ตี๋วั่ง โดย Ink Stone_Fantasy

หวังซุ่นซึ่งกำลังเดินออกไปจากห้องไม่ทันสังเกตเห็นรอยยิ้มหยันบนใบหน้าของ ‘อาจารย์’ ไม่อย่างนั้นเขาคงหอบเงินห้าหมื่นหยวนนี้หนีไปจนไกลสุดหล้าแน่นอน แต่แน่นอนว่า ต่อให้เขาหนีไปตอนนี้ ก็ยังไม่รอดพ้นเงื้อมือของตี๋วั่งอยู่ดี

ตำแหน่งลูกพี่ใหญ่ของตี๋วั่งนี่ไม่ใช่แค่ตำแหน่งลอยๆ เท่านั้น อย่างน้อยในความคิดเห็นของบรรดาลูกน้อง เขาก็มีความสามารถที่จะชี้เป็นชี้ตายได้ในทุกกรณี

ตี๋วั่งเกิดในเขตภูเขาอู่หลิงซึ่งอยู่ทางฝั่งตะวันออกของที่ราบสูงยูนนานกุ้ยโจว ในสมัยโบราณ พื้นที่แห่งนี้ถูกเรียกว่าเขตเหมียวเจียง มีชื่อเสียงไปทั่วโลกในด้านหนอนพิษและวิชาเลี้ยงแมลงมีพิษ

ไสยศาสตร์อันลึกลับประเภทนี้แพร่หลายอยู่ตามชนบททางภาคใต้ของประเทศจีน และก่อให้เกิดความวุ่นวายอย่างร้ายแรง ไม่ว่าใครเพียงได้ยินชื่อก็ต้องหน้าถอดสีด้วยความกลัว และไม่กล้าลบหลู่ว่าศาสตร์นี้เป็นเรื่องเท็จเลย แม้แต่พวกบัณฑิตผู้อยู่ใกล้ชิดตำราก็ยังเชื่อมั่นว่ามีเรื่องแบบนี้อยู่จริง

แต่เมื่อถึงยุคปัจจุบัน ความหวาดกลัวที่ผู้คนมีต่อวิชาเลี้ยงแมลงพิษหรือหนอนพิษก็ค่อยๆ ลดน้อยลงไปเช่นเดียวกับเรื่องผีสางนางไม้ และมีคนจำนวนมากที่เชื่อว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นเพียงเรื่องเล่าขานที่ผู้คนปั้นแต่งขึ้นมาเท่านั้น

แต่มีคนส่วนน้อยมากที่รู้ว่า วิชาเลี้ยงแมลงพิษนั้นมีอยู่จริง แม้กระทั่งทุกวันนี้ บนภูเขาลึกในเขตเหมียวเจียงก็ยังมีการสืบสานถ่ายทอดวิชาเลี้ยงแมลงพิษอย่างสมบูรณ์อยู่

เพียงแต่การถ่ายทอดแบบนี้มีเงื่อนไขที่เฉพาะเจาะจงอย่างยิ่ง แต่ละรุ่นจะมีผู้สืบทอดได้เพียงหนึ่งคนเท่านั้น และผู้สืบทอดคนนี้ก็จะต้องอยู่ปกปักรักษาหมู่บ้านของตนไปตลอดชีวิต โดยปกติคนเหล่านี้จึงถูกเรียกว่าหัวหน้าเผ่า

ในการถ่ายทอดวิชาให้รุ่นต่อไปนั้น หัวหน้าเผ่าจะเป็นคนเลือกผู้สืบทอดเอง โดยปกติจะเลือกมาสองหรือสามคน แล้วฝึกฝนพวกเขาด้วยวิธีการอันโหดร้ายสารพัดอย่าง จากนั้นผู้ที่มีชีวิตรอดเป็นคนสุดท้ายถึงจะได้รับการถ่ายทอดอย่างแท้จริง

ตอนที่ตี๋วั่งอายุสิบสองปี ก็ได้เป็นหนึ่งในผู้สืบทอดของหัวหน้าเผ่า แต่เขาไม่สามารถทนผ่านการทดสอบอันโหดร้ายได้ สุดท้ายจึงถูกคัดออกไป และถูกหัวหน้าเผ่าจับโยนลงไปในโพรงหมื่นอสรพิษในขณะที่เขากำลังอาการร่อแร่เต็มที

ปกติไม่ว่าใครที่ตกลงไปในโพรงหมื่นอสรพิษนี้ก็จะต้องตายแน่นอนอย่างไม่ต้องสงสัยเลย แต่ตี๋วั่งชะตาดี ร่างจึงไปติดกับต้นไม้ต้นหนึ่งที่อยู่ในโพรง พอได้สติเขาก็ออกแรงสุดตัวปีนกลับออกไป และรอดชีวิตมาได้ในที่สุด

แต่ถึงแม้จะไม่ได้จบชีวิตลงเพราะงู ตี๋วั่งก็รู้ดีว่า ถ้าตัวเองกลับไปที่หมู่บ้าน ก็อาจจะถูกหัวหน้าเผ่าฆ่าตายแทนอยู่ดี เพราะเขาได้รับการถ่ายทอดวิชาเลี้ยงแมลงพิษไปบ้างแล้ว และตามกฎเกณฑ์ นอกจากหัวหน้าเผ่าแล้ว คนอื่นไม่สามารถที่จะมีความรู้เหล่านี้ได้

ตี๋วั่งใช้ชีวิตอยู่ในภูเขาลึกมาตั้งแต่เด็ก จึงมีทักษะในการเอาชีวิตรอดอยู่ หลังจากใช้ชีวิตอยู่ในป่าดึกดำบรรพ์ซึ่งอยู่ห่างไกลจากหมู่บ้านของเขาไปได้หนึ่งเดือนเศษ เขาก็รักษาอาการบาดเจ็บของตัวเองจนหาย

ตี๋วั่งกลัวจะถูกคนในหมู่บ้านมาพบตัวเข้า ภายหลังจึงเข้าไปอยู่ในหมู่บ้านเผ่าเหมียวอีกแห่งหนึ่ง และใช้ชีวิตอย่างสงบราบรื่นไปสิบกว่าปี แต่ด้วยเหตุการณ์ที่แสนจะบังเอิญครั้งหนึ่ง เขาจึงได้พบกับหัวหน้าเผ่าของหมู่บ้านเดิมที่เคยอยู่

การถ่ายทอดวิชาของหัวหน้าเผ่านั้นจะต้องได้รับการยอมรับจากชาวเผ่าเหมียวทั้งหมด เมื่อเรื่องที่ตี๋วั่งยังมีชีวิตอยู่ถูกเปิดเผย ฝันร้ายของเขาก็มาถึง หัวหน้าเผ่าคนนั้นใช้กลวิธีต่างสารพัดอย่าง จนเขาเกือบจะถูกฆ่าตายไปหลายครั้ง

แต่ถึงอย่างไรตี๋วั่งก็รู้วิชาเลี้ยงแมลงพิษอยู่บ้าง หลังจากรอดพ้นความตายไปได้เก้าชีวิต ในที่สุดก็หลบหนีออกจากภูเขาสือว่านได้ แต่ชีวิตในโลกภายนอกนั้น ก็ทำให้เขาตะลึงอึ้งและทำอะไรไม่ถูกไปเลยเหมือนกัน

เพราะประเทศจีนในตอนนั้นกำลังจมอยู่ท่ามกลางการปฏิวัติครั้งใหญ่ซึ่งไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ครั้งนั้น หม้อข้าวที่ใช้กันในบ้านต่างถูกนำออกมาหล่อหลอมขึ้นใหม่ ผู้คนทั้งหลายถูกพัดพาไปตามกระแสอันบ้าคลั่ง

แม้จะเคยทนทุกข์ทรมานมาไม่น้อย แต่ถ้าพูดกันโดยพื้นฐานแล้ว ตี๋วั่งที่หนีออกมาจากภูเขาลึกก็ยังไม่มีประสบการณ์อะไรในสังคมเลย จึงได้รับผลกระทบจากกระแสคลื่นอันคลุ้มคลั่งนี้ไปทันที

ด้วยเหตุบังเอิญต่างๆ นานา ตี๋วั่งจึงไปรู้จักกับคนหนุ่มสาวกลุ่มหนึ่งซึ่งมีปณิธานที่จะช่วยกอบกู้มนุษยชาติ และเดินทางข้ามชายแดนที่มณฑลยูนนานไปกับคนกลุ่มนี้โดยที่ก็ไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไรกับเขา เมื่อไปถึงประเทศต่างๆ เช่นพม่าและไทย ก็ไปทำสงครามกับรัฐบาลในท้องถิ่นนั้นอีก

สงครามอันแปลกประหลาดนี้ดำเนินไปสิบกว่าปี เมื่อถึงตอนสุดท้าย ประเทศจีนก็ไม่ยอมรับตัวตนของพวกเขา ส่วนประเทศอื่นอย่างพม่าและไทยก็ตัดสินว่าพวกเขาเป็นกองกำลังต่อต้านรัฐบาล จากเมื่อสิบกว่าปีก่อนที่มีกำลังคนอยู่หลายพัน เมื่อถึงตอนสุดท้ายกลับเหลืออยู่ไม่ถึงร้อยคน

และตี๋วั่งก็เป็นหนึ่งในเกือบร้อยคนนั้นนั่นเอง

ตอนนั้นหลังจากที่ตี๋วั่งผู้ไม่รู้อะไรทั้งสิ้นเกี่ยวกับสังคมในโลกภายนอก ได้ผ่านการเพลิงสงครามมาสิบกว่าปี รวมถึงการถูกทรยศอีกหลายครั้ง เขาก็กลายเป็นคนเจ้าเล่ห์อย่างเหลือร้าย ไม่อาจกลับไปเป็นหนุ่มน้อยจากถิ่นเหมียวเจียงคนเดิมได้อีกเลย

และครั้งหนึ่งในขณะที่กำลังหลบหนีจากการล้อมปราบของรัฐบาลท้องถิ่น ตี๋วั่งก็ไปค้นพบร่างเอกสารผุๆ ฉบับหนึ่งในถ้ำบนภูเขากลางป่าที่ประเทศไทย ร่างเอกสารฉบับนี้เป็นสิ่งที่ซินแสฮวงจุ้ยจากประเทศจีนสมัยโบราณท่านหนึ่งได้ทิ้งไว้

ตอนนั้นตี๋วั่งก็ไม่ได้ใส่ใจต่อร่างเอกสารฉบับนี้เท่าไร แต่เมื่อเขาไปพบภูมิประเทศแห่งหนึ่งซึ่งมีลักษณะคล้ายกับสถานที่หยินพิฆาตที่บรรยายไว้ในเอกสารอย่างมาก ตี๋วั่งก็จุดประกายความคิดขึ้นมา และวางค่ายกลไว้ที่นั่นหนึ่งค่ายกล

หลังจากวางค่ายกลเสร็จ ตี๋วั่งก็ล่อคนจากกองกำลังของรัฐบาลท้องถิ่นกลุ่มหนึ่งเข้าไปในนั้น ที่ทำให้เขาตกตะลึงและดีใจแทบบ้าก็คือ ค่ายกลนั้นกลับใช้งานได้จริงๆ พวกรัฐบาลสิบกว่าคนนั้นถึงขนาดเข่นฆ่ากันเอง และสุดท้ายก็ตายกันหมด

การค้นพบครั้งนี้ ทำให้ตี๋วั่งเห็นร่างเอกสารฉบับนี้เป็นดั่งสมบัติล้ำค่า ยามใดที่มีเวลาว่าง เขาก็จะศึกษาและทำความเข้าใจกับค่ายกลลี้ลับต่างๆ ในร่างเอกสารนั้น

เพียงแต่ร่างเอกสารฉบับนี้ผุพังเสียหายไปมากเหลือเกิน อีกทั้งยังไม่มีวิชายุทธที่ต้องนำมาใช้ควบคู่กัน หลังจากค้นคว้าไปหลายสิบปี ตี๋วั่งจึงสามารถใช้ค่ายกลได้เพียงเจ็ดแปดค่ายกลเท่านั้น

แต่ตี๋วั่งคนนี้ก็มีความสามารถแบบนอกรีตอยู่เหมือนกัน เมื่อผสมผสานความรู้เหล่านั้นเข้ากับวิชาเลี้ยงแมลงพิษที่ได้เรียนมาบ้างในวัยเด็ก ก็ทำให้เขาถึงขั้นสามารถคิดค้นแมลงพิษสูตรเฉพาะตัวออกมาได้ หลังจากที่แยกตัวออกจากกลุ่มกองโจรแล้ว ตี๋วั่งก็สร้างชื่อเสียงที่ประเทศไทยได้ไม่น้อยเลย

แต่ก็ต้องกล่าวว่า ตี๋วั่งคนนี้โชคชะตาไม่อำนวยเลย เมื่อถึงช่วงปลายทศวรรษที่ 70 ตัวตนของเขาก็ถูกคนเปิดโปงออกมา ‘อาจารย์ตี๋’ ผู้เคยประสบความสำเร็จรุ่งเรื่องจึงจำเป็นต้องหนีอีกครั้ง โดยกลับไปยังประเทศมาตุภูมิที่จากมานานเกือบยี่สิบปี

ในช่วงต้นทศวรรษที่ 80 ไม่ว่าจะเป็นนักดูฮวงจุ้ยโหงวเฮ้งหรือพวกทำคุณไสยวางยาก็หาตลาดกันไม่ได้ทั้งนั้น ตอนนั้นตี๋วั่งซึ่งได้เรียนรู้เกี่ยวกับฮวงจุ้ยสุสานจากร่างเอกสารฉบับนั้นมาบ้างแล้ว จึงเกิดความคิดที่จะหากินกับสุสานโบราณของบรรพบุรุษ

ในช่วงแรกเริ่มนั้นตี๋วั่งทำงานคนเดียวไม่มีผู้ช่วย หลังจากเกิดการปะทะกับพวกโจรปล้นสุสานที่มีอิทธิพลในท้องที่ไปหลายครั้ง ตี๋วั่งก็ค่อยๆ สร้างอิทธิพลของตัวเองขึ้นมา สิบกว่าปีให้หลัง เขาก็กลายเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงโด่งดังคนหนึ่งในวงการนักปล้นสุสานในประเทศ

แต่ตี๋วั่งเคยออกรบมาสิบกว่าปี จึงมีความรู้ในทางพิชัยสงครามอย่างลึกซึ้ง นอกจากสมาชิกในกลุ่มแล้ว เขาก็แทบจะไม่เคยเผยโฉมหน้าให้คนนอกเห็นเลย

และทุกครั้งก่อนที่ตี๋วั่งจะลงมือปล้นสุสาน ก็มีแต่เขาคนเดียวที่รู้เป้าหมายในการลงมือ หลังจากปล้นวัตถุที่ถูกฝังพร้อมศพออกมาได้แล้ว เขาก็จะไม่ปรากฏกายในระหว่างที่มีการแลกเปลี่ยนเลย หากพบพิรุธแม้เพียงเล็กน้อย เขาก็จะหลบหนีไปจนไกลลิบทันที

ดังนั้นแม้ตี๋วั่งจะมีชื่อเสียงโด่งดัง แต่ตัวตนของเขาก็ถูกเก็บเป็นความลับมาตลอด และรอดพ้นจากการปราบปรามของทางตำรวจไปหลายครั้ง

หลังจากที่ได้ขับเคี่ยวกับพวกทหารและตำรวจมาหลายปี ตี๋วั่งจึงรู้จักระวังตัวมากกว่าคนทั่วไป อย่างครั้งนี้เขาก็รู้สึกว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากล ถึงได้เดินทางออกจากปักกิ่งอย่างกะทันหัน และตัดสินใจว่าจะออกไปกบดานที่ต่างประเทศ

ตอนนี้ตี๋วั่งไม่เหมือนแต่ก่อนแล้ว เขามีเครือข่ายกับกลุ่มลักลอบค้าศิลปวัตถุที่สหรัฐอเมริกาและยุโรปอยู่หลายกลุ่ม หลังจากออกนอกประเทศจึงสามารถใช้ชีวิตแบบมหาเศรษฐีได้

แต่ก่อนที่จะออกเดินทาง ตี๋วั่งก็ตัดสินใจว่า จะทำธุรกิจรายการหนึ่งที่รับมาตั้งแต่เมื่อครึ่งปีที่แล้วให้เสร็จสิ้นไปเสียก่อน เพราะนักสะสมชาวอังกฤษคนนั้นเสนอราคามาถึงห้าล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งตัวเลขนี้ก็สามารถล่อใจตี๋วั่งได้ไม่น้อยเลย

ธุรกิจครั้งนี้สำหรับตี๋วั่งแล้วไม่ได้มีความเสี่ยงมากนัก หลักๆ คือต้องเผชิญกับสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติที่เลวร้าย เพราะครั้งนี้สิ่งที่เขาจะไปปล้นไม่ใช่วัตถุสิ่งของ แต่เป็นศพร่างหนึ่งที่ถูกปกคลุมอยู่บนภูเขาหิมะ

ในวงการนักสะสมที่ต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นนักสะสมสิ่งของจำพวกไหนก็มีทั้งนั้น อย่างที่อังกฤษก็มีนักสะสมรายใหญ่คนหนึ่ง สนใจสะสมพวกศพโบราณเป็นที่สุด ในปราสาทของเขามีตัวอย่างศพโบราณอายุนับร้อยปีสะสมอยู่ไม่น้อยกว่าหนึ่งร้อยร่าง

หนึ่งปีก่อนเมื่อครั้งที่นักสะสมคนนี้เดินทางมาผจญภัยที่ประเทศจีน เขาได้ค้นพบศพนุ่งเสื้อผ้าขนสัตว์ร่างหนึ่ง ถูกแช่แข็งอยู่ในถ้ำบนภูเขาน้ำแข็ง

ศพมนุษย์ผู้ชายที่มีน้ำแข็งเคลือบคลุมอยู่นี้ เส้นผมและขนบนร่างกายยังคงดูเหมือนกับยามมีชีวิต ไม่ว่าจะมองในด้านการสะสมหรือด้านการค้นคว้าวิจัย ก็ถือว่าศพร่างนี้มีมูลค่าอย่างมากมายมหาศาลทั้งนั้น

แต่ชาวอังกฤษคนนี้ก็รู้อยู่ว่า ตัวเองมีเป้าหมายที่ใหญ่โตเกินไป และชื่อเสียงก็ไม่ค่อยดีนัก ต่อให้สามารถนำศพที่ถูกแช่แข็งมานับพันนับหมื่นปีนี้ออกมาได้ แต่ก็ไม่มีทางส่งออกจากประเทศจีนได้อยู่ดี ดังนั้นจึงพยายามหาลู่ทางจนมาพบกับตี๋วั่ง และเสนอค่าตอบแทนสูงลิ่วเพื่อว่าจ้างเขา

ในสองวันตั้งแต่มาถึงเมืองอุรุมชีนี้ ตี๋วั่งก็ไปที่ภูเขาหิมะลูกนั้นมาแล้วสองเที่ยว

แต่ทว่าในสองวันมานี้สภาพอากาศบนภูเขาหิมะเลวร้ายอย่างยิ่ง ทำให้ไม่สามารถเดินทางไปถึงตำแหน่งที่ชาวอังกฤษคนนั้นระบุไว้ได้เลย ต้องเลิกล้มกลับมาตั้งแต่กลางทางทั้งสองครั้ง ดังนั้นตี๋วั่งจึงได้แต่เตรียมการไว้ล่วงหน้า รอให้สภาพอากาศดีขึ้นสักหน่อย แล้วค่อยเคลื่อนไหวต่อไป

จนถึงตอนนี้ นอกจากตี๋วั่งแล้ว คนอื่นๆ ต่างก็ไม่รู้ว่าเขาจะไปที่ภูเขาหิมะด้วยจุดประสงค์ใด และหลังจากพูดคุยกับหวังซุ่น ตี๋วั่งก็ตัดสินใจว่า จะปล่อยเจ้าลูกศิษย์คนนี้ทิ้งไว้บนภูเขาหิมะ ให้อยู่แทนที่ศพร่างนั้นไปตลอดกาล

เพื่อไม่ให้เป็นที่สังเกต พวกตี๋วั่งทั้งห้าคนจึงเปิดห้องพักสี่ห้อง นอกจากตี๋วั่งและเปียวจึที่พักอยู่ห้องเดียวกัน คนอื่นๆ ต่างก็แยกย้ายกันพักคนละห้อง หลังจากเล่นไพ่กันไปครู่หนึ่ง ทุกคนก็กลับไปที่ห้องของตัวเอง

“สี่คน? ทำไมขาดไปหนึ่งคนล่ะ?”

พอเยี่ยเทียนกินเนื้อแพะย่างจนหนำใจแล้วก็กลับไปที่โรงแรม หลังจากทำนายดูก็พบว่า ยังมีอีกคนหนึ่งที่ไม่ได้รับอิทธิพลจากปราณวิเศษของเขา และค่ายกลชุมนุมพลังก็สลายตัวไปแล้ว จึงไม่สามารถถ่ายปราณวิเศษเข้าสู่ร่างของคนผู้นั้นได้อีกแล้ว

เยี่ยเทียนไม่รู้ว่า ตอนที่พวกหวังซุ่นออกไป ตี๋วั่งก็ไม่ได้ออกไปจากห้องของตัวเองเลย ถ้าไม่ใช่เพราะเปียวจึใส่กุญแจประตูห้องไว้จากด้านนอก ค่ายกลของเขาก็คงจะใช้ได้ผลแค่กับอีกสองคนที่เหลือเท่านั้น

แต่เยี่ยเทียนก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร ในกลุ่มเล็กๆ ที่มีอยู่ห้าคนนี้ คาดว่าอีกคนหนึ่งนั้นคงไม่กล้าเคลื่อนไหวเพียงลำพังแน่ ดังนั้นแค่ติดตามสี่คนที่เหลือไปก็พอแล้ว

“ห้าคนนั้นออกไปกันหมดแล้วนี่!”

เช้าวันต่อมาเวลาเจ็ดโมงกว่า เยี่ยเทียนพบว่าทั้งสี่คนนั้นเริ่มมีการเคลื่อนไหว หลังจากเปิดหน้าต่างออก เขาก็เห็นทั้งห้าคนขึ้นรถออฟโรดคันหนึ่งที่จอดอยู่ในลานจอดรถแล้วขับจากไปฝุ่นตลบ

“พี่ชาย อุรุมชีนี่มีอะไรสนุกๆ บ้างไหมเนี่ย? แล้วที่อยู่ทางใต้นั่นมันคือที่ไหนน่ะ?”

ครึ่งชั่วโมงให้หลัง เยี่ยเทียนก็ไปนั่งอยู่ในร้านขายอาหารเช้าแห่งหนึ่งซึ่งไม่ไกลจากโรงแรม พลางคุยเล่นกับชายวัยกลางคนชาวอุยกูร์คนหนึ่ง

“ทางนั้นก็เทือกเขาเทียนซานไงล่ะ ‘ทะเลสาบหยก’ น่ะรู้จักไหม? อยู่บนเขาลูกนั้นนั่นแหละ…”

ชายคนนั้นเป็นมิตรมาก เมื่อเห็นการแต่งกายของเยี่ยเทียนก็พูดขึ้นว่า “พ่อหนุ่ม ถ้าเธอจะไปปีนเขาละก็ ต้องใส่เสื้อหนากว่านี้หน่อยนะ”

หลังจากได้ยินชายวัยกลางคนแนะนำ เยี่ยเทียนก็พยักหน้าอย่างครุ่นคิด มิน่าเล่าห้าคนนั้นถึงได้หอบหิ้วสัมภาระทั้งใบเล็กใบใหญ่ไปกันคนละไม่ใช่น้อยๆ เลย