ภาค 5 ผู้ขี่มังกรสู่ฟากฟ้า บทที่ 446 วันนี้ไม่คิดเป็นวีรบุรุษ

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

พวกหลู่หมิงมิใช่เป้าหมายการโจมตีของสายฟ้า แต่ได้รับผลกระทบจากสายฟ้าที่หลงเหลืออยู่ รู้สึกว่าร่างกายเกิดอาการชา

พวกจอมยุทธ์ครึ่งปีศาจที่ติดตามเซ่าเฟิงถิงมา ก็มีอาการเช่นเดียวกัน

ส่วนหนึ่งที่อยู่ใกล้เซ่าเฟิงถิง ถูกระเบิดไม่เหลือแม้แต่เศษซากไปพร้อมกันแล้ว

ทุกคนนิ่งอึ้งอยู่ที่เดิม ไม่ได้สติอยู่เนิ่นนาน

ในชั่วพริบตานั้น ในใจของทุกคนเกิดความรู้สึกว่าทุกสิ่งล้วนไร้สาระ

หรือว่าเทพเจ้าจะรังเกียจผู้ที่ทิ้งความเป็นมนุษย์ ฆ่าและกลืนกินร่างกายของมนุษย์ ดังนั้นจึงลงทัณฑ์จอมยุทธ์ครึ่งปีศาจเพื่อให้ชดใช้กรรม?

มีคำพูดว่าไว้ว่า สวรรค์ลงทัณฑ์ ใช้สายฟ้าผ่าใส่คนชั่ว

สายฟ้าที่ผ่าลงมาเมื่อครู่นี้ เหตุใดจึงได้ดูเหมือนทัณฑ์สวรรค์นัก!

ถึงจะทราบดีว่าความคิดนี้เหลวไหลไปบ้าง แต่ว่าทุกคนก็ยังอดตัวสั่นไม่ได้

เหตุการณ์ในตอนนี้ หากให้พวกเขาใช้ความคิดของคนทั่วไปมาพิจารณา คงจะทำอะไรไม่ถูกจริงๆ

‘ปีศาจปักษา’ เซ่าเฟิงถิง กับ ‘ปีศาจอัสนี’ และ ‘ปีศาจราชสีห์’ ถูกเรียกว่าสามปีศาจ พลังของแต่ละคนอยู่บนจุดสูงสุดของจอมยุทธ์ในโลกลอยน้ำ

สำนักทั้งสี่จำเป็นต้องใช้ของวิเศษและกระบวนทัพที่รวมยอดฝีมือระดับสูงจำนวนมาก จึงจะสามารถรับมือได้

ไม่ว่าจะเป็นใครในสามปีศาจ ก็ล้วนเป็นบุคคลที่สร้างความปั่นป่วนบนโลกลอยน้ำมาหลายปี และแสดงให้เห็นถึงระดับสูงสุดของพลังต่อสู้ส่วนบุคคลของจอมยุทธ์โลกลอยน้ำ

แต่ว่าในตอนนี้ ‘ปีศาจปักษา’ เซ่าเฟิงถิงที่อยู่ด้านหน้าพวกเขากลับถูกสายฟ้าเพียงสายเดียวผ่าใส่ สุดท้ายไม่เหลือแม้แต่ซาก ตายโดยไร้ที่กลบฝัง!

นี่คือสิ่งที่คนคนหนึ่งทำได้ จะไม่ให้พวกหลู่หมิงรู้สึกงงงวยและตกใจได้อย่างไร

ครั้งนี้ เยี่ยนจ้าวเกอเดินออกมาจากแสงสายฟ้าด้วยสีหน้าสบายอารมณ์

หลังจากใช้สายฟ้าชั่วพริบตาแล้ว พลังของเศษดวงตาราชันสายฟ้าก็หมดลง กลายเป็นไข่มุกหินธรรมดาสีเทาด้าน

เยี่ยนจ้าวเกอเก็บไข่มุกหินขึ้นมา จากนั้นก็ดีดนิ้วใส่คมกระบี่บึงมรกตเบาๆ

“ตอนนี้ยังมีใครคิดหยุดข้าอีกหรือไม่”

จอมยุทธ์ครึ่งปีศาจทั้งหมดต่างรู้สึกได้ว่า ร่างกายของตนสั่นเทาอย่างควบคุมไม่อยู่ รีบถอยออกเปิดทางเป็นสองฟาก

หลู่หมิงตั้งสติ กล่าวอย่างงงกๆ เงิ่นๆ “ขอบคุณท่านที่ช่วยชีวิต ถ้าหากตกไปอยู่ในมือของ ‘ปีศาจปักษา’ พวกข้าตายเสียยังดีกว่า”

“จอมยุทธ์ครึ่งปีศาจละทิ้งความเป็นมนุษย์ ลืมกำพืดของตัวเอง เต็มใจกลายเป็นปีศาจ กินเลือดเนื้อมนุษย์ ชอบก่อแต่ปัญหา สำหรับจอมยุทธ์เผ่ามนุษย์อย่างพวกเราแล้ว อันตรายยิ่งกว่าสัตว์ปีศาจเสียอีก

“‘ปีศาจปักษา’ ที่ท่านกำจัดไป เป็นมหันตภัยของโลกลอยน้ำ และของพวกเราเผ่ามนุษย์ ข้าขอเป็นตัวแทนคนที่เสียชีวิตด้วยน้ำมือของ ‘ปีศาจปักษา’ และจอมยุทธ์ครึ่งปีศาจที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของมัน แสดงความขอบคุณและความเคารพด้วยความจริงใจสูงสุดต่อท่าน”

จอมยุทธ์สำนักเมฆาโลหิตมองเจ้าสำนักของตนเองอย่างตื่นตระหนก

คนที่รู้สึกตัวเร็ว ค่อยๆ ได้สติกลับมา รีบเลียนแบบ

จอมยุทธ์สำนักเขามังกรเขียวที่จัดการจอมยุทธ์สำนักเพลิงโหมส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งตามหลังเยี่ยนจ้าวเกอมาติดๆ ได้สติกลับมา หลังจากความงงงันในตอนแรก

พวกหลัวจิ่งฮ่าวอดด่าหลู่หมิงว่าไร้ยางอายอยู่ในใจไม่ได้ ถึงกับใช้โอกาสนี้มาร้องขอให้เยี่ยนจ้าวเกอไว้ชีวิต ราวกับไม่มีศักดิ์ศรีก็ไม่ปาน

แต่ในขณะที่พวกเขาด่า ก็อดยอมรับไม่ได้ว่า หลู่หมิงคว้าโอกาสได้ยอดเยี่ยมมาก

พวกหลัวจิ่งฮ่าวกระวนกระวาย ต่างคนต่างมองเยี่ยนจ้าวเกอด้วยความวิตก

‘ปีศาจปักษา’ เซ่าเฟิงถิงกับสำนักเมฆาโลหิตเป็นศัตรูคู่อาฆาต เยี่ยนจ้าวเกอฆ่าเซ่าเฟิงถิงทิ้ง เท่ากับช่วยเหลือสำนักเมฆาโลหิต

นี่ทำให้ในใจของคนสำนักเขามังกรเขียวอดหวั่นไหวไม่ได้ ถ้าหากเยี่ยนจ้าวเกอคิดปล่อยสำนักเมฆาโลหิตไป พวกเขาก็ไม่อาจซ้ำเติมต่อได้

หลัวจิ่งฮ่าวในฐานะเจ้าสำนักคิดเยอะกว่า

เยี่ยนจ้าวเกอแข็งแกร่งเกินไป ถ้าหากเขาคิดจะครองโลกลอยน้ำจริงๆ เล่า?

การใช้กำลังปราบปรามนั้นง่าย คิดจะปกครองโลกใบหนึ่งเหมือนชี้นิ้วสั่ง อีกทั้งการทำให้โลกใบนี้หมุนตามความปรารถนาของตัวเองในระยะยาวนาน มิใช่เรื่องที่ใช้เพียงแต่กำลังบังคับได้

หลัวจิ่งฮ่าวคิดขึ้น ‘หรือเยี่ยนจ้าวเกอคิดจะรับสำนักเมฆาโลหิตเป็นพวก?’

อีกด้านหนึ่ง สำนักเพลิงโหมกับสำนักอัสนีคำรนอาจจะอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน วันนี้เล่นงานเสร็จ วันหน้าจะทำให้พวกเขาเชื่อฟังมากขึ้น

สำนักเขามังกรเขียวของตนก็ไม่มีทางปฏิเสธคำสั่งของเยี่ยนจ้าวเกอได้เช่นกัน

หลังจากถูกเล่นงานในวันนี้ เมื่อสำนักเมฆาโลหิต สำนักเพลิงโหม และสำนักอัสนีคำรนเชื่อฟังแล้ว บางทีอาจจะให้พวกเขามากดดันสำนักเขามังกรเขียว เพื่อไม่ให้เติบโตเพียงสำนักเดียวก็ได้

ขณะที่หลัวจิ่งฮ่าวคิดเช่นนี้ ในใจก็ตึงเครียดมากขึ้น

จิตใจของหลู่หมิงเรียบง่ายกว่ามาก ‘คนหนุ่มส่วนใหญ่ชอบรักษาหน้าตา รักการเป็นวีรบุรุษ และใช้ความรู้สึกส่วนตัว การชี้ให้เห็นถึงอันตรายของจอมยุทธ์ครึ่งปีศาจ และเน้นย้ำว่าพวกเราเป็นจอมยุทธ์เผ่ามนุษย์เหมือนกัน เป็นพวกเดียวกัน สมควรแก้ไขความคิดเป็นศัตรูและจิตสังหารของมันได้กระมัง?’

‘ยกย่องเขาให้เต็มที่ ใช้คำพูดต้อนให้มันจนมุม ขอแค่เขายกสถานะของตัวเองขึ้นมาตามคำพูดของข้า ในสถานการณ์ที่รักเสียดายชื่อเสียง เขาไม่น่าจะลงมืออีกแล้วกระมัง?’

ขณะที่คิด หลู่หมิงก็พูดด้วยความจริงใจ “พวกคนในโลกลอยน้ำถูกคุกคามโดยสัตว์ปีศาจกับจอมยุทธ์ครึ่งปีศาจที่แข็งแกร่งมาโดยตลอด จอมยุทธ์เช่นข้าคิดกำจัดปีศาจมาหลายครั้งแล้ว แต่ติดที่อีกฝ่ายแข็งแกร่ง สุดท้ายมิอาจทำได้”

“ดีที่ท่านมายังโลกนี้เฉกเช่นเทพเจ้า และมังกรจากสวรรค์ สังหารอัจฉริยะครึ่งปีศาจ ‘ปีศาจปักษา’ ในชั่วพลิกฝ่ามือ กำจัดมหันตภัยให้กับโลกลอยน้ำ”

“สำนักเมฆาโลหิตของข้าไร้ความสามารถ ต้องการติดตามใต้เท้ากำจัดปีศาจและเพทภัย ก่อนหน้านี้มีตาหามีแวว ล่วงเกินใต้เท้า ในใจรู้สึกเสียใจยิ่ง ขอให้ใต้เท้าโปรดให้อภัยความโง่เง่าของพวกเราด้วย…”

เยี่ยนจ้าวเกอมองหลู่หมิงอย่างเรียบเฉย เก็บกระบี่บึงมรกตในมือ

หลู่หมิงแสดงท่าทีนอบน้อมมากกว่าเดิม ถอนหายใจคำหนึ่งในใจ ‘ถึงอย่างไรคนหนุ่มก็เป็นคนหนุ่ม ไม่รู้ว่าเขาฝึกฝนจนมีพลังน่าทึ่งแบบนี้ได้อย่างไร แต่ขอแค่ยกยอกสักหน่อย ย่อมรับมือง่ายขึ้น’

เขาใช้หางตามองเจ้าสำนักเขามังกรเขียวหลัวจิ่งฮ่าว ‘เรื่องนี้ไม่แน่ว่าอาจจะมี…’

ขณะที่คิดอยู่ เบื้องหน้าพลันมืดลงในทันใด

หลู่หมิงเบิกตากว้าง เห็นเยี่ยนจ้าวเกอยกฝ่ามือขึ้น แล้วฟาดลงเบื้องล่าง!

“ท่าน…”

เจ้าสำนักเมฆาโลหิตตื่นตระหนกสุดสบรรยาย คิดขัดขืน แต่กลับถูกฝ่ามือที่เหมือนกับฟ้าถล่มฟาดกะโหลกแตก!

ผู้อื่นอ้าปากตาค้าง

เยี่ยนจ้าวเกอชักมือกลับอย่างใจเย็น “ครั้งนี้ไม่คิดเป็นวีรบุรุษหรือผู้ช่วยโลก แต่คิดเป็นราชาปีศาจสักครั้ง”

“อืม อีกทั้งยังเป็นราชาปีศาจที่ไม่ต้องใช้สมองด้วย”

ชายหนุ่มย่อมเข้าใจการควบคุมกันและกันที่หลัวจิ่งฮ่าวคิด แต่เขาขี้คร้านจะทำ ครั้งนี้ต้องการลงมือหยาบๆ เท่านั้น

เขามองจอมยุทธ์สำนักเมฆาโลหิตกับจอมยุทธ์ครึ่งปีศาจที่เหลืออยู่ แล้วหันไปถามทุกคนในสำนักเขามังกรเขียวว่า “มอบให้พวกท่านจัดการ มีปัญหาหรือไม่”

พวกหลัวจิ่งฮ่าวรีบตอบ “ไม่มี! ไม่มีปัญหาแม้แต่น้อย!”

เยี่ยนจ้าวเกอพยักหน้าเล็กน้อย ไพล่สองมือไว้ด้านหลัง ผละไปอย่างไม่ทุกข์ไม่ร้อน

ทว่าเดินได้สองก้าว จู่ๆ เขาก็หยุด ก่อนจะถามขึ้นว่า “จริงสิ ข้าจำได้ว่าคนของสำนักเขามังกรเขียวเคยเชิญข้าไปเป็นแขกที่สำนักพวกท่านใช่หรือไม่”

พวกหลัวจิ่งฮ่าวที่เพิ่งจะถอนใจพลันอยากร้องไห้ แต่ไร้น้ำตาเสียอย่างนั้น