบกอดกันนอนหลับไป

 

 

วันรุ่งขึ้น เมื่อเจินเมี่ยวมองสตรีงดงามหน้าตาสดใส แก้มนวลแดงปลั่งในกระจกแล้วก็หน้าแดงขึ้นมา ทั้งลอบด่าหลัวเทียนเฉิงอยู่ในใจ

 

 

ไป๋เสารู้สึกเป็นกังวลขึ้นมาเล็กน้อย “ต้าไหน่ไหน่ ทาแป้งกลบสักหน่อยดีหรือไม่เจ้าคะ”

 

 

เจินเมี่ยวพยักหน้าด้วยใบหน้าอันเห่อร้อน

 

 

เมื่อทาแป้งปกปิดแล้วเห็นคนในกระจกมีสีหน้าเหลืองซีดคล้ายคนป่วยอยู่หลายส่วน เจินเมี่ยวจึงพาไป่หลิงไปน้อมทักทายฮูหยินผู้เฒ่าอย่างสบายใจ

 

 

ไป๋เสารู้สึกหวาดหวั่นใจอยู่บ้าง จึงเอ่ยกับจื่อซูผู้กลับมาดูแลจวนชิงเฟิงใหม่อีกครั้งหลังออกเรือนไปว่า “ซื่อจื่อมานอนที่นี่ทุกคืน ทำเอาข้าอกสั่นขวัญแขวนยิ่ง กลัวว่าผู้อื่นจะสงสัยเอา”

 

 

จื่อซูที่แต่งให้กับองครักษ์ลับของหลัวเทียนเฉิงนั้นทราบดีถึงฝีมือของเขา จึงเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้าอย่าได้กังวลไปเลย ซื่อจื่อกับต้าไหน่ไหน่รักใคร่กันย่อมเป็นเรื่องดี เจ้าคิดว่าคนที่อยู่ในช่วงไว้ทุกข์เหล่านั้นจะมีสักกี่คนที่มิร่วมหอกัน แค่มิตั้งครรภ์ขึ้นมาก็พอแล้ว”

 

 

นางเป็นสตรีที่เคยมีบุตรมาแล้วย่อมเข้าใจเรื่องเหล่านี้มากกว่าไป๋เสา หากสามีกับภรรยาเข้ากันได้ดีในเรื่องนี้ ความรู้สึกย่อมนับวันยิ่งลึกซึ้ง

 

 

ที่ทำให้คนนึกไม่ถึงคือสามเดือนให้หลัง อากาศหนาวแม้ใส่เสื้อนวมแล้วยังต้องใส่เสื้อเพิ่มอีกตัว จวนกั๋วกงกลับมีคนตั้งครรภ์ขึ้นในช่วงไว้ทุกข์จริงๆ

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่าฝืนตนไว้มิให้วู่วามจนขว้างถ้วยชาใส่ศีรษะคุณชายรอง นางเอ่ยด้วยเสียงกรุ่นโกรธ “เจ้ารอง ศพมารดาเจ้ายังมิทันเย็นด้วยซ้ำ เหตุใดเจ้าถึงทำเรื่องเช่นนี้ออกมาได้”

 

 

คุณชายรองคุกเข่าอยู่บนพื้น เขามองสาวใช้ที่คุกเข่าอยู่ด้านข้างคราหนึ่งแล้วเอ่ยเสียงเรียบว่า “หลานมิได้ทำ หลานจำนางมิได้ด้วยซ้ำ”

 

 

สาวใช้ผู้นั้นพลันร้องไห้ออกมา “ฮูหยินผู้เฒ่าเจ้าคะ ขอท่านให้ความเป็นธรรมแก่บ่าวด้วย สองเดือนก่อนบ่าวเดินผ่านไปที่เรือนเพาะชำ เห็นคุณชายรองเมานอนอยู่ตรงนั้นจึงเข้าไปประคอง คิดไม่ถึงว่าคุณชายรองจะ…ใช้กำลังข่มเหงบ่าว…เดิมบ่าวมิกล้าพูดอันใด แต่เมื่อเดือนก่อนระดูกลับไม่มา หลังจากนั้นก็อาเจียน ไม่มีแรงจึงได้หาหมอมาตรวจอาการเงียบๆ ถึงทราบว่าตนมีครรภ์…”

 

 

“เจ้าดื่มสุราด้วยงั้นหรือ” ฮูหยินผู้เฒ่าจ้องคุณชายรองเขม็งด้วยสีหน้าเคร่งขรึมมากยิ่งขึ้น

 

 

“ท่านย่า หรือท่านจะเลือกเชื่อวาจาสาวใช้ผู้หนึ่ง แต่มิยอมเชื่อหลาน”

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่าหันหน้าไปเอ่ยกำชับกับแม่นมหยางว่า “ไปเรียกซวงสี่เข้ามา”

 

 

เดิมนั้นบ่าวรับใช้ของคุณชายรองคือตังกุยกับไป๋จู๋ แต่เพราะบ่าวทั้งสองรู้เรื่องที่ไม่ควรรู้จึงถูกนายท่านรองจัดการไปเรียบร้อยแล้ว ยามนี้บ่าวรับใช้ของเขาคือซวงสี่ที่เพิ่งมาติดตามดูแลเขาได้ไม่นานนี้เอง

 

 

ซวงสี่เดินเข้ามาแล้วคุกเข่านั่งลงอย่างนอบน้อม

 

 

“ซวงสี่ ระยะนี้คุณชายรองเป็นอย่างไรบ้าง”

 

 

ซวงสี่มองคุณชายรองคราหนึ่งแล้วเอ่ยอย่างขลาดกลัวว่า “คุณชายรองมักอยู่แต่ในห้อง บางคราก็ออกไปเดินเล่นที่สวนดอกไม้บ้างขอรับ”

 

 

“แล้วเขาเคยดื่มสุราหรือไม่”

 

 

ซวงสี่ปิดปากเงียบมิกล้าเอ่ย แล้วหันไปมองคุณชายรองอีกครั้ง

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่าตบโต๊ะคราหนึ่ง “ซวงสี่ พูดความจริงมาเดี๋ยวนี้ หากรอให้ข้าสอบถามจนทราบเอง เรื่องราวย่อมมิง่ายดายเช่นตอนนี้แน่”

 

 

ซวงสี่ตัวสั่นไปทั้งร่าง เขามองคุณชายรองคราหนึ่งแล้วกลั้นใจเอ่ยออกไปว่า “เรียนฮูหยินผู้เฒ่า คุณชายรอง…บางคราที่ทุกข์ใจก็มีดื่มสุราบ้างเล็กน้อยขอรับ”

 

 

“บังอาจ!” คุณชายรองโกรธจนยกเท้าขึ้นถีบเขา

 

 

ซวงสี่ไม่กล้าหลบ ได้แต่เอามือกุมศีรษะตนไว้ แต่ในใจกลับแน่วแน่ยิ่ง

 

 

เขาเพิ่งติดตามคุณชายรองได้ไม่นาน เดิมก็มิได้มีความผูกพันฉันนายบ่าวอันใดอยู่แล้ว ทั้งคุณชายผู้นี้ยังอารมณ์แปรปรวนยิ่ง หากอารมณ์ไม่ดีก็มักจะมาลงกับเ­ขา กระทั่งตอนนี้รอยเขียวช้ำตามตัวยังไม่หายไปเลยด้วยซ้ำ

 

 

“หยุด!” ฮูหยินผู้เฒ่าร้องห้าม “พาตัวซวงสี่ออกไป”

 

 

กระทั่งซวงสี่ออกไปแล้ว นางจึงหันมองสาวใช้ผู้นั้น “เจ้าบอกว่าคุณชายรองรังแกเจ้า เจ้ามีหลักฐานอันใดหรือไม่ มิใช่สาวใช้คนใดตั้งครรภ์ขึ้นมาก็จะบอกว่าคุณชายในจวนทำ”

 

 

“ฮูหยินผู้เฒ่าเจ้าคะ บ่าวมิใช่คนไร้ยางอายถึงเพียงนั้นแน่เจ้าค่ะ” สาวใช้โขกศีรษะลงบนพื้นอยู่หลายคราแล้วล้วงเอาของสิ่งหนึ่งออกมาจากอก “ภายในช่วงเวลาอันฉุกละหุกนั้นบ่าวได้ดึงสิ่งนี้มาจากตัวคุณชายรองเจ้าค่ะ”

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่าส่งสายตาให้คราหนึ่ง หงฝูก็เข้าไปหยิบสิ่งของชิ้นนั้นมา

 

 

ผ้าฝ้ายสีเหลืองอ่อนนั้นห่อหยกมัจฉาคู่ไว้ชิ้นหนึ่งซึ่งเป็นหยกที่คุณชายรองพกติดกายอยู่เสมอ

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่าถอนหายใจยาวออกมาด้วยความผิดหวังแล้วให้หงฝูนำหยกนั้นไปให้คุณชายรองดู

 

 

คุณชายรองกำหยกนั้นแน่นแล้วเอ่ยเสียงดุดันว่า “สาวใช้ชั่วช้า เจ้าขโมยหยกข้าไปได้อย่างไร”

 

 

“พอแล้ว” ฮูหยินผู้เฒ่าโบกมือคราหนึ่ง “เจ้ารอง เจ้าทำให้ย่าผิดหวังเหลือเกิน แค่สอบไม่ผ่านนั้นไม่นับเป็นอันใดได้ มีคนรุ่นเจ้าสักกี่คนที่สามารถสอบติดหนึ่งในสาม แต่ดูสิ่งที่เจ้าทำหลังจากนั้น ทั้งใส่ร้ายพี่น้องตน อกตัญญู ทำตัวไร้คุณธรรม! ทำให้จวนกั๋วกงของเราขายหน้าอย่างที่สุด!”

 

 

เมื่อมองสีหน้าอันยากจะคาดเดาอารมณ์ของคุณชายรองแล้วฮูหยินผู้เฒ่าจึงถอนหายใจยาวออกมา “มารดาเจ้าเพิ่งจะจากไปไม่นาน เจ้าไปสร้างกระท่อมอยู่หน้าหลุมฝังศพ ไว้ทุกข์ให้นางสักสามปีเถิด ส่วนเรื่องการสอบก็มิต้องคิดถึงมันอีก ต่อไปคนจะได้มิเอาเรื่องนี้มาพูดเป็นการเติมถ่านใส่เชื้อไม่จบไม่สิ้นจนทำให้ชื่อเสียงของจวนกั๋วกงต้องมัวหมองไปด้วย!”

 

 

คุณชายรองหน้าถอดสีไปทันที หน้าเขาซีดขาวยิ่งกว่าหิมะเสียอีก “ท่านย่า ท่านมิอาจ…”

 

 

เขาพูดยังไม่จบประโยคด้วยซ้ำก็รู้สึกหวานปร่าในลำคอ แล้วกระอักโลหิตออกมาต่อหน้าฮูหยินผู้เฒ่าที่มีท่าทีเย็นชายิ่ง

 

 

ด้วยเหตุนี้คุณชายรองจึงย้ายออกไปจากจวนเจิ้นกั๋วกงอย่างเงียบๆ ส่วนสาวใช้ผู้นั้นก็ถูกทำแท้งแล้วส่งไปรับใช้เยียนเหนียง

 

 

ข่าวด่วนจากทางเหนือรายงานมาว่าแม่ทัพที่ถูกส่งไปช่วยรบเกิดตกลงไปในหลุมน้ำแข็งขณะออกลาดตระเวน เมื่อช่วยขึ้นมาได้ก็สิ้นลมเสียแล้ว เมืองน้ำแข็งทางเหนือกำลังเผชิญกับภัยอันตรายอันใหญ่หลวง!

 

 

เมื่อว่าราชการในท้องพระโรง เจาเฟิงตี้จึงเอ่ยถามความเห็นของขุนนาง แต่ไม่มีขุนนางบุ๋นบู๋คนใดเลือกผู้ที่เหมาะสมได้เลย

 

 

เจาเฟิงตี้กลับห้องอักษรหลวงด้วยใบหน้าเขียวคล้ำ เพราะความอึดอัดกลัดกลุ้มนี้เขาจึงเรียกนักพรตฝูเฟิงเจินเหรินมาเข้าเฝ้า

 

 

ครั้นระบายความในใจหมดสิ้นแล้ว ฝูเฟิงเจินเหรินก็เดินยกมือขึ้นนับนิ้วกลับไปกลับมาช้าๆ แล้วเอ่ยว่า “ขอแสดงความยินดีกับพระองค์ด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”

 

 

เจาเฟิงตี้ยังคงมีสีหน้าเคร่งขรึม “มีเรื่องน่ายินดีอันใดกัน”

 

 

“ดาวพั่วจวินเลื่อนขึ้นหน้า เพื่อขยายอาณาจักรให้กว้างใหญ่ ขอเพียงให้ดาวพั่วจวินเดินหน้าขึ้นไปอีกก็สามารถยับยั้งภัยอันตรายที่จะเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เจาเฟิงตี้โน้มตัวไปข้างหน้าด้วยความร้อนรน “ดาวพั่วจวินอยู่ที่ใดหรือ”

 

 

ฝูเฟิงเจินเหรินยิ้มบางเบาออกมา “ดาวพั่วจวินนี้อยู่ข้างกายพระองค์มาตลอด ผู้ที่ช่วยให้ดาวจักรพรรดิพ้นจากภัยอันตราย ทั้งยังส่องสว่างดุจมีชีวิตใหม่​ คนผู้นั้นต้องเป็นคนหนุ่มอย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

 ครั้นฝูเฟิงเจินเหรินเอ่ยจบ ในหัวของเจาเฟิงตี้ก็ปรากฏภาพคนผู้หนึ่งขึ้นมาทันที ยิ่งครุ่นคิดยิ่งแน่ใจ เขารีบเรียกตัวหลัวเทียนเฉิงมาเข้าเฝ้าทันที จนลืมกระทั่งสอบถามเรื่องลัทธิเทพเซียนไปเสียสนิท

 

 

วันถัดมาก็มีราชโองการแต่งตั้งให้หลัวเทียนเฉิงเป็นแม่ทัพติ้งเป่ยและต้องนำทัพเดินทางไปภายในสองวันนี้

 

 

บรรยากาศในจวนเจิ้นกั๋วกงพลันตึงเครียดขึ้นมา

 

 

คนทั่วทั้งจวนไม่ว่าเจ้านายหรือบ่าวไพร่ต่างก็ยุ่งวุ่นวายกันไปหมด นางเวินรีบมาเยี่ยมที่จวนทันที ครั้นเห็นเจินเมี่ยวก็กอดนางแล้วร้องไห้ออกมา

 

 

“เมี่ยวเอ๋อร์ของข้าช่างน่าสงสารนัก เจ้าต้องไว้ทุกข์ไม่พอ​ ซื่อจื่อยังต้องออกรบอีก เมื่อใดจึงจะสามารถมีบุตรสักคนไว้ข้างกายเล่า!”

 

 

เจินเมี่ยวฟังแล้วก็ได้แต่เบ้ปากตน รอกระทั่งนางเวินร้องไห้พอแล้ว นางจึงยื่นผ้าเช็ดหน้าให้ทั้งปลอบใจว่า “ท่านแม่ ตอนนี้ที่ข้าห่วงคือความปลอดภัยของซื่อจื่อ ส่วนเรื่องบุตรนั้น เมื่อใดที่ควรมีก็ย่อมต้องมา หากข้ามิอาจมีได้จริงๆ การต้องไว้ทุกข์นั้นกลับเป็นการช่วยลดความกดดันไปได้หลายส่วน”

 

 

นางเวินฟังแล้วก็ยิ่งร้องไห้หนักกว่าเดิม

 

 

เด็กเคราะห์ร้ายผู้นี้ หากมิรู้จักปลอบใจคนก็อย่าพูดอันใดเสียดีกว่า!

 

 

กระทั่งนางเวินจากไปด้วยดวงตาแดงก่ำแล้ว เจินเมี่ยวจึงหยิบเหรียญเงินเหรียญหนึ่งออกมาแล้วใช้เชือกสีแดงผูกมันไว้แน่นเพื่อทำเป็นจี้ห้อยคอ