ตอนที่ 222 เราจะปกป้องเจ้าเอง

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

“องค์หญิงอย่าได้ทรงร้อนพระทัย นางได้รับบาดเจ็บแล้ว คาดว่าคงจะทนต่อไปได้ไม่นาน” ซิวกระซิบที่ข้างพระกรรณของเหยียนเฉียวหลัวเสียงเบา

 

 

คราวนี้ เหยียนเฉียวหลัวค่อยวางใจลงได้บ้าง

 

 

ไม่ต้องรีบร้อน ในเมื่อตู๋กูซิงหลันบาดเจ็บแล้ว นางย่อมไม่อาจเหาะอยู่อย่างนั้นได้ตลอดไป

 

 

“แผนที่กรุสมบัติอยู่กับตัวนาง” หลังจากนั้น ซิวก็ใช้แขนเสื้อมาบังเอาไว้ ให้มีแต่พวกเขาสองคนที่ได้ยินเสียงกระซิบริมพระกรรณของนาง

 

 

มุมปากของเหยียนเฉียวหลัวก็ขยับยกขึ้นมา ดีมาก รอให้ตู๋กูซิงหลันหมดสิ้นเรี่ยวแรง จนร่วงหล่นลงมา ยามนั้นนางก็จะเป็นคนแรกที่เข้าไปกระฉากหน้ากากของนางออกมา

 

 

ตั้งแต่ตอนแรก ไทเฮาน้อยผู้นี้ก็บังอาจมาติติงแผนที่ขุมทรัพย์ของนาง

 

 

ดังนั้นต่อให้ไม่มีสิ่งใดมาชักนำ นางก็ยังจะลงมืออยู่ดี

 

 

คนเช่นนี้ ยังกล้ามาเป็นไทเฮาของต้าโจวอยู่อีกหรือ?

 

 

…………………………..

 

 

อีกด้านหนึ่ง เมื่อตู๋กูซิงหลันรวบรวมพลังทั้งหมดในหยกสรรพชีวิตลงในยันต์แล้วซัดออกไป ศพคืนชีพผู้นั้นก็ถูกกดทับเอาไว้จนหมดหนทาง

 

 

ถึงแม้ว่าจะยังไม่ตาย แต่ก็สูญเสียพลังชีวิตไปกว่าครึ่ง จนตอนนี้ไม่อาจแผลงฤทธิ์ใดๆ ได้อีก

 

 

อันหร่วนเองก็แฝงกายอยู่ท่ามกลางฝูงชน ไม่รู้ว่าทำไมหลายวันนี้นางถึงได้รู้สึกว่าใจไม่สงบอยู่ตลอดเวลา คิดไม่ถึงว่า บุรุษผู้นั้นจะวางแผนการตลบหลังครั้งใหญ่เอาไว้เช่นนี้

 

 

แต่ว่าหมากตัวนี้ของนายท่าน คงจะต้องถือว่าหมดค่า ใช้การไม่ได้อีกแล้ว ดังนั้นนางจะต้องรักษาเนื้อรักษาตัวให้ดี

 

 

นางสวมใส่เสื้อผ้าสีดำ มีผ้าผืนหนึ่งคลุมใบหน้า ซ่อนตนอยู่ในความมืด ดวงตาที่ชราแล้วคู่นั้นแหงนขึ้นไปมองดูสาวน้อยที่อยู่ใต้แสงจันทร์

 

 

นางประหลาดใจอย่างแท้จริง เพราะหมากตัวนั้นมีพละกำลังและความสามารถมหาศาล ชั่วชีวิตของเขาไม่เคยพ่ายแพ้ให้กับผู้ใดมาก่อน นี่นับว่าเป็นครั้งแรก

 

 

พวกเขาประมาทไทเฮาแห่งต้าโจวไปแล้วจริงๆ

 

 

…………………………..

 

 

ใต้แสงจันทรา ตู๋กูซิงหลันใช้พลังทั้งหมดของหยกสรรพชีวิตออกไป ใบหน้าหนังมนุษย์ผืนนั้นต่อสู้กับวิญญาณทมิฬไปหลายสิบตลบ ในที่สุดก็พ่ายแพ้ลง

 

 

ไม่รอให้วิญญาณทมิฬจับมันกลืนกินลงไป ตู๋กูซิงหลันก็ชิงคว้ามันเอามาไว้ในมือของนาง

 

 

แผนที่สมบัติหนังคนยังคงต่อสู้อย่างดื้อดึง ใบหน้าที่มีเขี้ยวยาวแหลมคมยังคงพยายามจะกัดนางให้ได้

 

 

คราวนี้ ตู๋กูซิงหลันคว้าปากของมันเอาไว้ แล้วฉีกออกเป็นสองส่วนด้วยเรี่ยวแรงมหาศาล

 

 

แผนที่สมบัติหนังมนุษย์แผ่นนั้นยังไม่ทันได้กรีดร้องออกมา ก็ถูกนางฉีกอีกหลายครั้งอย่างต่อเนื่อง ทุกครั้งที่ฉีกล้วนขาดออกจากกันจนสุดแผ่น จนกระทั่งมันกลายเป็นชิ้นส่วนเล็กๆ นับสิบ ฉีกจนมันไม่กล้าแสดงความคั่งแค้นใดๆ ออกมาอีก

 

 

หลังจากนั้นนางก็ยัดเศษหนังคนเหล่านั้นส่งให้กับวิญญาณทมิฬ

 

 

“เอาไปซุกไว้ในร่างของศพคืนชีพผู้นั้น” พอนางกล่าวประโยคนั้นออกไป เรี่ยวแรงที่เหลืออยู่ก็หมดสิ้น ฝีเท้าเบาหวิว คล้ายกับว่าจะล้มคว่ำลงไปได้ทุกเมื่อ

 

 

พอเห็นว่านางกำลังจะร่วงลงมา สองเนตรของเหยียนเฉียวหลัวก็เปล่งประกายขึ้นมาในทันที

 

 

นางส่งสายตาให้กับซิว ซิวก็รีบพุ่งเข้าไปยังจุดที่ตู๋กูซิงหลันกำลังจะร่วงลงมา

 

 

แต่ว่าเขายังไม่ทันจะเข้าไปใกล้ ก็เห็นมีเงาดำของของคนกลุมหนึ่งโผล่ออกมาจากรอบด้าน เงาดำเหล่านั้นสกัดเขาเอาไว้ตั้งแต่ครึ่งทาง กีดกัดเขาให้ออกห่าง

 

 

ร่างของตู๋กูซิงหลันตกลงมาอย่างรวดเร็ว ลมหายใจก็เหลือเพียงเบาบาง ทรวงอกถูกกัดจนเนื้อหลุดไปหลายแผล ยามนี้เลือดจึงไหลทะลักออกมา มิว่าอย่างไรก็คงไม่ยอมหยุด

 

 

นางเงยหน้าขึ้นไป เห็นพระจันทร์สีเลือดที่ลอยคว้างอยู่กลางอากาศกำลังค่อยกลับคืนเป็นเช่นยามปกติ เมฆดำทั้งหมดกระจายหายไป ท้องฟ้ายามราตรีเปลี่ยนเป็นงดงามดั่งภาพวาด

 

 

นางไม่เคยได้มองดูดวงจันทร์จากมุมนี้มาก่อนเลย คิดไม่ถึงว่าที่แท้ก็งดงามมากถึงเพียงนี้

 

 

เสียงลมพลิ้วพัดผ่านใบหู ยาวนานราวกับว่านางกำลังจะข้ามผ่านไปอีกโลกหนึ่ง

 

 

นางค่อยๆ ปิดตาลง ปล่อยให้ร่างหล่นลงไปอย่างอิสระ ในสมองก็คิดถึงว่าอีกเดี๋ยวสมควรจะลงท่าไหนดีถึงจะไม่เจ็บมากนัก

 

 

จากนั้น จะอธิบายเรื่องในคืนนี้กับผู้อื่นอย่างไรดีน้า?

 

 

เวลาผ่านไปเพียงอึดใจ แต่ในสมองกลับครุ่นคิดไปนับพันนับหมื่น

 

 

สงสัยว่านางจะเหาะสูงเกินไปแล้ว ตกลงมาตั้งนานถึงได้ยังไม่ถึงพื้นเลยสักที

 

 

เพียงแต่รู้สึกว่าที่ข้างกายอยู่ๆ ก็มีสายลมหนาวพัดเข้ามาหา จากนั้นก็คล้ายจะได้รับสัมผัสบางอย่างที่คุ้นเคย

 

 

นางยังห่างจากพื้นดินอยู่ช่วงหนึ่ง แต่กลับหล่นลงไปในอ้อมแขนหนึ่งอย่างพอดิบพอดี

 

 

หนาวเหลือเกิน

 

 

ในหน้าที่ปรากฎขึ้นในดวงตาคือดวงพักตร์ที่เย็นชาดุจภูเขาน้ำแข็งของฮ่องเต้

 

 

เพียงแต่ว่าในยามนี้ดวงตาหงส์คู่นั้นเปี่ยมไปด้วยความห่วงใยอย่างไม่ปิดบัง

 

 

ท่ามกลางฝุ่นที่ปลิวขึ้นมาจนคลุ้งไปทั้วท้องฟ้า เขาสวมใส่ฉลองพระองค์สีทอง โอบกอดนางเอาไว้อย่างแนบแน่น “เรามาช้าไป”

 

 

ตู๋กูซิงหลันที่ปิดตาอยู่ก็ลืมตาขึ้นมามองเป็นเส้นบางๆ นางยังนึกว่าตนเองเห็นภาพหลอนไปเอง

 

 

จีเฉวียน ก็มีช่วงเวลาที่ห่วงใยผู้อื่นกับเขาด้วย?

 

 

“ลูกเอ๋ย ข้าถูกคนตบตีอีกแล้ว อูย อูยๆ ~” ตู๋กูซิงหลันร้องพลางกัดฟัน ริมฝีปากก็มีเลือดไหลออกมาอีก

 

 

จีเฉวียน “……..”

 

 

ดูอย่างไรก็รู้สึกว่าศพคืนชีพชราผู้นั้นถูกกระทืบหนักกว่าอยู่ดี

 

 

“ท่านไม่รู้หรอกว่า ของเล่นนี้น่ากลัวขนาดไหน หน้าตาก็น่าเกลียด ทั้งยังมีเรี่ยวแรงมหาศาล” ตู๋กูซิงหลันทำท่าหวาดผวาอย่างที่สุด

 

 

“เอาเถอะ เรารู้แล้ว เจ้าพักเสียเถอะ” จีเฉวียนเห็นนางถึงขนาดกระอักเลือดแล้วก็ยังจะเล่นละครต่อไปอีก ก็ไม่รู้ว่าสมควรจะปวดใจหรือว่าทำเช่นไรดี

 

 

เขายื่นดัชนีออกมาปิดริมฝีปากนางเอาไว้ คล้ายกับว่าจะปลอบประโลมนาง และจ่ายยาเสริมความมั่นใจให้นางไปเม็ดหนึ่ง “เราจะปกป้องเจ้าเอง”

 

 

ตรัสจบเขาก็เปิดปากนางขึ้นมา ยัดยาเม็ดสีแดงดุจโลหิตในมือลงไปหนึ่งเม็ด

 

 

เดิมทีตู๋กูซิงหลันรู้สึกว่ากระดูกทั่วร่างทุกข้อเจ็บปวดจนนางอย่าจะร้องตะโกนเรียกหาบิดามารดา แต่ทันทีที่กลืนยาเม็ดนั้นลงไป ก็รู้สึกว่าทั่วร่างเบาสบายขึ้นมาก มีกระแสอบอุ่นสายหนึ่งวิ่งไปทั่วร่าง ราวกับว่ามีบางสิ่งกำลังฟื้นฟูร่างกายของนางอย่างรวดเร็ว

 

 

โดยเฉพาะบาดแผลบริเวณหัวใจ เลือดสดๆ ที่ไหลออกมาหยุดลงในทันที ปากแผลคันนิดๆ

 

 

ความรู้สึกอบอุ่นที่ได้รับทำเอาตู๋กูซิงหลันถึงกับลืมเลือนพระดำรัสเมื่อครู่ที่บอกว่าจะปกป้องคุ้มครองนาง

 

 

นางทำตัวเกียจคร้านอยู่ในอ้อมแขนของเขา ยามนี้ไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะลุกขึ้นมา เดิมทีนางคิดว่าจีเฉวียนจะทรงพานางไปจากที่นี่

 

 

แต่คิดไม่ถึงว่า พอป้อนยาให้นางเสร็จเขากลับอุ้มนางร่อนลงมาจากบนฟ้าเสียอย่างนั้น

 

 

ภาพที่ฮ่องเต้ทรงโอบอุ้มสาวน้อยนางหนึ่งลงมาจากกลางอากาศสร้างความประหลาดใจให้กับผู้คนได้ไม่น้อยไปกว่ายามเมื่อครู่ที่สาวน้อยผู้นั้นกำราบปีศาจ

 

 

เหล่าองครักษ์ขยับเข้ามารายล้อมอยู่รอบองค์ฮ่องเต้ ทั้งที่เห็นอยู่ว่ามีเพียงสิบกว่าคน แต่กลับให้ความรู้สึกว่าเป็นดั่งกองทัพที่มีกำลังคนนับพัน

 

 

แรงกดดันนั้นตรึงผู้คนทั้งหมดเอาไว้กับที่ จนกระทั่งฝ่าบาทเสด็จออกมาจากกลุ่มฝุ่นควัน ปรากฎพระองค์ให้พวกเขาได้เห็นกันอย่างชัดเจน ผู้คนทั้งหลายถึงได้สูดลมหายใจเข้าไปอย่างเหน็บหนาว

 

 

หลังจากนั้นทั้งหมดก็พากันคุกเข่าลงไป โดยไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรงๆ ออกมา

 

 

ที่ด้านหลังของฮ่องเต้คือกำแพงของตำหนักหยู่เฉียนกงที่ถล่มลงมาฝุ่นควันยังไม่ทันจางหายพระองค์ก็สาวพระบาทก้าวออกมาก่อน ดูคล้ายดั่งเป็นราชาปีศาจที่ออกมาทำลายล้างโลก

 

 

ดวงเนตรหงส์เย็นชาดั่งน้ำแข็ง ยามกวาดออกไปก็เย็นวาบไปทั่วทั้งบริเวณ

 

 

ชั่วขณะนั้นเอง ผู้คนทั้งหลายไม่มีผู้ใดกล้าเงยหน้าขึ้นมาเลยสักคน แต่ละคนละรู้สึกหัวใจเต้นตูมตาม ฝ่าบาททรงพิโรธแล้วจริงๆ?

 

 

ถึงแม้ว่าที่ผ่านมาพระองค์จะทรงเย็นชาประดุจน้ำแข็ง แต่ว่าครั้งนี้ใครๆ ต่างก็รู้สึกได้ว่า ฝ่าบาททรงพิโรธแล้วจริงๆ

 

 

เหยียนเฉียวหลัวพลันตระหนกขึ้นมา ครั้งก่อนที่นางเคยได้เห็นจีเฉวียนเป็นเช่นนี้ คือยามเมื่ออยู่ในสนามประลองกับสัตว์ร้ายของแคว้นต้าเหยียน

 

 

หนุ่มน้อยผู้นั้นหลั่งเลือดทั่วตัว ปากแผลบนร่างลึกจนถึงกระดูก แต่ก็ยังยืนหยัดจนถึงที่สุด เหยียบย่ำอยู่บนซากสัตว์อสูรนับร้อย ดวงเนตรหงส์คู่นั้นกวาดมองออกไปเหมือนดังในยามนี้ ทำให้หัวใจของทุกผู้คนต้องหวาดผวา

 

 

หนุ่มน้อยในปีนั้น วันนี้เติบโตกลายเป็นฮ่องเต้ของแคว้นหนึ่ง และพระพิโรธยังคงทำให้ผู้คนต้องเหน็บหนาวเช่นเคย