เทือกเขาเทียนซาน โดย Ink Stone_Fantasy

ช่วงเดือนกันยายนถึงเดือนตุลาคมตรงกับฤดูกาลท่องเที่ยวของเมืองอุรุมชีพอดี หลังจากออกมาจากร้านขายอาหารเช้า เยี่ยเทียนเดินไปตามทางถนนไม่ถึงห้านาทีก็เจอบริษัทท่องเที่ยวแห่งหนึ่ง

“พ่อหนุ่ม คุณจะมาร่วมทัวร์ชมเทือกเขาเทียนซานสองวันหนึ่งคืนก็ได้นะ รวมอาหารและที่พักแล้ว ตอนเย็นพักที่อุทยานทะเลสาบเทียนฉือ คิดค่ารถไปกลับแล้วก็แค่ 588 หยวนเท่านั้น ถือว่าคุ้มมากนะครับ!”

เมื่อได้ยินว่าเยี่ยเทียนจะไปเที่ยวที่เทือกเขาเทียนซาน คนที่มีท่าทางเหมือนผู้จัดการก็รีบหยิบอัลบั้มรูปภาพหนึ่งเล่ม มาแนะนำเยี่ยเทียนทันที

“ออกเดินทางเมื่อไหร่ครับ?”

เยี่ยเทียนไม่ค่อยสนใจเรื่องราคา แต่เวลาที่จะออกเดินทางต่างหากคือประเด็นสำคัญ ถ้าออกเดินทางช้าเกินไป เขาก็ยอมเรียกรถแท็กซี่ไปแทนดีกว่า เพราะถึงอย่างไรที่นั่นก็อยู่ไกลจากเมืองอุรุมชีเพียงเจ็ดแปดสิบกิโลเมตร

ผู้จัดการคนนั้นดูออกว่าเยี่ยเทียนต้องการออกเดินทางเร็วหน่อย จึงตอบว่า “ถ้าชำระเงินตอนนี้ ก็จะมีทัวร์กลุ่มหนึ่งออกเดินทางตอนสิบโมงเช้า ตอนเที่ยงก็ถึงแล้วครับ…”

“โอเค ผมสมัครเลย!”

เยี่ยเทียนพยักหน้า นับเงินจำนวนหกร้อยหยวนแล้วส่งให้เขา หลังจากดำเนินการเรียบร้อยแล้ว ผู้จัดการคนนั้นเห็นว่าเยี่ยเทียนก็ไม่ได้จะไปไหน จึงตะโกนเรียกมัคคุเทศก์ให้พาเยี่ยเทียนไปรอบนรถบัส

มัคคุเทศก์ที่รับลูกทัวร์เป็นหญิงสาวชาวอุยกูร์อายุราวยี่สิบกว่าปีคนหนึ่ง ตอนนี้คนอื่นก็ยังไม่มากัน เมื่อเห็นเยี่ยเทียนสะพายกระเป๋าเป้ธรรมดาๆ ใบเดียวขึ้นรถมา จึงอดถามอย่างแปลกใจไม่ได้ “คุณมาเที่ยวคนเดียวเหรอคะ?”

“ใช่ครับ อยากไปดูว่าที่ทะเลสาบเทียนฉือมีสัตว์ประหลาดอะไรรึเปล่า”

เยี่ยเทียนหัวเราะขึ้นมา ช่วงก่อนหน้านี้เคยมีข่าวรายงานว่า มีสัตว์ประหลาดยุคก่อนประวัติศาสตร์ปรากฏตัวขึ้นในทะเลสาบเทียนฉือ ทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางไปเทือกเขาเทียนซานเพิ่มสูงขึ้นอยู่ช่วงหนึ่ง แต่ก็ไม่มีใครได้เห็นสัตว์ประหลาดตัวนั้นอีกเลย

“มีสัตว์ประหลาดที่ไหนกันล่ะ…” สาวอุยกูร์บ่นพึมพำ แล้วจึงพูดด้วยความหวังดี “อากาศของที่นี่ช่วงเช้าต้องใส่เสื้อนวมปุยฝ้าย ช่วงกลางวันใส่ผ้าโปร่งสบาย พอไปถึงทะเลสาบเทียนฉือก็จะยิ่งหนาวกว่านี้อีก คุณใส่เสื้อผ้าน้อยเกินไปนะคะ!”

“ไม่เป็นไรครับ ที่นั่นน่าจะมีเสื้อกันหนาวให้เช่าอยู่แล้ว ถึงตอนนั้นผมค่อยไปเช่ามาสักตัวก็ได้ครับ”

เยี่ยเทียนเคยขึ้นเหนือล่องใต้ไปมาหลายที่แล้ว เขาจึงรู้ว่า ในเขตท่องเที่ยวบางแห่งที่มีอุณหภูมิแตกต่างกันมากมักจะมีบริการให้เช่าเสื้อกันหนาว แค่จ่ายเงินไม่กี่หยวน ก็สามารถขจัดความยุ่งยากในการหอบหิ้วสัมภาระของตัวเองได้แล้ว

“คุณนี่รู้ดีจังเลยนะคะ” มัคคุเทศก์ชาวอุยกูร์มองเยี่ยเทียนอย่างตะลึงๆ แต่ตอนนั้นมีนักท่องเที่ยวคนอื่นขึ้นมาบนรถพอดี เธอจึงรีบเดินไปต้อนรับ

เมื่อถึงเวลาสิบนาฬิกา บนรถก็มีคนนั่งเต็มทุกที่นั่งแล้ว จึงขับเคลื่อนออกจากลานจอดรถตรงตามเวลา

เมื่อรถขับออกจากเขตเมือง เบื้องหน้าก็กลายเป็นพื้นที่กว้างขวางสุดลูกหูลูกตา สองฝั่งถนนปลูกต้นฝ้ายไว้เต็มไปหมด หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมง รถก็เริ่มขับปีนขึ้นเนินเขา

การนั่งรถบนถนนรอบภูเขาเช่นนี้ จะต้องมีความกล้าหาญในระดับหนึ่ง คนที่ขี้ขลาดจะไม่กล้ามองจากรถลงไปข้างล่างเลย เพราะสิ่งที่จะปะทะแก่สายตาก็คือหน้าผาอันสูงชัน หมู่เมฆที่พัดผ่านหน้าต่างรถ และเส้นทางบนภูเขาอันคดเคี้ยว

และเดือนกันยายนยังเป็นฤดูที่มีน้ำไหลหลากลงมาจากภูเขาอีกด้วย เมื่อมองจากรถยนต์จะเห็นลำธารเชี่ยวกรากสายหนึ่งที่เชิงเขา เมื่อสายน้ำอันใสสะอาดปะทะกับโขดหิน ก็จะเกิดฟองคลื่นสีขาวกระเซ็นขึ้นมา ราวกับว่าแม้จะอยู่ห่างเป็นร้อยเมตรก็ยังสัมผัสได้อย่างชัดเจน

“ทุกท่านคะ ตอนนี้พวกเรากำลังจะไปที่ทะเลสาบเทียนฉือบนเทือกเขาเทียนซาน ซึ่งตั้งอยู่ในส่วนกลางของเขตซินเจียง ประกอบด้วยเทือกเขาคดโค้งสามแนวเรียงตัวขนานกันจากทิศตะวันออกไปทางทิศตะวันตก

“ทะเลสาบเทียนฉือตั้งอยู่บนภูเขาโป๋เก๋อต๋าในเทือกเขาเทียนซาน ในสมัยโบราณธารน้ำแข็งและกระแสน้ำโคลนได้ไหลไปอุดตันแม่น้ำ จึงก่อให้เกิดทะเลสาบน้ำขังขึ้นบนภูเขาสูง บนยอดเขานั้นปกคลุมไปด้วยหิมะ และน้ำในทะเลสาบก็มีที่มาจากหิมะบนเขาที่ละลายลงมานั่นเอง

“แน่นอนว่า ที่นี่ก็มีตำนานเล่าขานที่ฟังดูเลิศเลออยู่เรื่องหนึ่งเช่นกัน ว่ากันว่าทะเลสาบเทียนฉือใหญ่นั้นคือสถานที่สรงน้ำของพระนางซีหวังหมู่ ส่วนเทียนฉือเล็กก็คืออ่างชำระพระบาทของพระนาง…”

หลังจากรถขึ้นไปบนภูเขา มัคคุเทศก์ชาวอุยกูร์ก็เริ่มอธิบายให้ฟัง ต่างจากนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ ที่กำลังถ่ายรูปไปทุกมุมอย่างตื่นเต้น เยี่ยเทียนที่กลับนั่งอยู่ข้างหลังอย่างเงียบๆ พลางสัมผัสพลังชี่แห่งฟ้าดินอันเข้มข้นของที่นี่

ตามความเข้าใจของฝ่ายเต๋า มนุษย์สามารถดูดซึมพลังชี่เข้าสู่ร่างกายได้ เพียงแต่คนธรรมดาไม่รู้จักการฝึกปราณ สิ่งที่ล้ำค่าที่สุดที่มีอยู่ในธรรมชาตินี้จึงมักจะสูญเปล่าไป เมื่อเป็นเช่นนี้ ในเขตพื้นที่โบราณซึ่งมีผู้คนอาศัยอยู่น้อย จึงมักจะมีพลังชี่อยู่อย่างหนาแน่น

เยี่ยเทียนไม่รู้ว่าทฤษฎีนี้มีเหตุผลหรือไม่ แต่เขาเคยเดินทางไปหลายที่ และก็พบว่าพลังชี่ในเมืองจะค่อนข้างเบาบางกว่าจริงๆ แต่ตามชนบทรวมถึงตามป่าเขานั้น พลังชี่กลับมีปริมาณและคุณภาพที่สูงกว่าอย่างเห็นได้ชัด

อย่างบนภูเขาอันเต็มไปด้วยไปหมอกซึ่งรถกำลังขับเคลื่อนอยู่นี้ ทุกครั้งที่หายใจเข้าออกเยี่ยเทียนก็จะรู้สึกปลอดโปร่งสบายเป็นพิเศษ ถ้าไม่ใช่เพราะไม่สามารถฝึกปราณที่จุดชมวิวได้ และการดำรงชีวิตในป่าเขาก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ แล้วละก็ เยี่ยเทียนคงคิดที่จะมาพักอยู่ที่นี่นานๆ ไปเลย

เมื่อถึงตอนเที่ยง รถก็มาจอดที่จุดชมวิวของทะเลสาบเทียนฉือ เมื่อลงจากรถแล้ว เยี่ยเทียนก็ตะลึงหลงใหลกับทิวทัศน์อันงดงามที่เห็นอยู่ไกลๆ ไปพักหนึ่งอย่างไม่อาจหักห้ามใจได้

ห่านตัวหนึ่งทะยานขึ้นจากคลื่นน้ำสีเขียวครามซึ่งปกคลุมไปด้วยหมอกบางๆ ต้นสนและต้นไป๋อันเขียวขจีประดับประดาอยู่ริมทะเลสาบ ยอดเขาโป๋เก๋อต๋าที่เห็นอยู่แต่ไกลถูกปกคลุมไปด้วยหิมะขาวสะอาดงามตา

บริเวณเนินเขาที่อยู่โดยรอบทะเลสาบเทียนฉือมีต้นสนสปรูซ ต้นไวท์เบิร์ช ต้นหยางและต้นหลิวสูงทอดยอด ริมทะเลสาบฝั่งทิศตะวันตกได้ก่อสร้างศาลาพักผ่อนอันวิจิตรงดงามไว้ ผิวทะเลสาบอันสงบนิ่งและใสสะอาดสะท้อนภาพภูเขาสีครามที่มีหิมะปกคลุมยอด เป็นทัศนียภาพที่สวยงามมีเสน่ห์ราวกับสรวงสวรรค์

“นี่คือบัวหิมะซึ่งเป็นสินค้าประจำท้องถิ่นของเทือกเขาเทียนซานเรา ถ้าคุณๆ ชอบก็สามารถซื้อได้นะคะ…”

ทันทีที่ทุกคนลงจากรถ ก็มีหญิงสาวขายดอกไม้หลายคนเข้ามารุมล้อม ในตะกร้าของพวกเธอใส่ดอกไม้ที่ผิวภายนอกเป็นสีเขียวอมเหลืองไว้จำนวนหนึ่ง และก็ไม่ได้ขายแพงมาก เพียงดอกละสิบหยวน แต่แน่นอนว่า นี่คงไม่ใช่บัวหิมะป่าของจริงหรอก

“ถ้าของพวกนี้มีอายุจริงก็ถือว่ายังพอใช้ได้”

เยี่ยเทียนหยิบบัวหิมะขึ้นมาหนึ่งดอก ลองดมกลิ่นหอมอ่อนๆ ของมัน แล้วก็วางกลับลงไปอีก บัวหิมะมีสรรพคุณทำให้เลือดลมไหลเวียนดี ขับไล่ความเย็นขจัดความชื้น สามารถรักษาโรคชนิดเย็นได้ทุกโรค ถ้ามีบัวหิมะอายุพันปีอยู่จริง คุณสมบัติทางยาของมันก็จะเป็นผลดีต่อการฟื้นฟูอาการบาดเจ็บของเยี่ยเทียนอย่างมาก

หลังจากรับประทานอาหารกลางวันร่วมกับนักท่องเที่ยวที่นั่งรถมาคันเดียวกันแล้ว เยี่ยเทียนก็ไม่ได้ไปนั่งเรือล่องทะเลสาบเทียนฉือกับพวกเขาด้วย แต่ไปขอกุญแจห้องจากมัคคุเทศก์ แล้วเข้าไปพักในบ้านไม้ที่ค่อนข้างจะมีเอกลักษณ์ของชนเผ่ากลุ่มน้อย

“ทำไมคนพวกนั้นขึ้นเขาไปแล้วล่ะ?”

เยี่ยเทียนขมวดคิ้วเล็กน้อย เมื่อครู่นี้เขาก็ไม่ได้เห็นรถออฟโรดคันนั้นจอดอยู่ที่ลานจอดรถเลย พอทำนายดูแล้วถึงจะพบว่า ‘เถ้าแก่เจี่ย’ และคนอื่นๆ ต่างก็อยู่บนยอดเขายอดหนึ่งซึ่งอยู่ห่างจากตรงนี้ไปยี่สิบกว่ากิโลเมตรแล้ว

หลังจากคิดดูครู่หนึ่ง เยี่ยเทียนก็สะพายเป้กลับขึ้นหลังอีกครั้ง แล้วออกไปหาเจ้าหน้าที่ของจุดชมวิวคนหนึ่ง

“คุณอยากไปปีนภูเขาหิมะหรือ?”

เจ้าหน้าที่คนนั้นมองเยี่ยเทียน แล้วส่ายหน้าไม่หยุด “คุณแต่งตัวแบบนี้น่ะไม่ไหวหรอก ยังไม่ทันได้ขึ้นภูเขาหิมะก็คงจะโดนแช่แข็งไปก่อนแล้วละ พวกคนของทีมไต่เขาก็คงไม่ยอมพาคุณไปหรอก…”

ที่ทะเลสาบเทียนฉือนี้ถือว่าเป็นหนึ่งในสถานีเชื่อมต่อและจ่ายเสบียงอาหารสำหรับนักผจญภัยไต่เขาบนภูเขาหิมะแต่ละลูกอย่างเช่นยอดเขาโป๋เก๋อต๋า ในเดือนที่มีสภาพอากาศดี ก็มักจะมีคนอยากไปผจญภัยไต่เขากันแทบทุกวัน

แต่คนที่ใส่เพียงเสื้อแจ็คเก็ตกับรองเท้าเดินเที่ยวแล้วยังอยากจะไปขึ้นเขาอย่างเยี่ยเทียนนี้ เจ้าหน้าที่คนนี้ก็เพิ่งจะเคยเจอเป็นครั้งแรก ก็อย่างที่เขาพูดไปเมื่อครู่ พอไปถึงเชิงเขาแล้ว ยังไม่ทันปีนขึ้นไปก็คงจะหนาวจนตัวแข็งทนไม่ไหวแล้วละ

เยี่ยเทียนได้ยินเช่นนั้นก็ขมวดคิ้ว แล้วเอ่ยปากถามว่า “แล้วที่นี่พวกคุณมีชุดปีนเขากับอุปกรณ์ขายไหมครับ?”

มหาวิทยาลัยหวาชิงมีทีมไต่เขาที่มีชื่อเสียงอยู่ทีมหนึ่ง หลังจากลูกพี่สวีเจิ้นหนานเล่นบาสเกตบอลจนเบื่อแล้ว ก็หันไปเข้าร่วมทีมไต่เขาทีมนั้นแทน เยี่ยเทียนจึงมีความรู้เกี่ยวกับการปีนเขาอยู่ไม่น้อย เพียงแต่ไม่มีโอกาสได้นำไปปฏิบัติจริงสักที

“ก็มีอยู่นะครับ แล้วก็ยังมีโค้ชสอนปีนเขาด้วย ไปครับ ผมจะพาคุณไปเอง!”

เมื่อได้ยินว่าเยี่ยเทียนจะซื้ออุปกรณ์ปีนเขา เจ้าหน้าที่คนนั้นก็ดีใจขึ้นมาทันที เพราะอุปกรณ์ปีนเขาชุดหนึ่งก็มีราคาสูงไม่ใช่เล่น และหลังจากขายได้แล้วเขาก็จะได้ค่านายหน้าอีกด้วย

“แม่งเอ๊ย มันหน้าเลือดจริงๆ…”

หลังจากออกมาจากร้านขายอุปกรณ์ปีนเขา เยี่ยเทียนก็ชักจะรู้สึกหนาวขึ้นมาจริงๆ แล้ว เหตุผลนั้นง่ายมาก เพียงแค่ซื้อกระเป๋าปีนเขารวมกับชุดกันหนาวและเต็นท์กลางแจ้ง รวมถึงเชือกยาวห้าสิบเมตรเส้นหนึ่งกับค้อนทุบน้ำแข็ง เยี่ยเทียนก็ต้องจ่ายเงินไปถึงสี่พันหกร้อยหยวนเต็มๆ

ถ้าไม่ใช่เพราะตอนที่เยี่ยเทียนกำลังจะออกจากบ้าน ป้าใหญ่ยัดเงินให้เขามาสองพันหยวนละก็ เยี่ยเทียนก็คงควักเงินออกมาไม่พอถึงสี่พันหกร้อยหยวนหรอก แม้กระนั้นตอนนี้เยี่ยเทียนก็ยังมีเงินเหลืออยู่ในกระเป๋าอีกหลายร้อยหยวน

แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้เขารู้สึกสบายใจขึ้นมาบ้างก็คือ หลังจากที่ซื้อของแล้ว โค้ชปีนเขาของร้านนั้นก็จะพา ‘กลุ่มคนผู้คลั่งไคล้การปีนเขา’ อย่างพวกเขานี้ไปที่ธารน้ำแข็งหมายเลขหนึ่งโดยไม่คิดค่าจ้างอีก

จากทะเลสาบเทียนฉือขึ้นไปบนยอดเขานั้น ไม่สามารถขับรถยนต์ไปต่อได้แล้ว แต่จะต้องนั่งรถของจุดชมวิวจากฝั่งตะวันตกของทะเลสาบเทียนฉืออ้อมไปยังฝั่งทิศใต้ จากนั้นก็ต้องเปลี่ยนเป็นขี่ม้าแทน

เยี่ยเทียนกวาดสายตาไปที่ลานจอดรถเล็กๆ ลานนั้น แล้วก็เจอรถออฟโรดคันที่เห็นเมื่อตอนเช้าในทันที เขาจึงรู้ว่า ตัวเองตามรอยมาถูกทางแล้ว

พวกเขาซึ่งมีอยู่ห้าหกคนขี่ม้าทวนกระแสน้ำขึ้นไป ในหุบเขานั้นอบอุ่นและกว้างขวาง ที่ก้นหุบเขาและเนินเขาด้านที่ไม่ถูกแสงอาทิตย์มีต้นสนสปรูซขึ้นอยู่อย่างหนาแน่น และบนเนินเขาด้านที่หันหน้ารับแสงอาทิตย์ก็มีพุ่มไม้เตี้ยปกคลุมไปทั่ว แต่ฤดูใบไม้ร่วงใกล้จะมาถึงแล้ว พุ่มไม้เหล่านั้นจึงเริ่มแห้งเหลืองไปบ้าง

เมื่อเดินขึ้นไปตามทางหุบเขา จะสามารถมองเห็นซากหินจากธารน้ำแข็งโบราณที่อยู่ในสภาพสมบูรณ์ และลักษณะธรณีที่ถูกธารน้ำแข็งกัดกร่อนปรากฏไปทั่ว เมื่อยืนอยู่บนเส้นทางกู่ปานโป๋เก๋อต๋าแล้วทอดสายตามองออกไป ก็จะเห็นวิวยอดเขาโป๋เก๋อต๋าและธารน้ำแข็งขนาดใหญ่ที่ไหลลงมาบนทางลาดเนินเขาทิศเหนือในมุมกว้าง

จุดหมายปลายทางของพวกเยี่ยเทียนคือธารน้ำแข็งบนเนินเขาทิศเหนือของยอดเขาโป๋เก๋อต๋า ซึ่งก็คือธารน้ำแข็งขนาดใหญ่ที่สุดในเขตยอดเขาโป๋เก๋อต๋า แนวหิมะน้ำแข็งที่นั่นลาดชันมาก แต่น้ำแข็งส่วนที่ยื่นขยายออกมากลับค่อนข้างราบเรียบ มีรอยแตกร้าวตัดสลับกันไปมา แน่นขนัดเหมือนใยแมงมุม

เมื่อยืนอยู่ตรงพื้นหญ้าบนที่ลาดสูง จะมองเห็นกระแสน้ำอันคดเคี้ยวที่ลึกประมาณห้าหกเมตรและกว้างราวสามสี่เมตร เสียงน้ำไหลดังครืนครั่นดังอยู่ไม่ขาดหู แม้แต่เยี่ยเทียนเองก็ยังรู้สึกขนหัวลุก นี่ถ้าตกลงไปละก็ สงสัยแม้แต่โครงกระดูกก็คงหาไม่เจอแน่

“เอาละ ทุกคนเชิญตามอัธยาศัยเลย แต่อย่าไปไกลนะ เย็นนี้พวกเราจะตั้งแคมป์กันที่นี่…”

เห็นได้ชัดว่าโค้ชปีนเขาคนนี้ไม่ค่อยจะมีความรับผิดชอบสักเท่าไร พอพาทุกคนมาถึงตรงนี้แล้วก็ปล่อยเลย ส่วนตัวเองกลับหนีไปอาบแดดสูบบุหรี่ที่เนินเขาอีกจุดหนึ่ง

หลังจากขี่ม้ามาครึ่งค่อนวัน คนอื่นๆ ก็รู้สึกเหนื่อยกันแล้ว แต่ไม่มีใครสังเกตเลยว่า เยี่ยเทียนแบกกระเป๋าปีนเขาใบใหญ่เท่าครึ่งตัวคน ปีนขึ้นเขาตามเส้นทางสายเล็กที่อยู่ด้านข้างไปแล้ว

บนไหล่เขาที่อยู่เหนือเยี่ยเทียนขึ้นไปนั้น อีกทีมหนึ่งก็กำลังฝ่าหิมะปีนป่ายขึ้นไปบนยอดเขาเช่นกัน แม้ว่าตี๋วั่งจะมีอายุมากที่สุด แต่การเคลื่อนไหวของเขากลับคล่องแคล่วปราดเปรียวที่สุด แถมยังหันกลับมากระซิบเร่งคนที่ตามมาข้างหลังอยู่เป็นระยะ

หลังจากดูแผนที่ที่ถืออยู่ในมือแล้ว ตี๋วั่งก็ตะโกนเป็นเสียงกระซิบว่า “เร็วหน่อย เย็นนี้ต้องปีนให้ถึงยอดโป๋เก๋อต๋านะ ที่นั่นมีจุดที่ตั้งแคมป์ได้อยู่ที่หนึ่ง!”

ณ ตำแหน่งที่อยู่สูงจากระดับน้ำทะเลไปสี่พันกว่าเมตรนี้มีหิมะปกคลุมทับถมไปทั่ว ถ้าพูดเสียงดังไปกว่านี้แม้เพียงเล็กน้อย ก็อาจจะทำให้เกิดเหตุหิมะถล่มได้

แต่ต่างจากเยี่ยเทียนที่คลำทางมาโดยไม่รู้จักเส้นทางเลย ในมือของตี๋วั่งมีเส้นทางการปีนเขาที่ชาวอังกฤษคนนั้นให้มา แม้แต่ตำแหน่งต่างๆ ที่เหมาะจะเป็นจุดตั้งแคมป์ก็มีระบุไว้อย่างชัดเจน