ตอนที่ 681 รู้ตั้งนานแล้ว / ตอนที่ 682 กุลสตรีแรกแย้ม

ลิขิตฟ้าชะตารัก

ตอนที่ 681 รู้ตั้งนานแล้ว

 

 

ฉู่ป๋ายเห็นสีหน้าไม่เชื่อถือของนาง ก็อธิบายขึ้นว่า “ที่จริงข้านึกสงสัยมาตั้งแต่ตอนที่เจ้ากลับมาจากนอกเมืองแล้ว แม้ว่าจะบอกว่าตกหน้าผา แต่ก็ไม่มีทางทำให้กลายเป็นเหมือนคนละคนเช่นนี้ได้แน่ ดังนั้นข้าจึงตรวจสอบดู แต่ข้าเพียงเดาเท่านั้นว่าเข้าจะเป็นใครกันแน่ สถานะที่แท้จริงของเจ้านั้น ข้าเองก็เพิ่งรู้”

 

 

“ที่แท้เจ้าก็…” อวี้อาเหราถลึงตาโต ไม่คิดว่าเขาจะเป็นผู้ที่มีความคิดรอบคอบถึงเพียงนี้ ทั้งยังลึกซึ้งมากอีกด้วย

 

 

เมื่อคิดตามคำพูดของเขาแล้ว จึงค่อยได้บทสรุป

 

 

ความหมายของฉู่ป๋ายก็คือเขารู้ตั้งนานแล้วว่านางนั้นไม่ใช่คุณหนูรองหลิงตัวจริง และเป็นคนอื่น แต่เขากลับแสแสร้งว่าไม่ทราบ เขาแกล้งโง่มาจนถึงตอนนี้ แม้แต่ตัวอวี้อาเหราเองก็ยังโดนเขาหลอกได้ เพราะฉะนั้นเขาเลยไม่แปลกใจกับการกระทำต่างๆ ของนางเลย

 

 

ที่แท้แล้ว เขาก็รู้แจ้งมาเสียนาน!

 

 

“ถ้าอย่างนั้น เจ้าคิดจะทำอะไร” ปฏิกิริยาแรกของอวี้อาเหราก็คือเขาจะรู้หรือไม่ว่าหนิงจื่อเย่บังคับให้นางต้องทำอะไร แต่ว่าก็ไม่ถูก หากบีบบังคับจริงคงเป็นอันตรายเสียนานแล้ว ไม่มีเหตุผลที่จะรอมาจนถึงตอนนี้ไม่ใช่หรือ? ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อครู่นี้ที่ประมุขของพระอารามจีซูรู้ว่ามีคนแอบฟังอยู่ข้างนอก ดังนั้นนางจึงทราบ มิเช่นนั้นเขาก็คงแกล้งโง่ต่อไปกระมัง

 

 

สมองของนางสับสนเล็กน้อย และอารมณ์ก็ยังปนเปกันไปหมด

 

 

ฉู่ป๋ายเป็นเมืองปริศนาในหมู่เมฆที่ซ้อนทับกันหลายต่อหลายชั้น แม้จะแก้ไปแล้ว เมื่อเปิดเข้าไปก็ยังพบเมฆหมอกหนาอีกชั้น ทำอย่างไรนางก็ไม่สามารถเปิดเผยใบหน้าที่แท้จริงของเขาได้เลย ในยามนี้ นางเองก็อดสงสัยขึ้นมาไม่ได้ว่าเขานั้นเป็นคนอย่างไรกันแน่?

 

 

ยามที่อวี้อาเหรากำลังคิดอยู่นั้น มุมปากของฉู่ป๋ายก็โค้งขึ้นมาในทันที น้ำเสียงไม่ยินดียินร้ายกล่าวขึ้นว่า “หากข้าต้องการจะเปิดโปงเข้าจริงๆ ข้าคงทำไปเสียนานแล้ว”

 

 

“แล้วเหตุใดเจ้าถึงไม่เปิดโปงข้าเล่า หรือเป็นเพราะ…” อวี้อาเหราพูด แล้วคิดขึ้นมานางก็รีบก้มหน้าลงมองที่ร่างของตัวเองทันที หรือเป็นเพราะนางดูตลกกันนะ?

 

 

ราวกับฉู่ป๋ายเข้าใจถึงความคิดของนาง ทันใดนั้นก็ยิ้มขึ้นมา “ข้าก็แค่ขี้เกียจจัดการเรื่องยุ่งยากเท่านั้น เจ้าคิดไปถึงไหนกัน?”

 

 

“ข้า…ข้าไม่ได้คิดไปเสียส่งเดชสักหน่อย” เมื่อถูกเขามองออกเช่นนี้ อวี้อาเหราก็ยิ่งแสดงท่าทีไม่ยอมแพ้ออกมาในทันที

 

 

“อ้อ? ข้าบอกหรือว่าเจ้าคิดไปส่งเดชน่ะ?” ฉู่ป๋ายเลิกคิ้วขึ้นสูง จ้องมองใบหน้าของนางอย่างยั่วเย้าด้วยความนึกสนุก

 

 

อวี้อาเหราว่าเสียงสะบัด “ไม่มีๆ ข้าไม่ได้คิดอะไรทั้งนั้นแหละน่า”

 

 

ในวินาทีที่นางรู้สึกแค้นเคืองอยู่นั้น ก็มาพร้อมกับความกระอักกระอ่วนใจ

 

 

“หืม?” ฉู่ป๋ายก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าวทันที จนแทบจะรวมร่างกันได้ กลิ่นกายของเขายิ่งอบอวลยิ่งขึ้น และนางก็ยิ่งตกอกตกใจเสียจนใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว มีชีวิตอยู่มาก็หลายปี ไม่เคยพบคนที่ทำให้ผู้อื่นรู้สึกกระอักกระอ่วนใจได้เท่านี้ ตอนนี้ไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็คงผิดไปเสียหมดแล้ว!

 

 

แต่นางยังไม่ได้พูดอะไรสักคำ เหตุใดดูเหมือนว่าจะไปยั่วยุเขาอีกแล้วกันเล่า

 

 

ยามที่อวี้อาเหราตกอยู่ในภวังค์แห่งความคิด ใบหน้าของฉู่ป๋ายก็เคลื่อนเข้ามาใกล้ จนระยะห่างระหว่างคนทั้งสองนั้นดูเหมือนจะใกล้กันเข้าไปอีก มุมปากของเขาโค้งขึ้น จนนางรู้สึกบาดตายิ่งนัก นี่เขากำลังยิ้มเยาะนางที่ทั้งอ่อนแอแล้วยังโง่เขลาอีกงั้นหรือ?

 

 

เมื่อคิดเช่นนี้ อวี้อาเหราก็ผลักเขาด้วยความโกรธเคือง

 

 

“เจ้าจะคิดอย่างไรก็ได้ แล้วแต่เจ้าเถิด ไปกราบทูลฮ่องเต้ในเรื่องของข้าเลยสิ!”

 

 

เป็นอย่างที่ว่า นางยอมที่จะตายมากกว่าที่จะถูกเย้ยหยันเช่นนี้

 

 

ก็แค่ตายอีกครั้งเท่านั้นมิใช่หรือ? นางไม่ใช่ว่าไม่เคยตายมาก่อนเสียหน่อย!

 

 

ในตอนนี้อวี้อาเหราก็คิดเช่นนี้ ทว่าเพียงชั่วพริบตาก็รู้สึกเสียใจเสียแล้ว อย่าลืมสิว่านางนั้นยังมีข้อดีอยู่หนึ่งข้อ นั่นคือสามารถเดาทิศทางลมออกและปรับตัวไปตามสถานการณ์ ใครเล่าจะไม่อยากมีชีวิตรอด? นางจะต้องเสียดายชีวิตเอาไว้ก่อน หากตายไปในครั้งนี้ ก็ยังไม่รู้ว่าต่อไปจะมีชีวิตได้อีกหรือไม่ นางนั้นเป็นคนไม่เชื่อในเรื่องที่เหนือการควบคุมของตัวเองเอาเสียเลย

 

 

 

 

ตอนที่ 682 กุลสตรีแรกแย้ม

 

 

ฉู่ป๋ายไม่ได้โกรธ เพียงแต่หุบรอยยิ้มมุมปากเท่านั้น

 

 

ไม่ควรที่จะจ้องมองคนอื่นเช่นนั้นมิใช่หรือ? อวี้อาเหรานึกรำคาญใจ

 

 

ฉู่ป๋ายใช้สายตากับนาง “หากไม่อยากให้ข้าพูดก็เอาตัวเจ้ามาแลกเสียไม่ดีหรือ?”

 

 

ตอนนั้น อวี้อาเหราไม่อาจหัวเราะหรือแย้มยิ้มอะไรได้ นางร้อนรนเสียจนเหมือนหนูติดจั่น

 

 

ภายใต้สถานการณ์น่าตายเช่นนี้ ใครจะหัวเราะออกกันเล่า?

 

 

ถ้าทำอย่างนั้นก็เท่ากับเป็นคนโง่เท่านั้นเอง!

 

 

สายตาของฉู่ป๋ายมองสำรวจร่างของนางหนึ่งครั้ง

 

 

สายตาของเขาตรงไปตรงมา ทั้งยังชัดเจนแจ่มแจ้ง ไม่มีแววลังเลหรือสับสนเลยแม้แต่น้อย ราวกับกำลังจ้องเนื้อหมูเอาไว้หนึ่งชิ้น และกำลังคิดว่าจะซื้อกลับไปดีหรือไม่

 

 

โอ๊ย! อวี้อาเหรารีบสลัดความคิดของตัวเองให้ออกไปจากหัว นางคิดเอาตัวเองไปเป็นเนื้อหมูได้อย่างไร และหากคิดไปก็คงเป็นหมูที่ผอมทีเดียว หุ่นร่างของนางงดงามเสมอมา แม้ภายในสถานการณ์เช่นนี้ นางยังกล้าที่จะคิดอะไรเรื่อยเปื่อย ทว่าเมื่อเห็นสายตาของอีกฝ่าย นางก็เริ่มที่จะยิ้มไม่ออกแล้ว

 

 

เขาจะให้นางสละร่างกายหรือ?

 

 

แต่นางยังเป็นกุลสตรีแรกแย้มนะ! แต่ก็ได้ยินมาว่าฉู่ป๋ายเองก็ยังมีพรหมจารีอยู่ เขาไม่มีหญิงคนใด ยามที่ไปยังจวนเซิ่นอ๋อง นางก็ไม่เคยพบเงาของสตรีเลยแม้แต่น้อย หากเป็นเขา ไม่รู้สึกขาดทุนเลยแม้แต่น้อย ใบหน้าเช่นนี้ ชายหนุ่มเช่นนี้ จะรู้สึกเสียเปรียบได้อย่างไร?

 

 

ทว่า แบบนั้นก็เท่ากับขายตัวเองมิใช่หรือ!

 

 

อวี้อาเหราไม่มีทางพาตัวเองเข้าไปสู่สถานการณ์ที่เลือกไม่ได้เช่นนั้นแน่

 

 

ทว่าเมื่อคิดแล้ว เสียตัวก็ยังดีกว่าตายอยู่ดี และนางก็ไม่ได้เสียเปรียบอะไร ไม่รู้ว่าคนบนแผ่นดินนี้อยากจะมอบกายให้เขาไม่รู้กี่คนต่อกี่คน เมื่อคิดเช่นนั้น นางก็ได้กำไรมิใช่หรือ! ในใจของนางก็รู้สึกดีขึ้นมากทีเดียว

 

 

ดังนั้น ด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ นางก็เริ่มถอดเสื้อผ้าของตัวเองออก

 

 

เมื่อถอดเสื้อนอกออกแล้ว ฉู่ป๋ายก็หัวเราะออกมา ใบหน้าของเขาแดงเล็กน้อย ราวกับกำลังสำลัก

 

 

“เจ้าทำอะไรของเจ้าน่ะ? ข้าไม่ได้ต้องการร่างกายของเจ้าเสียหน่อย”

 

 

“…” อวี้อาเหราที่ได้ยินดังนั้น ก็ทั้งโล่งอกและเข้าใจขึ้นมาว่าเขากำลังแกล้งนางอีกแล้ว นางโกรธเสียจนแทบจะพ่นไฟ นึกอยากจะฆ่าเขาให้ตายกับมือ สิ่งที่นางเกลียดที่สุดก็คือการถูกคนอื่นล้อเล่นเป็นเรื่องตลก เหมือนกับตัวตลกไม่มีผิด นางกำหมัดทั้งสองแน่น แล้วจ้องหน้าอีกฝ่ายอย่างโกรธเคือง

 

 

นางลืมไปเลยว่าตัวเองได้ถอดเสื้อผ้าออกไปเสียครึ่งหนึ่งแล้ว

 

 

ตอนนี้ในใจของนางมีแต่ความโกรธเคืองเท่านั้น เหตุใดในโลกนี้ถึงมีผู้ชายเช่นนี้ได้?

 

 

แกล้งนางได้ สนุกมากหรือไม่? หากเป็นในยามปกติ โดนแกล้งเล็กๆ น้อยๆ นางก็คงไม่เอาเรื่องอะไร ทว่าตอนนี้เป็นช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวาน เขาไม่รู้หรืออย่างไรว่านางกำลังเป็นทุกข์เป็นร้อนถึงเพียงนี้ เขายังจะหาเรื่องสนุกได้อีกหรือ!

 

 

ราวกับนางใกล้จะตาย แล้วมีคนมากอดนางและร้องไห้ไม่อยากให้นางตาย ทั้งๆ ที่นางยังมีลมหายใจพอที่จะส่งโรงพยาบาลแล้วรอดตายขึ้นมาจริงๆ จะไม่ให้โกรธได้หรือ?

 

 

ราวกับฉู่ป๋ายสังเกตสีหน้าโกรธเคืองของนางได้ จึงค่อยๆ เดินเข้ามา แล้วรอยยิ้มในหน้าก็ค่อยๆ หายไป

 

 

ค่อยๆ ยกมือขึ้น ยื่นออกไปหานาง อวี้อาเหรากลับหลบอย่างโกรธเคือง

 

 

ฉู่ป๋ายคว้าข้อมือเล็กบางของนางเอาไว้ “อย่าขยับ”

 

 

ร่างกายนี้ของอวี้อาเหรานั้นยังอายุน้อย หากเป็นในยุคปัจจุบัน อายุสิบห้าก็ยังไม่ถือว่าโตเต็มที่ แต่หญิงในยุคโบราณกลับเจริญเติบโตได้เร็วกว่ามาก ส่วนที่ควรจะมีก็มีแล้ว ช่างยั่วยุยิ่ง ยามที่ฉู่ป๋ายยืนขึ้นนั้น เขาสูงกว่านางหนึ่งช่วงศีรษะ เพราะฉะนั้นจึงมองนางมาจากด้านบน

 

 

อีกทั้งเสื้อผ้าของนางก็ยังหลุดลุ่ยออก เผยให้อีกฝ่ายมองเห็นไปตั้งหลายที่

 

 

ใบหน้าอดไม่ได้ที่จะแดงก่ำ อย่ามองนางเช่นนั้นได้หรือไม่?

 

 

ฉู่ป๋ายปล่อยข้อมือที่ตัวเองกุมเอาไว้ จากนั้นก็ค่อยๆ เคลื่อนกายเข้าไปหานาง