ตอนที่ 683 ข้าไม่ได้เกร็ง / ตอนที่ 684 อยู่บนขื่อ

ลิขิตฟ้าชะตารัก

ตอนที่ 683 ข้าไม่ได้เกร็ง

 

 

มือของเขาเรียวยาว อีกทั้งยังส่องประกายแวววาว งดงามเป็นอย่างมาก ราวกับสลักขึ้นมาจากหยก งดงามเสียยิ่งกว่าที่จินตนาการเอาไว้เสียอีก

 

 

หลังจากมองอยู่นาน ในที่สุดอวี้อาเหราก็ได้สติ

 

 

ฉู่ป๋ายช่วยนางสวมเสื้อผ้าจนเรียบร้อย บางครั้งปลายนิ้วของเขาก็สัมผัสกับผิวกายของนาง ชั่ววินาทีนั้นเนื้อตัวของนางก็แดงก่ำเพราะถูกกระตุ้น เนื้อกายขาวเจือแดงข้างใต้ และอวี้อาเหราที่งดงามมาแต่กำเนิด ตอนนี้จึงงดงามมากขึ้นไปอีก ราวกับดอกไม้แรกแย้ม

 

 

อวี้อาเหราพยายามที่จะกลบเกลื่อนความหวั่นไหวที่เกิดขึ้นในใจ แต่ทำอย่างไรก็ไม่อาจกลบเกลื่อนได้

 

 

ฉู่ป๋ายหัวเราะ “เจ้าจะเกร็งไปทำไมกัน”

 

 

แม้อวี้อาเหราจะพยายามอย่างเต็มที่แล้ว แต่ก็ไม่อาจปิดบังฉู่ป๋ายได้อยู่ดี

 

 

ทว่าอวี้อาเหราก็ยังมองเขาอย่างหัวรั้น “ข้าไม่ได้เกร็งเสียหน่อย”

 

 

ทว่าเมื่อเห็นใบหน้าของฉู่ป๋ายแล่ว ใบหน้าของนางก็แดงไปถึงสามส่วน ร่างกายแข็งเกร็ง ในใจคิดขึ้นมาว่าจะต้องล้มเขาเสียให้ได้ แต่โชคดีที่ก็ถือว่าอวี้อาเหราควบคุมได้ไม่เลว มิเช่นนั้นตอนนี้นางคงไปพบพญามัจจุราชไปเสียแล้วกระมัง

 

 

อีกฝ่ายมิใช่ชายหนุ่มธรรมดา เขาเป็นถึงเซิ่นซื่อจื่อ หากถูกนางจับทุ่มเสียจริงๆ เขาก็ต้องโกรธขึ้นมาแน่ ไม่แน่ว่านางอาจจะโดนห้าม้าแยกร่างก็เป็นได้ ดังนั้นเมื่อคิดถึงผลลัพธ์แล้ว ไหนเลยนางจะกล้า ไม่กล้ากิน ไม่กล้ามอง เพราะกลัวว่าตัวเองจะอดทนไม่ไหวน่ะสิ

 

 

ก็เขาอยากหน้าตาดีเสียจนอยากจะให้นางทำผิดไปทำไมกันเล่า!

 

 

หากเขาไม่ใช่เซิ่นซื่อจื่อ หากเขาไม่ได้แข็งแกร่งเสียจนยากจะรังแกแล้ว คงจะมีหลายคนที่พุ่งเข้ามาหาเขาแล้ว สมกับคำคนว่า ‘งดงามจนอยากจะกลืนกิน’

 

 

ไม่ผิด นางกำลังพูดถึงชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้านี้

 

 

หลังจากสวมใส่เสื้อผ้าจนเรียบร้อยแล้ว อวี้อาเหราก็แอบหยิกเอวของตัวเอง พยายามที่จะใช้ความเจ็บปวดเพื่อทำให้ตัวเองหลุดพ้นจากอาการลุ่มหลงความงดงามตรงหน้า

 

 

มือของฉู่ป๋ายยังคงไม่เคลื่อนย้ายออกจากร่างของนาง และยังลากไปตามเนื้อตัวขาวหยกของนางจนทำให้เกิดอารมณ์หวั่นไหว

 

 

อวี้อาเหราตกใจเสียจนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แต่เพื่อไม่ให้เสียหน้า จำต้องอดกลั้นเอาไว้

 

 

อย่างไรก็ไม่ยอมให้เขาเห็นว่านางตื่นตกใจ เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นนางจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน? เขาคงจะหัวเราะเยาะนางเสียจนสิ้นดีเลยกระมัง!

 

 

ฉู่ป๋ายมองนาง “เจ้าคิดถึงเรื่องส่งเดชเสียจนพอใจหรือยัง”

 

 

“พอแล้ว” อวี้อาเหราได้ยินเขากล่าวเช่นนี้ ก็ตกใจจนเผลอพยักหน้า วินาทีนั้นนางจึงตอบรับ ทว่าต่อมากลับเปลี่ยนคำพูดเสียใหม่ “ข้าคิดอะไรส่งเดชกัน เจ้าอย่าพูดมั่วๆ นะ!”

 

 

“ใช่แล้ว เป็นข้าที่พูดส่งเดช” แม้ว่าฉู่ป๋ายจะพูดเช่นนั้น แต่เขาก็ยังหัวเราะออกมาได้ เขาหัวเราะเสียจนแผ่นอกสั่นไหว และเป็นเพราะร่างนั้นแทบจะอยู่ติดกันกับเขา แน่นอนว่าเขาจะต้องสัมผัสได้แน่ นางอดไม่ได้ที่จะกัดริมฝีปาก

 

 

น่าหัวเราะถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?

 

 

อวี้อาเหรามองเขาอย่างเคร่งขรึม “เจ้าคิดอะไรอยู่กันแน่”

 

 

“ก็ไม่ได้คิดอะไร ตอนนี้ข้าอารมณ์ดี แล้วก็ไม่อยากจะยุ่งเรื่องของคนอื่นให้มากนัก เจ้าจะเป็นคุณหนูรองหลิงตัวจริงหรือไม่ ข้าก็ไม่เห็นจะสนใจ แต่ว่าหากวันใดเจ้ายั่วยุให้ข้าหงุดหงิดเข้า ข้าก็จะ…”

 

 

อวี้อาเหราเข้าใจขึ้นมาในทันที ที่แท้แล้วเขาก็บีบบังคับนางเหมือนกับหนิงจื่อเย่มิใช่หรืออย่างไร?

 

 

จะให้เขาปิดบังความลับ ก็จำต้องเชื่อฟังเขาอย่างไม่มีเงื่อนไขเท่านั้น

 

 

อวี้อาเหราปวดหัวขึ้นมา เหตุใดถึงได้วุ่นวายถึงเพียงนี้!

 

 

ยอมตายเสียตั้งแต่ชาติที่แล้ว ก็คงไม่ต้องมารับโทษโดนบีบบังคับเช่นนี้หรอกน่า!

 

 

แต่อวี้อาเหราก็ยังไม่ถึงขนาดจะต้องรนหาที่ตายหรือฆ่าตัวตายเสียเอง ถ้าเป็นเช่นนั้นมันคงจะเจ็บมากทีเดียว นางไม่ได้มีความกล้าถึงเพียงนั้น

 

 

นางจำต้องพยักหน้า “ข้าเข้าใจแล้ว”

 

 

“เจ้าเข้าใจก็ดีแล้ว” ฉู่ป๋ายยิ้มอ่อนโยน ทว่าภายใต้ความอ่อนโยนยังมีความเจ้าเล่ห์แฝงอยู่

 

 

แต่มีเพียงอวี้อาเหราคนเดียเท่านั้นที่มองออก

 

 

โชคดีแล้ว ที่เขาไม่ได้แจ้งเรื่องนาง

 

 

“ออกไปกันเถิด” ฉู่ป๋ายถอนสายตาจากร่างของนาง แล้วเดินออกไปข้างนอก

 

 

 

 

ตอนที่ 684 อยู่บนขื่อ

 

 

มองไปทางประตูใหญ่ที่ปิดสนิทไม่ขยับ แล้วจึงค่อยหันไปมองอวี้อาเหราอย่างแฝงความนัย นางก็เข้าใจขึ้นมาในทันที นางก้าวไปเปิดประตูของตำหนัก แล้วปล่อยให้ฉู่ป๋ายเดินออกมา

 

 

เช่นนั้นนางจึงค่อยเดินตามหลัง

 

 

พวกฉู่เกอที่รออยู่ด้านนอก เมื่อเห็นทั้งสองเดินออกมาแล้ว คนหนึ่งมีสีหน้าเย็นชาเป็นปกติ ส่วนอีกคนหนึ่งมีสีหน้าทนทุกข์ทรมาน ก็ชะงักไปในทันที “พี่เหราเอ๋อร์ ท่านพี่ พวกท่านคุยเรื่องอะไรกันข้างในนั้นหรือ”

 

 

“ไม่มีอะไร” ไม่ต้องรอให้อวี้อาเหราเอ่ยปาก ฉู่ป๋ายก็เอ่ยขึ้นมา “เรื่องที่เจ้าไม่ควรถามก็ไม่ต้องถาม”

 

 

“อ้อ” ฉู่เกอจำต้องปิดปาก ไหนเลยจะกล้าถามขึ้นมาอีก

 

 

ทั้งหมดจึงจำต้องนั่งรถม้าลงจากเขา ระหว่างทางนั้นอวี้อาเหราหันหลังให้ฉู่ป๋ายจนแทบจะเรียกว่าเปลี่ยนไปจนเหมือนหนึ่งร้อยแปดสิบองศาเลยทีเดียว ไม่เหมือนกับอวี้อาเหราคนก่อนเลยแม้แต่น้อย ทำให้พวกฉู่เกอถลึงตามอง จ้องพวกเขาทั้งสองไม่วางตา

 

 

ในใจของเจาเอ๋อร์ก็กระวนกระวายยิ่งนัก คุณหนูกินยาผิดไปอย่างนั้นหรือ?

 

 

คนอื่นๆ ก็คิดแบบเดียวกัน

 

 

ยากเหลือเกินกว่าที่อวี้อาเหราจะเอ่ยขึ้นมา นางจำต้องก้มหน้าลงปรนนิบัติฉู่ป๋าย ราวกับเขาจะตั้งใจ หากไม่ให้นางยกชามาให้ดื่มก็ให้ทำเรื่องยุ่งยากอื่นๆ จนหานสือและเจาเอ๋อร์ไม่ต้องทำอะไรแล้ว แม้ว่าจะเป็นเช่นนั้น สีหน้าของอวี้อาเหราก็ยังคงไม่แย่นัก นางใช้ชีวิตมานานถึงเพียงนี้ เคยต้องไปปรนนิบัติใครมาก่อนกัน แต่วันนี้จะต้องมาปรนนิบัติฉู่ป๋ายเหมือนกับสาวใช้ไม่มีผิด

 

 

หากหลิงอ๋องมาเห็นเข้า เขาคงจะต้องปวดใจเป็นล้นพ้นแน่

 

 

ทว่าอย่างที่คนพูดเอาไว้ คนที่อยู่บนขื่อ อย่างไรเสียก็ต้องมองต่ำลงมา

 

 

เมื่อมาถึงจวนหลิงอ๋องแล้ว อวี้อาเหราจึงค่อยโล่งใจขึ้นมาบ้าง

 

 

เมื่อนั่งลงบนเก้าอี้ ก็ปล่อยให้เจาเอ๋อร์และเมี่ยวอวี้ช่วยยกน้ำชาและอาหารมาให้ เมื่อครู่นี้นางตั้งใจจะปล่อยให้ฉู่ป๋ายรังแก จนแม้แต่น้ำชาสักถ้วยก็ยังไม่ได้ดื่ม นางเหนื่อยเสียจนเปลี้ยไปหมด เป็นคุณหนูร่ำรวยอยู่ตั้งนาน ไม่ได้ออกกำลังกายที่ไหนเลย แน่นอนว่าจะต้องเหนื่อยยากเป็นแน่

 

 

เหนื่อยเหลือเกิน!

 

 

เจาเอ๋อร์แอบเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้เมี่ยวอวี้ฟัง

 

 

ทั้งสองคุยกันไปพลางพร้อมทั้งหัวเราะไปพลาง อวี้อาเหราเห็นเช่นนั้น ก็ถามขึ้นอย่างแปลกใจ “พวกเจ้าทำอะไรกันน่ะ?”

 

 

“ไม่มีอะไรเจ้าค่ะคุณหนู” เมี่ยวอวี้รีบส่ายหน้าในทันที ไม่กล้าพูดอะไรอีก

 

 

เจาเอ่อร์ค่อนข้างกล้าหาญ จึงเอ่ยถามขึ้นมาด้วยความสงสัย “คุณหนู วันนี้ท่านไม่สบายหรือเจ้าคะ บ่าวเรียกหมอมาดูอาการให้ดีหรือไม่เจ้าคะ”

 

 

“ข้าสบายดี ไม่ได้เป็นอะไรเลย” อวี้อาเหรารีบปฏิเสธทันที

 

 

เจาเอ๋อร์หมดหนทาง “ก็เหตุใดวันนี้คุณหนูถึงเอาอกเอาใจเซิ่นซื่อจื่อถึงเพียงนั้นเล่าเจ้าคะ?”

 

 

“…” หากไม่เอาใจเขา คนที่สำบากก็จะกลายเป็นนางน่ะสิ!

 

 

อวี้อาเหราถอนลมหายใจหนักๆ นางยังจะพูดอะไรได้

 

 

คิดว่านางเต็มใจนักหรือ? นี่ก็เป็นเพราะนางถูกบังคับน่ะสิ!

 

 

ยังไม่ทันที่นางจะมีสติ หลิงอ๋องก็เข้ามา

 

 

ไม่ต้องเดาเลย จะต้องทราบแล้วแน่ๆ ว่านางแอบหนีไปที่พระอารามจีซู!

 

 

อวี้อาเหราจำต้องยิ้มแย้ม หลิงอ๋องปิดปากไม่พูดถึงเรื่องพระอารามจีซู แล้วเอ่ยขึ้นอย่างรีบร้อนว่า “ไทเฮาเพิ่งจะให้ฮ่องเต้มีราชโองการ กำหนดวันแต่งงานระหว่างเจ้าและองค์รัชทายาทเรียบร้อยแล้ว เหลือเวลาเพียงแค่หนึ่งเดือนเท่านั้น เมื่อครู่นี้ในวังส่งของหมั้นมามากมาย ส่งมาถึงหนึ่งวันเต็มจึงจะครบ เพียงคิดก็รู้ว่าไทเฮาคงจะรอไม่ไหวแล้ว”

 

 

“เร็วถึงเพียงนั้นเชียวหรือเพคะ?” อวี้อาเหราเคยคิดว่าไม่น่าจะเร็วถึงเพียงนี้ ทว่า…

 

 

หลิงอ๋องพยักหน้าหนักแน่น “ใช่แล้ว”

 

 

จิตใจของอวี้อาเหราวุ่นวาย ตอนนี้นางไม่มีวิธีใดเลย จะทำอย่างไรดี?

 

 

หลิงอ๋องถามขึ้นมาอีกว่า “เจ้าคิดเรื่องการถอนหมั้นได้หรือยัง? ตอนนี้ของหมั้นมาถึงแล้ว หากจะไปขอถอนหมั้น คงจะเป็นเรื่องยากเสียยิ่งกว่ายาก คนอื่นคงจะบอกว่าจวนหลิงอ๋องของเรากำเริบเสิบสาน ไทเฮาได้บีบบังคับพวกเราเสียจนไม่มีทางถอนหมั้นได้เลย!”