เยี่ยนจ้าวเกอมองคนในสำนักเขามังกรเขียว กล่าวเรียบๆ “ข้าเดินทางอยู่หลายวัน จึงเหนื่อยไปบ้าง ไม่ได้ไปตามคำเชิญ ทุกท่านคงไม่ได้มาหาเพราะเรื่องนี้กระมัง?”
หลัวจิ่งฮ่าวสูดลมหายใจลึก “มิใช่แน่นอน ถ้าหากท่านมาเขามังกร ย่อมเป็นเกียรติของทั่วทั้งสำนักเขามังกรเขียว ทว่าย่อมต้องดูความสมัครใจของท่านด้วย”
“ที่พวกข้ามาที่นี่ ก็เพราะมีศัตรูมาบุกรุก กลัวว่าจะรบกวนการพักผ่อนของท่าน ดังนั้นจึงรีบมาจัดการ คิดไม่ถึงว่ายังรบกวนท่าน ข้าขอแสดงความเสียใจมา ณ ที่นี้ด้วย”
จอมยุทธ์สำนักเขามังกรเขียวคนอื่นรีบพยักหน้าเหมือนลูกเจี๊ยบจิกอาหาร “เป็นเช่นนั้น”
ชายหนุ่มกล่าวอย่างไม่ใคร่สนใจ “เช่นนั้นก็ไม่เป็นไร”
พูดจบก็ผละไปทันที
จอมยุทธ์สำนักเขามังกรเขียวระบายลมหายใจ หลัวจิ่งฮ่าวนำจอมยุทธ์เขามังกรเขียวเข่นฆ่าและจับกุมจอมยุทธ์สำนักเมฆาโลหิตและจอมยุทธ์ครึ่งปีศาจที่เหลือ
พวกหลัวจิ่งฮ่าวที่จัดการเรื่องตรงนี้เสร็จแล้ว ได้รับรายงานจากคนในสำนัก รีบไปยังอีกที่หนึ่ง
เมื่อไปถึงแล้ว ก็เห็นเยี่ยนจ้าวเกอยืนอยู่กลางอากาศอย่างสบายอารมณ์ ส่วนพวกเฟิงอวิ๋นเซิงอยู่ด้านหลังเขา
นอกจากนี้แล้ว เจ้าสำนักกระเรียนหิมะกระเรียนหยก ซูอวิ๋นก็อยู่ที่นี่ด้วย
จอมยุทธ์อัสนีคำรนบาดเจ็บล้มตายไปมากมาย มีเพียงแต่เจ้าสำนักอัสนีคำรนเท่านั้นที่ถูกจับเป็น ไม่ได้มีจุดจบเหมือนหลู่หมิง เจ้าสำนักเพลิงโหม และเซ่าเฟิงถิง
หลัวจิ่งฮ่าวเข้ามาใกล้ ได้ยินเยี่ยนจ้าวเกอพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ถึงแม้จะเหนือความคาดหมาย แต่ท่านมอบของขวัญให้ข้า ทำให้ข้าอารมณ์ดีไม่เลว จะไว้ชีวิตท่านสักครั้งก็แล้วกัน”
เจ้าสำนักอัสนีคำรนฝืนผุดรอยยิ้มที่ดูเศร้ายิ่งกว่าร้องไห้ออกมาบนใบหน้า “ขอแค่ท่านพอใจก็ประเสริฐแล้ว”
คนในสำนักเขามังกรเขียวเห็นดังนั้น ในใจรู้สึกตึงเครียดขึ้นมา
ไม่ใช่เพราะเจ้าสำนักอัสนีคำรนได้รับการไว้ชีวิตจากเยี่ยนจ้าวเกอ
พลังอันแข็งแกร่งและการแสดงฝีมือก่อนหน้านี้ของเยี่ยนจ้าวเกอ ได้อธิบายจนเพียงพอแล้ว ว่าตนไม่ได้สนใจจะให้ขุมกำลังใหญ่ควบคุมสมดุลกันเอง
ที่คนในสำนักเขามังกรเขียวเป็นกังวลก็คือ คนที่ทำอะไรตามอารมณ์ย่อมเอาใจยากมากกว่าคนที่ทำอะไรโดยดูผลดีผลเสีย
นี่ทำให้ในใจของพวกเขาเกิดความวิตก ด้วยไม่รู้ว่าจะสะกิดให้เยี่ยนจ้าวเกอโมโหเอาตอนไหน
เยี่ยนจ้าวเกอมองเฟิงอวิ๋นเซิงกับอิงหลงถู ก่อนจะถามด้วยรอยยิ้มว่า “รู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง”
อิงหลงถูคล้ายกับคิดถึงการต่อสู้เมื่อครู่ เมื่อได้ยินคำถามของเยี่ยนจ้าวเกอ จึงได้สติกลับมา “พวกเขา…วิธีต่อสู้ของจอมยุทธ์เลือดปีศาจเหล่านั้นยังไม่สมบูรณ์นัก”
ถึงแม้ยังมีเรื่องบางเรื่องในชีวิตประจำวันที่อิงหลงถูยังเดียงสาอยู่บ้าง แต่จิตใจของหนุ่มน้อยค่อยๆ เปิดออก เริ่มแสดงให้เห็นถึงไหวพริบของตัวเองในด้านการฝึกฝนวรยุทธ์แล้ว
ตอนนี้ต่อให้เป็นซูอวิ๋นที่ไม่รู้จักเขา เมื่อได้ยินเขาพูดถึงเรื่องวรยุทธ์ ก็ยังมองออกถึงความไม่ธรรมดาของเด็กน้อย ไม่มองเขาเป็นเด็กโง่เขลา
เยี่ยนจ้าวเกอได้ยินดังนั้นก็พยักหน้าเล็กน้อย “ถูกต้อง ถึงแม้ว่าวิธีการฝึกฝนจะพอมีเค้าโครงคร่าวๆ แล้ว แต่ยังอยู่ในขั้นคลำทาง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงวิธีต่อสู้”
“ถึงแม้จะเป็นเพราะว่าสภาพแวดล้อมภายนอกและวิธีการฝึกฝน จอมยุทธ์เลือดปีศาจจึงให้ความสำคัญกับการต่อสู้จริงมาก แต่พวกเขายังเดินอยู่บนเส้นทางอันยาวไกล”
เขาพูดจบก็หมุนตัวไปมองเฟิงอวิ๋นเซิง
กลับเห็นเฟิงอวิ๋นเซิงในตอนนี้ยืนนิ่งอยู่กับที่ เหมือนกับเหม่อลอยอยู่ เมื่อได้ยินคำถามกลับไม่มีปฏิกิริยา คล้ายกับดำดิ่งยิ่งกว่าอิงหลงถู
ชายหนุ่มเห็นดังนั้นกลับไม่รีบร้อน บนใบหน้าปรากฏความยินดีหลายส่วน
อาหู่ สวีเฟย และซูอวิ๋นที่อยู่ด้านข้างเห็นดังนั้นก็ยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย
แม้ว่าคนในสำนักเขามังกรเขียวและคนในสำนักอัสนีคำรนจะประหลาดใจ แต่ว่าในตอนนี้ไม่กล้าสอดปาก ได้แต่รออยู่ด้านข้างอย่างสงบ
เนิ่นนานให้หลัง เฟิงอวิ๋นเซิงพลันส่งเสียงร้องเจื้อยแจ้ว จุดลมปราณทั่วร่างสั่นสะเทือนพร้อมกัน ปล่อยปราณจิตราออกมานอกร่างกาย
กระแสปราณหลายสายมีชีวิตชีวา เหมือนกับก้อนหินที่เต็มไปด้วยพลังชีวิต หลังถูกใส่ชีวิตเข้าไป
เหนือศีรษะของนางพลันมีลำแสงวิญญาณสายหนึ่งพุ่งทะลุท้องฟ้าอย่างรางเลือน!
สำเร็จเป็นปรมาจารย์ขั้นเคียงนภาแล้ว
ลูกตาที่ไม่ขยับเหมือนรูปสลักไม้เมื่อก่อนหน้านี้ของเฟิงอวิ๋นเซิงยามนี้หมุนติ้ว มีชีวิตชีวาอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
นางลืมสองตาขึ้น นัยต์ตาวาววับ เต็มไปด้วยความกระปรี้กระเปร่า
เยี่ยนจ้าวเกอเห็นแล้วก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ศิษย์น้องเฟิง ยินดีด้วยที่สำเร็จขั้นเคียงนภา”
พวกอาหู่ต่างแสดงความยินดีกับเฟิงอวิ๋นเซิง แม้จะเป็นหลงเอ๋อร์ก็มองออกถึงการเปลี่ยนแปลงของนาง แสดงความยินดีครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยรอยยิ้มซื่อ
ซูอวิ๋นมองเฟิงอวิ๋นเซิง ถอนใจชมเชย ‘คนประเภทเดียวกันย่อมมาอยู่ด้วยกัน ศิษย์ในสำนักของนายน้อยเป็นบุคคลร้ายกาจเหนือธรรมดาเช่นกัน!’
เฟิงอวิ๋นเซิงรู้สึกสดชื่นยิ่ง นางมองเยี่ยนจ้าวเกอพลางกล่าวด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย “ถึงแม้ว่าจะไม่ต้องรีดเค้นศักยภาพของตัวเองในการต่อสู้เสี่ยงชีวิตเหมือนที่คาดไว้ แต่การประมือกับจอมยุทธ์ที่ไม่เคยเจอมาก่อนเช่นนี้ ก็ค่อนข้างมีประโยชน์สำหรับข้าอยู่”
“เหมือนสัตว์ปีศาจแต่ไม่ใช่สัตว์ปีศาจ กระนั้นกลับเป็นจอมยุทธ์ที่แตกต่างจากเราโดยสิ้นเชิง”
ชายหนุ่มพยักหน้าเล็กน้อย เฟิงอวิ๋นเซิงมีพรสวรรค์ด้านวรยุทธ์น่าทึ่งนัก หลายครั้งไม่ได้แสดงให้เห็นในการฝึกฝนทั่วไป แต่สามารถสัมผัสถึงสิ่งที่คนส่วนใหญ่สัมผัสไม่ถึงได้ขณะที่ต่อสู้ในสงครามจริง และในการประมือกับคนอื่น
การเรียนรู้จากสงครามจริงเหล่านี้ มีบางครั้งที่ตอบแทนการฝึกฝนในวันปกติของเฟิงอวิ๋นเซิง ช่วยให้นางปีนป่ายไปยังระดับพลังฝึกปรือที่สูงกว่าเดิมได้
ถึงแม้จะฟังเนื้อหาการสนทนาที่พวกเยี่ยนจ้าวเกอใช้ภาษาของโลกแปดพิภพไม่ออก กระนั้นพวกเขาก็ยังมองออกว่า เฟิงอวิ๋นเซิงคล้ายมีพลังฝึกปรือเพิ่มขึ้น จึงรีบร้อนเข้าไปแสดงความยินดีอย่างระมัดระวัง
เยี่ยนจ้าวเกอมองหลัวจิ่งฮ่าว จากนั้นก็มองเจ้าสำนักอัสนีคำรน แล้วพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะหมุนตัวกลับภูเขาหิมะสะพานหยกพร้อมกับพวกซูอวิ๋น
คนจากสำนักเขามังกรเขียวรีบตามไป
เจ้าสำนักอัสนีคำรนมองทิศทางของแดนตะวันตก เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ค่อยกัดฟันพาคนในสำนักร่วมทางไป
พวกหลัวจิ่งฮ่าวเห็นดังนั้นก็ส่งสายตาไม่เป็นมิตรมา
คนในสำนักอัสนีคำรนในเมื่อตัดสินใจแล้ว ก็ไม่ลังเลอีก ไม่สนใจสายตามุ่งร้ายของสำนักเขามังกรเขียว
พวกหลัวจิ่งฮ่าวเห็นแล้วก็แอบขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน แต่ไม่เข้าใจความคิดของเยี่ยนจ้าวเกอ จึงไม่กล้าลงมือวู่วาม
พวกเขาในตอนนี้ไม่กล้าเอ่ยปากเชิญเยี่ยนจ้าวเกอไปเขามังกร ชายหนุ่มใคร่ไปที่ไหน พวกเขาก็ตามไปที่นั่น
เมื่อมาถึงสำนักกระเรียนหิมะแล้ว เยี่ยนจ้าวเกอกับซูอวิ๋นก็นั่งลงบนที่นั่งประธานด้วยกัน
เยี่ยนจ้าวเกอเอ่ยขึ้นอย่างราบเรียบ ขณะที่มองหลัวจิ่งฮ่าวและเจ้าสำนักอัสนีคำรนที่อยู่บนที่นั่งแขกว่า “มีของสิ่งหนึ่ง ทุกท่านช่วยข้าจัดเตรียมได้หรือไม่”
พวกหลัวจิ่งฮ่าวตั้งสติ ขานรับพร้อมกัน “เชิญท่านบอกได้เลย”
ชายหนุ่มพลันเอ่ย “แกนศิลาวิญญาณชั้นยอด”
หลัวจิ่งฮ่าวหยั่งเชิง “ไม่ทราบว่าต้องการเท่าไรหรือ”
“อย่างน้อยสองพันจิน ยิ่งมากยิ่งดี” เยี่ยนจ้าวเกอยิ้ม
หลัวจิ่งฮ่าวกับเจ้าสำนักอัสนีคำรนต่างสูดหายใจเย็นเยียบ มองหน้ากันพร้อมกับยิ้มอย่างหนักใจ “อาศัยแค่สำนักของพวกข้าสองสำนัก การขุดแหล่งแร่ในระยะเวลาอันสั้นเกรงว่าจะไม่พอ”
“กระจายข่าวออกไปก็พอแล้ว” เยี่ยนจ้าวเกอพูดอย่างทุกข์ร้อน “แจ้งใต้หล้า บอกว่าข้าต้องการ”
“ท่านน้าซู ขอให้ลูกศิษย์ในสำนักท่านช่วยไปรวบรวมแกนศิลาวิญญาณชั้นยอดมาให้ข้าสักครั้ง”
ซูอวิ๋นได้ยินดังนั้นก็ยิ้มขึ้น “เจ้าค่ะ นายน้อย”
หลัวจิ่งฮ่าวเอ่ยเสียงเบา “โลกลอยน้ำปัจจุบันยังมีปีศาจราชสีห์และปีศาจอัสนีเคลื่อนไหวอยู่ อีกทั้งยังมีสัตว์ปีศาจที่แข็งแกร่งอีกหลายตัว แต่ละตัวอาณาเขตส่วนหนึ่ง โดยเฉพาะในสำนักเมฆาโลหิต ยังมีพญาปักษาชิงเหนี่ยว…”
“อ้อ พูดถึงสำนักเมฆาโลหิต ข้าเลยนึกขึ้นมาได้” เยี่ยนจ้าวเกอตัดบท “บอกสำนักเมฆาโลหิตว่า ให้พาคนผู้นี้มาพบข้า”
ขณะพูด เยี่ยนจ้าวเกอก็ใช้นิ้ววาดกลางอากาศ ร่องรอยของเงาแสงปรากฏร่างของสตรีใส่ชุดลูกศิษย์ของสำนักเมฆาโลหิต ที่มีใบหน้างดงามล้ำเลิศผู้หนึ่งกลางอากาศ
พวกหลัวจิ่งฮ่าวเกือบสำลักน้ำลาย
กดดันใต้หล้า ช่วงชิงทุกสิ่งทุกอย่าง
พญาปักษาชิงเหนี่ยวที่แข็งแกร่งไม่อยู่ในสายตา สิ่งที่คิดถึงคือการแย่งชิงโฉมสะคราญ
วิธีของจอมปีศาจนี่…