ตอนที่ 223 ก็แค่จีเฉวียนทรงยอมเป็นโล่ให้ตู๋กูซิงหลันเท่านั้นเอง

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

นางเองก็นึกไม่ถึง ว่าตนเองจะได้มาเห็นท่าทางของเขาเช่นนี้ 

 

 

ทั้งหมดนี้เพื่อตู๋กูซิงหลัน? 

 

 

คนในดวงใจของเขา ไม่ใช่ซูหวงกุ้ยเฟยผู้นั้นหรอกหรือ? 

 

 

ไยจึงจะต้องไปใส่ใจไทเฮาน้อยผู้นั้นมากถึงเพียงนี้? 

 

 

ตู๋กูซิงหลันหันหน้าไปอีกทาง แทบจะเอาศีรษะซุกลงไปในอ้อมพระอุระของเขาจนหมด 

 

 

วันนี้ตอนที่นางมาถึงตำหนักหยู่เฉียนกงนั้นก็สวมใส่ชุดดำตลอดทั้งร่าง เพียงแต่เส้นผมที่รวบสูงเป็นหางม้าตอนนี้หลุดลงมา กระจายอยู่ทั่วศีรษะ ตลอดร่างอาบไปด้วยโลหิต 

 

 

ในเมื่อนางซ่อนใบหน้าเอาไว้ ผู้คนก็ไม่กล้ามองมากเกินไป เพียงแต่ในเมื่อซุกๆ ซ่อนๆ เช่นนี้พวกเขาก็ยิ่งรู้สึกแปลกใจเท่านั้น 

 

 

ทุกคนต่างก็คิดจะกราบกรานท่านเซียน แต่ท่านเซียนทำท่าคล้ายไม่อยากจะรู้จักผู้ใด 

 

 

จีเฉวียนทรงอุ้มตู๋กูซิงหลันเอาไว้ดวงเนตรหงส์คู่นั้นกวาดมองไปยังฝูงชนด้วยความเย็นชาจนเกิดความเหน็บหนาวไปทั่ว 

 

 

เหล่าพระสนมคุกเข่าอยู่รวมกันด้านหนึ่ง หัวใจของชาววังทั้งหลายต่างก็สั่นสะท้าน ทั้งๆ ที่เป็นต้นฤดูร้อนแล้ว แต่พวกเขากลับรู้สึกว่าเลือดในกายเย็นเฉียบ 

 

 

เหยียนเฉียวหลัวกุมหัตถ์ทั้งสองเอาไว้ ดวงเนตรของนางจดจ้องไปยังจีเฉวียน หลังเงียบสงบอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยปากขึ้นมา 

 

 

“ฝ่าบาท คืนนี้ช่างน่ากลัวจริงๆ ตอนแรกแผนที่กรุสมบัติของแคว้นเหยียนของข้าถูกขโมยไป หลังจากนั้นก็เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ ไม่รู้ว่าเกิดจากภูตผีปีศาจใดผุดขึ้นมา ยังดีที่ข้าไม่ได้อยู่ในตำหนักนั้น มิเช่นนั้นเกรงว่าจะกลายเป็นขนมเปี๊ยะไส้เนื้อไปแล้ว” 

 

 

เหยียนเฉียวหลัวทูลพลางก็ทำสีหน้าตื่นกลัวไปด้วย 

 

 

“วังหลวงของต้าโจวถึงกับเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นมาได้ ทำให้คนต้องขบคิดไปต่างๆ นานาจริงๆ” 

 

 

ว่าแล้ว สายตาของนางก็พุ่งไปยังร่างของตู๋กูซิงหลันที่อยู่ในอ้อมพระอุระ 

 

 

“มิทราบว่าผู้ที่อยู่ในอ้อมพระอุระของฝ่าบาทที่จริงแล้วคือผู้ใดกันแน่? ถึงได้สามารถกำราบศพคืนชีพผู้นั้นลงได้ ช่างเป็นการช่วยเปิดหูเปิดตาพวกเราจริงๆ เพคะ” 

 

 

นางมิได้รีบร้อนชี้ตัวตู๋กูซิงหลัน แต่กล่าววาจาชักนำยืดยาว ค่อยตระเตรียมซัดหอกออกไป 

 

 

ถึงแม้สีพระพักตร์จะเย็นชา แต่เหยียนเฉียวหลัวก็ดูออกว่า ขณะที่เขาอุ้มตู๋กูซิงหลันอยู่นี้ ระมัดระวังมากเพียงไหน 

 

 

โอบเอาไว้ในอ้อมอกอย่างแนบแน่น ราวกับกลัวว่านางจะหล่นลงไป 

 

 

นางไม่เคยเห็นจีเฉวียนปฎิบัติต่อผู้ใดด้วยความจริงจังถึงเพียงนี้มาก่อน 

 

 

ในตอนนั้นเอง เหยียนเฉียวหลัวก็เข้าใจบางสิ่งอย่างทะลุปรุโปร่ง 

 

 

เรื่องของซูหวงกุ้ยเฟย จะต้องเป็นจีเฉวียนเอามาใช้เป็นโล่กำบังให้กับตู๋กูซิงหลันเป็นแน่ 

 

 

ต้นไม้ใหญ่เผชิญลมแรง เขาไหนเลยจะไม่เข้าใจเหตุผลนี้ดี 

 

 

ที่ทำเป็นโปรดปรานซูหวงกุ้ยเฟยอย่างที่สุด ทั้งยังให้นางตั้งครรภ์องค์ชายใหญ่ ก็เป็นวิธีที่ใช้แสดงต่อสายตาผู้คน เพื่อปิดบังความรักที่เขามีต่อตู๋กูซิงหลัน 

 

 

นางสมควรจะคิดได้ตั้งแต่แรก นางรู้จักเขาดีถึงขนาดนี้! 

 

 

เขาเป็นคนเจ้าเล่ห์มากแผนการอยู่ตลอด หากว่ารักใครสักคนเข้าจริงๆ ย่อมต้องครุ่นคิดหาวิธีการร้อยแปดมาปกป้องนาง มิใช่ว่าส่งนางออกไปเผชิญกับคลื่นลมที่โหดร้าย ให้นางต้องทนรับความริษยาทางสี่ทิศแปดทาง และหอกดาบในที่ลับอีกนับไม่ถ้วน 

 

 

ตอนนี้มันชัดเจนเลยว่าซูหวงกุ้ยเฟยก็คือคนที่ต้องเผชิญกับคมหอกคมดาบทั้งในที่ลับและที่แจ้งแทน 

 

 

ส่วนไทเฮาน้อยนั้น …….ก็แค่ถูกนินทาว่าร้ายไปบ้าง แต่ไม่ได้เป็นเภทภัยใดๆ กับนางทั้งสิ้น 

 

 

พอคิดได้แล้ว เหยียนเฉียวหลัวก็ริษยาจนแทบคลุ้มคลั่ง 

 

 

ความริษยาในครั้งนี้ยังรุนแรงเสียยิ่งกว่าตอนที่จีเฉวียนทรงตรัสว่ามีคนในพระทัยแล้วเสียอีก 

 

 

เนื่องเพราะว่านางรู้และเข้าใจแล้วว่าสิ่งที่เขาทำลงไปทั้งหมดเพื่อ “นางในดวงใจ” นั้นจะต้องใช้ความยากลำบากเพียงใด! 

 

 

นางไม่อาจดับเพลิงริษยาที่ลุกโหมอยู่ในใจยามนี้ลงได้ เอาแต่คิดว่าจะต้องกระชากหน้ากากของตู๋กูซิงหลันออกมาให้ได้เท่านั้น 

 

 

นี่ถึงจะเป็นหัวขโมยที่ชั่วร้ายที่สุด! 

 

 

จีเฉวียนเพียงทอดพระเนตรมองดูนางอย่างเงียบๆ ในดวงเนตรทอประทายเย็นชาอย่างล้ำลึก พอทอดพระเนตรออกไป ก็ตรัสกับนางออกมาประโยคหนึ่ง “เจ้าว่าอย่างไรเล่า?” 

 

 

เหยียนเฉียวหลัวตกตะลึง ได้แต่ยิ้มออกมาอย่างเก้อเขิน “หม่อมฉันจะไปทราบว่านางเป็นใครได้อย่างไร? อยู่ห่างกันตั้งไกลขนาดนั้น เมื่อครู่ฝุ่นก็ฟุ้งกระจายไปทั่ว จะมองอย่างไรก็มองไม่ชัด” 

 

 

ว่าแล้วนางก็รีบกล่าวต่อไปว่า “แต่ว่าก่อนที่แผนที่ขุมทรัพย์ของหม่อมฉันจะหายไป ซิวก็พบเห็นว่าแม่นางน้อยผู้นี้บุกเข้ามาในตำหนักของหม่อมฉัน” 

 

 

เหยียนเฉียวหลัวทูลแล้ว ก็หันมาส่งสายตาให้กับบุรุษข้างกายครั้งหนึ่ง 

 

 

ซิวรีบก้าวออกมา ถวายคำนับจีเฉวียน “กราบทูลฝ่าบาท ตอนแรกกระหม่อมพบเห็นแม่นางผู้นี้บุกเข้าไปในตำหนักมีทั้งภายในห้องบรรทมขององค์หญิงก็มีขนไก่เส้นหนึ่งตกอยู่ด้วยพะยะค่ะ” 

 

 

เหยียนเฉียวหลัวรีบล้วงเอาขนไก่ออกมา “ใช่ เป็นเส้นนี้เอง” 

 

 

เป็นขนไก่สีดำขลับที่ทั้งยาวและแวววาวเส้นหนึ่ง 

 

 

พอขนไก่เส้นนั้นปรากฏขึ้นมาผู้คนทั้งหมดก็พากันคิดไปถึงเจ้าไก่ดำในตำหนักเฟิ่งหมิงขึ้นมาในทันที เรื่องที่ไทเฮาทรงเลี้ยงดูไก่ตัวอ้วนที่ตะกละตะกลามเอาไว้ตัวหนึ่งนั้นเป็นเรื่องที่ผู้คนในวังต่างก็รู้กันจนทั่ว 

 

 

เจ้าไก่จอมอวดดีตัวนั้นลำพองไปทั่วทุกที่ วันนี้ไปจับหนอนที่วังนี้ พรุ่งนี้ไปปีนอยู่บนหลังคาของวังนั้น พวกเขาพบเห็นจนไม่ประหลาดใจอันใดอีกต่อไป 

 

 

เพียงแต่คิดไม่ถึงว่า เจ้าไก่นั่นจะกล้าตะกละถึงขนาดนี้ กระทั่งแผนที่สมบัติขององค์หญิงแห้งแคว้นเหยียนก็ยังกล้าขโมย? 

 

 

หากจะบอกว่าเบื้องหลังของมันไม่มีผู้ใดชักจูง พวกเขาก็ไม่ค่อยอยากจะเชื่อสักเท่าไหร่ เพราะว่าไก่ตัวหนึ่งจะไปรู้จักคุณค่าของแผนที่ขุมทรัพย์ได้อย่างไร? 

 

 

หลังจากนั้น พวกเขาก็พากันแอบมองดูสาวน้อยชุดดำในอ้อมพระอุระของจีเฉวียน 

 

 

ตู๋กูซิงหลันซุกอยู่ในอ้อมอกของจีเฉวียน นางไม่กล้าส่งเสียงออกมา 

 

 

ได้แต่ใช้ดวงตาดอกท้อที่มีประกายหยดน้ำคลออยู่เต็มจ้องไปยังเขา สื่อความหมายผ่านนัยตาออกไป 

 

 

ไอ้ลูกชาย เจ้าต้องเชื่อแม่นะ!  

 

 

ถึงแม้ว่าแม่จะรักสมบัติ แต่ก็ยังรู้จักเหตุผล เป็นแม่เลี้ยงแสนดีมีคุณธรรมผู้หนึ่ง!  

 

 

จีเฉวียนเหลือบพระเนตรมองดูนางแวบหนึ่ง แสดงออกให้นางรู้ว่าเขารู้สึกถึงแรงของนางที่คว้าฉลองพระองค์เอาไว้ 

 

 

ความรู้สึกที่ว่านางต้องการเขานั้น ทำให้พระองค์พอพระทัยอย่างบอกไม่ถูก 

 

 

สายพระเนตรที่มองดูตู๋กูซิงหลันแฝงความอ่อนโยน แต่ยามที่เงยพระพักตร์ขึ้นมามองดูเหยียนเฉียวหลัวกลับมีแต่ความเย็นชาอย่างที่สุด 

 

 

“องค์หญิงแห่งแคว้นเหยียน” 

 

 

จีเฉวียนตรัสเรียกเหยียนเฉียวหลัวออกไปครั้งหนึ่ง 

 

 

เหยียนเฉียวหลัวรู้สึกขนลุกขึ้นมาในทันที ถูกเขาเรียกชื่อเต็มเช่นนี้ นางตื่นตัวขึ้นมา รู้สึกไม่ค่อยดีสักเท่าไร 

 

 

จากนั้นก็ได้ยินเสียงจีเฉวียนตรัสเสียงต่ำๆ ว่า “ในแคว้นต้าโจวของเรา การโกหกนั้นย่อมต้องมีค่าตอบแทน” 

 

 

เหยียนเฉียวหลัวหลั่งเหงื่อเย็นๆ ทั่วร่าง เดิมที่นางรู้สึกอิจฉาจนจะเป็นบ้า ยามนี้ในใจยิ่งรู้สึกว่าเพลิงริษยานั้นกำลังแผดเผาตัวนาง 

 

 

นางอ้าปากขึ้นมา ยังไม่ทันจะได้กล่าวอะไร ก็เห็นองครักษ์ของฮ่องเต้ลากหัวโล้นๆ ของศพคืนชีพผู้นั้นขึ้นมาจากซากปรักหักพัง 

 

 

แผนที่ขุมทรัพย์ที่ถูกฉีกจนเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยหล่นออกมาจากในอกเสื้อของศพคืนชีพผู้นั้นต่อหน้าต่อตาฝูงชนทั้งหมด 

 

 

ทุกคนต่างก็พากันตกตะลึงไป! 

 

 

ที่แท้ แผนที่ขุมทรัพย์แผ่นนั้นก็ถูกศพคืนชีพผู้นี้ขโมยไปนี่เอง! 

 

 

ที่หยวนเฟยทรงคาดเดาเอาไว้ในตอนแรกนั้นก็ถูกต้องแล้ว 

 

 

เช่นนี้แล้วไยองค์หญิงแห่งต้าเหยียนจะต้องมาโกหกกันด้วย? 

 

 

เหยียนเฉียวหลัวมองดูแผนที่ที่แหลกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ในใจมีแต่ความเจ็บปวด นางกำพระหัตถ์เอาไว้จนแน่น ทั้งเจ็บใจและตกตะลึงจนกัดฟันกรอด 

 

 

นางแสร้งทำเป็นประหลาดใจ “ฝ่าบาท นี่…..แผนที่ขุมทรัพย์นี่มาอยู่ที่ศพคืนชีพผู้นี้ได้อย่างไรกัน?” 

 

 

“งั้นท่านหวังจะให้มันอยู่กับท่านเซียนหรืออย่างไร?” หยวนเฟยทนนางมานานแล้ว 

 

 

เมื่อได้มองดูคนในอ้อมพระพาหาใกล้ๆ ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงเงาหลังในชุดสีดำ นางก็มั่นใจว่า เป็นตู๋กูซิงหลันอย่างแน่นอน 

 

 

ยังดีที่พี่ชายของนางตู๋กูจุน มีบุญคุณช่วยชีวิตนางเอาไว้ นางย่อมต้องยืนอยู่ข้างตู๋กูซิงหลันอย่างแน่นอน 

 

 

หยวนเฟยกล่าวออกมาเพียงประโยคเดียวก็ทำให้ทุกสายตาที่มองไปยังเหยียนเฉียวหลัวเปลี่ยนไปทันที 

 

 

“จะว่าไปก็แปลกมาก ศพคืนชีพผู้นั้นก่อนนี้ไม่เคยมา แต่พอท่านเข้ามาอยู่ในตำหนักหยู่เฉียนกงก็โผล่มาในทันที หรือว่ามันกับท่านมีเรื่องราวเกี่ยวพันอันใดที่ไม่อาจให้ผู้คนรับรู้อยู่?”