ต่างคนต่างความคิด โดย Ink Stone_Fantasy

“ไอ้แก๊งนี้ดูทีวีมากเกินไปหรือไง? วันๆ คิดวนไปวนมาแต่เรื่องเงาใต้ตะเกียง…”

เยี่ยเทียนส่ายหัว ช่วงนี้โทรทัศน์ออกอากาศละครฮิตเรื่องหนึ่งชื่อว่า “ราชวงศ์หย่งเจิ้ง” ในนั้นมีตอนที่เหนียนเกิงหยาแสวงหากองทัพหลักของฝ่ายตรงข้าม ได้ที่ปรึกษาอูซือยกตำนานเงาใต้ตะเกียง(สถานที่อันตรายที่สุดย่อมปลอดภัยที่สุด)มาชี้แนะ

ปัจจุบันที่พวกโจรปล้นหลุมศพเลือกหยุดพักอยู่ตรงข้ามสถานีตำรวจซ้ำแล้วซ้ำเล่า บางทีคงเพราะมีความคิดนี้อยู่ในใจ

โรงแรมสี่ดาวนี้โอ่อ่าหรูหรามาก สูงประมาณยี่สิบกว่าชั้น อยู่ในอุรุมชีนับว่าไม่เลวเลย

ถ้าหากไม่เป็นเพราะเยี่ยเทียนสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่า “เถ้าแก่เจี๋ย” อยู่ข้างใน เขาอาจคิดไม่ถึงเหมือนกันว่ากลุ่มโจรปล้นหลุมศพจะพักอยู่ในโรงแรมหรูหราขนาดนี้ จุดนี้ไม่สอดคล้องกับสถานะของพวกเขาที่ต้องวุ่นกับคนตายทั้งวี่วัน

หลังจากเดินรอบโรงแรมหนึ่งรอบ เยี่ยเทียนก็สะพายกระเป๋าเป้เดินไปที่ล็อบบี้ ยื่นบัตรประชาชนแล้วพูดว่า “พี่สาวครับ รบกวนพี่ช่วยหาห้องที่อยู่ชั้นล่างๆ หน่อย ผมเมาลิฟต์”

ในเมื่อเป็นความต้องการของแขก โรงแรมก็ไม่มีเหตุผลจะปฏิเสธ หลังจากให้เยี่ยเทียนเลือกดูสามห้อง เยี่ยเทียนจึงเลือกห้องชั้นห้าที่ด้านหน้าติดกับลานจอดรถของโรงแรม

หลังจากเข้ามาในห้อง เยี่ยเทียนก็เปิดผ้าม่านออก ตามคาด จากตรงนั้นสามารถเห็นลานจอดรถของโรงแรมได้อย่างชัดเจน ด้วยสายตาของเยี่ยเทียน สามารถมองเห็นกระทั่งทุกคนที่ลงมาจากรถ

“แปลกจริง ทำไมเหลือแค่เขาคนเดียว?”

หลังจากดึงผ้าม่านขึ้นไป เยียเทียนก็นั่งลงบนเตียง แล้วสัมผัสได้ถึงตำแหน่งของ “เถ้าแก่เจี๋ย” แต่กลับอยู่ในห้องชั้นสิบแปด

แต่ว่าสิ่งที่ทำให้เยี่ยเทียนแปลกใจก็คือ คาดไม่ถึงว่าภายในห้องกลับมี “เถ้าแก่เจี๋ย” แค่คนเดียว ซึ่งแตกต่างไปจากที่เยี่ยเทียนจินตนาการไว้ สาเหตุที่เขาสะกดรอยตามมาถึงที่นี่ ไม่ได้เพื่อหา “เถ้าแก่เจี๋ย”!

“รอดูก่อนก็แล้วกัน เราไม่เชื่อว่าหรอกเขาจะอยู่ที่โรงแรมนี้ไปตลอด!”

นั่งอยู่บนรถไฟต่อเนื่องกันสิบกว่าชั่วโมง เยี่ยเทียนรู้สึกเหนื่อยล้า จึงอาบน้ำร้อนแล้วล้มตัวนอนลงบนเตียง ถึงอย่างไรก็ตามขอเพียงแค่พลังชีวิตเหล่านั้นยังอยู่ในตัว “เถ้าแก่เจี๋ย” เยี่ยเทียนก็สามารถควบคุมฝ่ายตรงข้ามตลอดจนการเคลื่อนไหวรอบตัวเขาได้ทุกเวลา

เมื่อเยี่ยเทียนตื่นขึ้นมา ก็เป็นเวลาห้าทุ่มกว่าแล้ว หลังจากล้างหน้าเสร็จ เยี่ยเทียนก็สัมผัสได้ถึงพลังชีวิตเบาบางของตนเอง ประสาทตื่นตัวขึ้นมาทันที

เพราะเยี่ยเทียนพบว่า “เถ้าแก่เจี๋ย” ไม่ได้อยู่ห้องชั้นสิบแปดอีกต่อไปแล้วแล้ว แต่กลับไปยังชั้นแปด

อีกทั้งเยี่ยเทียนสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่า ห้องนั้นเมื่อรวมกับ “เถ้าแก่เจี๋ย” แล้วมีทั้งหมดห้าคน หากว่าคาดเดาไม่ผิด คนของแก๊งปล้นหลุมศพต้องอยู่ในนี้ทั้งหมดแน่นอน

“เฮ้อ พลังต่ำเกินไป ไม่รู้เลยว่าพวกเขาพูดคุยอะไรกัน…”

หนึ่งในความสามารถลับที่เยี่ยเทียนได้รับสืบทอดมา หากว่ามีทักษะเข้าขั้น เมื่อพลังชีวิตผ่านเข้าร่างของเขา จะไม่เพียงได้ยินสิ่งที่ฝั่งตรงข้ามกำลังพูดคุยเรื่องอะไรกัน แม้กระทั่งภาพสถานที่เกิดขึ้นในเวลานั้นยังปรากฎออกมาในสมอง ราวกับดวงตาเห็นธรรมของพระพุทธเจ้า

แต่ว่าตอนนี้ความสามารถของเยี่ยเทียน ยังไม่ถึงระดับนั้น สามารถทำได้เพียงอาศัยการสั่นสะเทือนของพลังชีวิต สัมผัสถึงสถานการณ์รอบตัวของ “เถ้าแก่เจี๋ย” ส่วนเรื่องอื่นนั้นไม่อาจทำได้

 “ลงมือที่นี่ไม่ได้แน่นอน ออกจะลำบากเล็กน้อย…” เยี่ยเทียนเกาหัวอย่างหงุดหงิด

ต้องเข้าใจก่อนว่า ทุกแห่งในโรงแรมล้วนมีกล้องวงจรปิดติดอยู่ ถ้าหากคนพวกนั้นอยู่ในโรงแรมแล้วเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น เยี่ยเทียนจะตกเป็นที่สงสัยอย่างแน่นอน เขาไม่อยากเอาตัวเองไปเกี่ยวข้องกับพวกปล้นหลุมฝังศพ

“พวกเขาคงไม่นอนแช่อยู่ในโรงแรมตลอดเวลาหรอกมั้ง? ต่อให้เป็นช่วงพักผ่อนก็ต้องออกไปเที่ยวข้างนอก”

เยี่ยเทียนเชื่อว่า พวกเขาคงไม่มาอุรุมชีโดยไร้เหตุผล ต้องมีเป้าหมายและแผนการบางอย่างแน่นอน ถึงเวลานั้นหากตนเองคอยติดตามพวกเขา ย่อมสบโอกาสแน่

หลังจากครุ่นคิดอยู่ช่วงหนึ่ง เยี่ยเทียนก็คิดหาวิธีหนึ่งได้ ทันใดนั้นจึงเอากระดาษสีเหลืองหนึ่งแผ่นในกระเป๋าเป้ออกมา เดินไปล็อคประตูจากด้านใน แล้วง่วนอยู่ภายในห้อง

หลังผ่านไปครึ่งชั่วโมง เยี่ยเทียนเหงื่อท่วมหัวถือกระดาษสีเหลืองแผ่นนั้น สบถอย่างรุนแรงว่า “แม่เอ๊ย เขียนยันต์นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย!”

ดูจากภายนอกแล้ว กระดาษสีเหลืองแผ่นนี้กับแผ่นก่อนหน้าไร้ซึ่งความแตกต่าง แต่หากเป็นคนที่เบิกเนตรแล้วจะสามารถมองเห็นว่า ในกระดาษสีเหลืองแผ่นนี้แฝงไว้ด้วยพลังชีวิตเบาบาง พอกล้อมแกล้มนับว่าเป็นยันต์วิญญาณแผ่นหนึ่ง

ยันต์แผ่นนี้ที่เยี่ยเทียนสร้างขึ้น ใช้วิธีวาดยันต์ในอากาศ ใช้พลังชีวิตจากภายในร่างกายของตัวเอง รวบรวมค่ายกลลงไปในยันต์ และถ้าหากมีคนสัมผัสค่ายกลนี้ พลังชีวิตไร้รูปไร้สีตรงกลางจะแทรกผ่านเข้าไปในร่างกายของคนนั้น

เหตุผลที่สร้างยันต์นี้ เป็นเพราะปัจจุบันเยี่ยเทียนสามารถควบคุมการเคลื่อนไหวของ “เถ้าแก่เจี๋ย” ได้เพียงคนเดียว ถ้าหากคนที่เหลือแยกตัวออกจากเขา เยี่ยเทียนก็หมดหนทาง ดังนั้นจึงวาดยันต์แผ่นนี้ขึ้นมา เพื่อให้ตัวเองสามารถรับรู้ถึงความเคลื่อนไหวของพวกเขาทุกคน

พอเขียนยันต์เสร็จ เยี่ยเทียนก็เดินเข้าไปในห้องน้ำแล้วทำอะไรบางอย่างกับกระจก หลังจากผ่านไปห้านาที ตัวเขาที่ออกมาจากห้องน้ำ ดูคล้ายกับมีดวงตาเล็กลงมาก ถ้าหากไม่ใช่คนสนิทกันเป็นพิเศษ มองแวบเดียวจะจำไม่ได้แน่นอน

นี่คือทักษะหนึ่งที่เยี่ยเทียนได้เรียนรู้หลังจากท่องเที่ยวในยุทธภพกับนักพรตเต๋า นักพรตเต๋าเคยให้เยี่ยเทียนแสดงเป็นคนบุคลิกแตกต่างกันถึงห้าคน ไปถามทางกับตำรวจคนเดียวกันได้โดยไม่แสดงพิรุธใดๆ ออกมาเลย นี่จึงเท่ากับว่าสำเร็จการฝึกฝนจากอาจารย์แล้ว

แม้จะเทียบกับวิชาแปลงโฉมในตำนานไม่ได้ แต่ก็มีประโยชน์อย่างมาก ตอนนี้ต่อให้เยี่ยเทียนอยู่ต่อหน้า “เถ้าแก่เจี๋ย” เกรงว่าฝ่ายตรงข้ามยังไม่รู้ว่าเขาคือใคร

เยี่ยเทียนสวมหมวก ค่อยๆ ย่องออกจากห้อง ขึ้นลิฟต์ไปที่ชั้นแปด เมื่อผ่านห้องที่ “เถ้าแก่เจี๋ย” อยู่ ก็แกล้งปล่อยกระดาษเหลืองในมือหล่นลงพื้น

หลังจากเยี่ยเทียนเก็บขึ้นมา พลังชีวิตของเยี่ยเทียนก็กระจุกรวมตัวกันอยู่หน้าประตู ขอเพียงมีคนเข้าไปในห้องนี้ ก็จะติดตัวไปด้วย

ลูบท้องที่ส่งเสียงร้องโครกครากมาตลอด เยี่ยเทียนลงมายังชั้นหนึ่ง อาหารของซินเจียงถือว่าขึ้นชื่อไปทั่วโลก ในเมื่อมาถึงแล้ว หากไม่ลองคงจะเสียดายน่าดู

………………………………

ในห้องรับแขกชั้นแปด ทั้งสี่คนกำลังเล่นไพ่ส่งเสียงดังเอะอะโวยวาย หวังซุ่นเองก็อยู่ในนั้น แต่ว่าดวงตาของเขาเพ่งยังประตูบานนั้นที่ปิดอยู่ตลอด

หวังซุ่นมาถึงอุรุมชีช้ากว่าพวกตี๋วั่งไปสองวัน หลังจากมาถึงแล้วก็เข้าพักที่นี่ แต่วันนี้เพิ่งจะเจอพวกตี๋วั่ง ไม่รู้เรื่องการเดินทางในสองวันนี้ของพวกเขาเลย

สิ่งนี้ทำให้ภายในใจของหวังซุ่นรู้สึกต่อต้าน อดไม่ไหวถามชายร่างสูงใหญ่คนหนึ่งที่นั่งอยู่ตรงหน้าเขาว่า “พี่สาม อาจารย์เป็นอะไร? ตั้งแต่กลับมาก็เข้าไปในห้อง พวกเรามาค้าขายอะไรที่นี่กันแน่?”

เดิมทีกลุ่มของตี๋วั่งมีอยู่ทั้งหมดแปดคน หวังซุ่นเข้ากลุ่มมาระยะเวลาสั้นที่สุด แต่ก็ติดตามเขามาสิบกว่าปีแล้ว เหล่าเอ้อตอนที่เพิ่งเข้ามาในกลุ่มใหม่ๆ ก็เคยพลาดพลั้งเสียชีวิตขณะปล้นหลุมศพครั้งหนึ่ง

ปัจจุบันในกลุ่มนี้นอกจากตี๋วั่ง ก็ต้องนับจากลำดับความอาวุโสของเจ้าโง่เหล่าซัน เขาไม่เคยลงไปยังสุสานเลย คอยติดตามเหมือนเป็นเงาให้ตี๋วั่งมาโดยตลอด จึงนับว่าเป็นคนสนิทของเขา

กับหวังซุ่นผู้เจ้าเล่ห์ไร้ยางอายที่นับถือหัวหน้าใหญ่เป็นอาจารย์คนนี้ เจ้าคนโง่ไม่ได้นึกชื่นชมอะไร จ้องมองไปที่หวังซุ่น แล้วตอบว่า “เรื่องของหัวหน้าฉันจะไปรู้ได้ไง? เสี่ยวชี นายก็ลองเข้าไปถามดูสิ”

“ได้ เงินนี้กะจะให้หัวหน้าพอดี ง้ันผมไปเคาะประตูแล้วนะ พี่สาม เดี๋ยวถ้าถูกด่าพี่ต้องช่วยปกป้องผมล่ะ!”

เวลาปกติ หากตี๋วั่งไม่เรียกพวกเขา ก็ไม่มีใครกล้าเข้าไปในห้องของหัวหน้า แต่ว่าคราวนี้หวังซุ่นทำการค้าขายสำเร็จได้เงินสองแสน หัวหน้าคงจะไม่ดุด่าตนเองหรอกมั้ง?

“เข้ามา!” หลังจากหวังซุ่นเคาะประตู เสียงแหบของตี๋วั่งก็ดังออกมาจากในห้อง

“ท่านอาจารย์ นี่คือเงินสองแสนจากการค้าขายของโบราณชุดนั้นที่ปักกิ่งครับ ทั้งหมดอยู่นี้แล้ว…” หวังซุ่นวางกระเป๋าหนังใบนั้นตรงหน้าของตี๋วั่งอย่างเคารพนบนอบ แต่สายตากลับจ้องมองไปยังหนังสือที่อยู่ในมือของตี๋วั่งเล่มนั้น

หนังสือเล่มนั้นออกจะชำรุดอยู่บ้าง ปกหนังสือหลุดไปหมดแล้ว แผ่นกระดาษก็เริ่มเหลือง ด้านบนดูเหมือนมีการวาดสัญลักษณ์ แต่ก็เป็นแค่หนังสือชำรุดเล่มหนึ่ง กลับทำให้หวังซุ่นไม่สามารถละสายตา

“เสี่ยวชี ครั้งนี้ทำได้ไม่เลวเลย เงินนี้ นายเอาไปห้าหมื่น!”

หวังซุ่นนึกว่าพอก้มหัวลง ก็สามารถหลบสายตาของตี๋วั่ง แต่กลับไม่ทันสังเกตุ ว่าตี๋วั่งที่อยู่ข้างหน้าเขาเผยรอยยิ้มเย็นออกมาบนใบหน้า ในอดีตเป็นเพราะเหล่าเอ้อแอบชำเลืองมองคัมภีร์เล่มนี้ จึงถูกตี๋วั่งฝังทั้งเป็นในสุสานโบราณ

“อาจารย์ ติดตามท่านแล้วผมจะเอาเงินไปทำไม?” หลังจากได้ยินคำพูดของตี๋วั่ง หวังซุ่นก็ลดหัวลงต่ำกว่าเดิม

รอยยิ้มเย็นบนใบหน้าของตี๋วั่งเข้มขึ้น แต่น้ำเสียงกลับกลายเป็นนุ่มนวลอ่อนโยน “ฉันรู้ ว่าเธออยากเรียนรู้ทักษะความสามารถของอาจารย์มาโดยตลอด เสี่ยวชี วางใจเถอะ อาจารย์แก่แล้ว ไม่ช้าก็เร็วก็ต้องสืบทอดให้เธออยู่ดี…”

“ขอบคุณท่านอาจารย์ เสี่ยวชีจะตั้งใจศึกษาอย่างแน่นอน!” หวังซุ่นคุกเข่าทั้งสองข้างลงพื้นอย่างแรง ดีใจจนออกนอกหน้า นี่เป็นครั้งแรกที่ตี๋วั่งรับปากกับเขาว่าจะถ่ายทอดวิชาค่ายกลให้

ติดตามตี๋วั่งมาสิบกว่าปี หวังซุ่นรู้อย่างชัดเจน ว่าที่คนตรงหน้าสามารถฆ่าคู่ต่อสู้ได้ชนิดถอนรากถอนโคน พื้นฐานล้วนอาศัยคัมภีร์ตรงหน้าเล่มนี้

อีกทั้งหวังซุ่นกระทำการไร้ยางอายสารพัดยกย่องตี๋วั่งเป็นอาจารย์ แท้จริงแล้วก็เพื่อหนังสือเล่มนี้เท่านั้น เขาเชื่อว่า ขอเพียงแต่ตัวเองได้ศึกษาเนื้อหาของหนังสือเล่มนี้ ก็จะไม่ต้องอาศัยอยู่ใต้จมูกของตี๋วั่งแยกตัวออกไปตั้งสำนักใหม่ได้

รู้สึกได้ว่าวันนี้ตี๋วั่งอารมณ์ดี หวังซุ่นทำใจกล้าถามว่า “อาจารย์ครับ ครั้งนี้เราจะทำอะไรกัน? ภายในประเทศออกจะดีขนาดนี้  พวกเราไม่จำเป็นต้องวิ่งเต้นไปถึงต่างประเทศหรอกมั้ง?”

เรื่องที่ตี๋วั่งเคยพูดตอนอยู่ปักกิ่งว่า จัดการเรื่องราวที่ซินเจียงเสร็จสิ้นก็จะออกนอกประเทศทันที ในใจหวังซุ่นกลับไม่เห็นด้วย อย่าเห็นว่าเขาอายุยังน้อย อย่างไรก็สร้างเพื่อนสนิทมิตรสหายในเมืองถึงสี่ห้าคน จึงไม่เต็มใจจะออกไปนอกประเทศเท่าไหร่

“อืม ฉันก็คิดดูแล้วว่าเรื่องนี้ไม่ค่อยเหมาะสมนัก จัดการเรื่องนี้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน เสี่ยวชี พรุ่งนี้ไปขึ้นเขากับพวกเรา ตอนนี้กลับไปพักผ่อนก่อนเถอะ!”

“ขอบคุณครับอาจารย์ ถ้าอย่างนั้นผมกลับก่อนล่ะ อาจารย์ก็พักผ่อนนะครับ” เมื่อได้ยินตี๋วั่งส่งแขก หวังซุ่นก็แอบมองไปยังคัมภีร์เล่มนั้นครู่หนึ่ง แล้วเดินออกจากห้อง

เดิมทีหวังซุ่นคิดว่าหากตี๋วั่งจำเป็นต้องไปต่างประเทศ ตัวเองก็ต้องขโมยคัมภีร์เล่มนั้นมาแล้วก็หลบหนีไปให้ไกล แต่ตอนนี้ดูเหมือนไม่จำเป็นต้องเสี่ยงอันตรายอย่างนั้นอีกแล้ว