หลังจากจงซูอี้ฝังเข็มให้จงเนี่ยเรียบร้อยแล้ว เขาก็หันไปทางมู่หรงเฟิง
ระหว่างการต่อสู้ที่ตำหนักจื่อเฉิน แขนข้างหนึ่งของมู่หรงเฟิงถูกเยี่ยโยวเหยาฟันขาด ตอนนี้มือข้างนั้นถูกมัดด้วยผ้าขาวสะอาด
จงซูอี้ค่อยๆ เปิดผ้าขาวที่ห่อมือของมู่หรงเฟิง ดวงตาของซูจิ่นซีเบิกกว้าง นางมองเหตุการณ์เบื้องหน้าด้วยความประหลาดใจ
ตอนนี้ มือที่ถูกตัดขาดพร้อมทั้งเนื้อและกระดูกถูกเชื่อมต่อเข้าด้วยกันแล้ว ทั้งยังใช้วิธีศัลยกรรมเย็บแผลแบบตะเข็บเหมือนในปัจจุบัน
ขณะนั้น ซูจิ่นซียังสงสัยอยู่บ้างเล็กน้อยว่าตนเองมองผิดไปหรือไม่ นางขยี้ตาและมองอย่างละเอียดอีกครั้ง
ไม่ผิด ใช้วิธีการเย็บแบบตะเข็บจริงๆ
แผลเปื้อนเลือดมีรอยเย็บเล็กๆ คล้ายมด ไม่ผิดอย่างแน่นอน
วิชาแพทย์ในมิตินี้ พัฒนาไปถึงระดับสูงสุดแล้วหรือ?
แม้ยุคจีนโบราณจะมีเทคนิคการเย็บแผล ทว่านั่นเป็นเพียงการเย็บแผลเท่านั้น แน่นอนว่าไม่ได้อยู่ในระดับที่สามารถเชื่อมต่อแขนขาให้กลับมาใช้งานได้
นั่นเป็นทักษะทางการแพทย์ที่ได้รับการพัฒนาอย่างสมบูรณ์ หลังจากที่การแพทย์แผนตะวันตกเข้ามาในประเทศจีน
ถึงกระนั้น ยุคสมัยสามพันปีต่อมา ทักษะการเย็บแขนขาต่อกระดูกยังถือเป็นเรื่องยากสำหรับหมอทั่วไป โรงพยาบาลบางแห่งที่มีเทคโนโลยีล้าหลังก็ไม่สามารถทำได้
ทั้งขั้นตอนการป้องกันการอักเสบและการฆ่าเชื้อในกระบวนการผ่าตัดยังยุ่งยากและซับซ้อน หากมีข้อผิดพลาดเพียงเล็กน้อย การต่อแขนขาจะล้มเหลวทันที และมีโอกาสที่แขนขาเดิมจะติดเชื้ออีกด้วย กระทั่งชีวิตของผู้ป่วยก็จะตกอยู่ในอันตราย
อย่างไรก็ตาม ในยุคสมัยที่แตกต่างกันถึงสามพันปี ทั้งยังเป็นสมัยโบราณที่ยังไม่มีความเจริญทางด้านเทคโนโลยีอย่างเพียงพอ นึกไม่ถึงว่าผู้ที่อยู่เบื้องหน้านางจะสามารถทำได้จริงๆ
ซูจิ่นซีอดหันไปมองจงซูอี้ไม่ได้
ดวงตาทั้งคู่พลันปรากฏความเคร่งขรึมและลึกซึ้ง จนผู้อื่นไม่สามารถคาดเดาได้
ภายในใจของซูจิ่นซีมีบางอย่างไหลเวียนอยู่ตลอดเวลา และเริ่มเร่าร้อนขึ้น
บางช่วงเวลา ซูจิ่นซียังสงสัยว่าจงซูอี้เดินทางข้ามมิติมาเหมือนกับนางหรือไม่
ทว่าไม่นาน ซูจิ่นซีก็ไม่มีโอกาสได้คิดเรื่องเหล่านี้
เนื่องจากนางเห็นใบหูของจงซูอี้สั่นไม่หยุด ความรู้สึกไม่ดีบางอย่างผุดขึ้นในใจ สีหน้าของนางเปลี่ยนไปในทันที “แย่แล้ว ถูกพบเข้าจนได้ บัดซบ! ”
แทบจะเป็นเวลาเดียวกับที่ซูจิ่นซีร้องเตือน ร่างของนางพลันกระโดดขึ้น และรีบเหาะลงจากหลังคาทันที
แม้อู๋จุนและอวิ๋นจิ่นจะช้าไปก้าวหนึ่ง ทว่าพวกเขายังตามซูจิ่นซีทัน
อย่างไรก็ตาม มันสายเกินไปเสียแล้ว!
จงซูอี้ที่อยู่ในห้องเหลือบตาขึ้น ทันใดนั้นเขาก็โบกมือ เข็มเงินบนโต๊ะราวกับมีตา มันพุ่งขึ้นไปบนหลังคาด้วยพลังที่รุนแรง เพื่อขวางเส้นทางการหลบหนีของซูจิ่นซีและคนอื่นๆ
เข็มเงินเหล่านั้นถูกทำให้ลอยขึ้นจากในห้องด้วยแสงสีขาวที่เปล่งประกาย มันพุ่งขึ้นมาอย่างรวดเร็ว แม้จะบางเท่าขนวัว ทว่าเข็มแต่ละเล่มกลับสามารถปลิดชีวิตคนได้
สีหน้าของซูจิ่นซี อู๋จุน และอวิ๋นจิ่นพลันเปลี่ยนไป
ในมือของซูจิ่นซีไม่มีอาวุธ นางไม่สามารถยับยั้งเข็มเงินได้ ทำได้เพียงล่าถอย
อวิ๋นจิ่นดึงดาบจากข้างเอวออกมาเป็นอันดับแรก เพื่อปกป้องซูจิ่นซีที่อยู่ตรงหน้า
อู๋จุนดึงแส้ยาวสีแดงที่ไม่ได้ใช้งานนานแล้วออกมาต้านทาน
อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่อาจต้านทานเข็มเงินเหล่านั้นได้ ทันใดนั้นก็เกิดเสียงดัง ‘โครม’ แผ่นกระเบื้องใต้ฝ่าเท้าของพวกเขาม้วนตัวขึ้นมาทีละแผ่น และเข็มเงินเหล่านั้นก็โจมตีซูจิ่นซี อวิ๋นจิ่น และอู๋จุน
แม้พวกเขาทั้งสามจะรับมือกับเหตุการณ์เบื้องหน้าได้อย่างยากลำบาก ทว่าพวกเขาไม่กล้าประมาทแม้แต่น้อย จึงรวมพลังกันเพื่อต่อต้าน
หลังจากนั้นก็มีเสียง ‘โครม’ ดังขึ้นอีกครั้ง หลังคาถูกเจาะทะลุ จงซูอี้และมู่หรงเฟิงเหาะขึ้นมาจากช่องหลังคาและปรากฏกายอยู่เบื้องหน้าทุกคน
ไม่ต้องพูดสิ่งใดอีก อาศัยเพียงการเคลื่อนไหวสองกระบวนท่า ซูจิ่นซีก็เข้าใจได้อย่างชัดเจนว่า จงซูอี้ไม่เพียงมีวิชาแพทย์ที่ยอดเยี่ยม ทว่ายังมีวรยุทธ์ในขั้นสุดยอด
รวมถึงมู่หรงเฟิงอีกคน
แม้มือข้างหนึ่งของมู่หรงเฟิงจะพิการไปแล้ว ทว่าวรยุทธ์ของเขายังใช้การได้ เขาใช้เพียงมือข้างเดียว เห็นได้ชัดว่ามันไม่ส่งผลกระทบต่อผู้ที่เป็นยอดฝีมือแม้แต่น้อย
ท่ามกลางการเผชิญหน้ากันของทั้งสองฝ่าย แม้ฝ่ายซูจิ่นซีจะมีคนมากกว่าหนึ่งคน ทว่าเมื่อเทียบกับฝ่ายคู่ต่อสู้แล้ว พลังนั้นแตกต่างกันมาก
เห็นได้ชัดว่าซูจิ่นซี อู๋จุน และอวิ๋นจิ่น ทั้งสามคนรวมกันยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมู่หรงเฟิงกับจงซูอี้
พวกเขาทั้งสามต่อสู้อย่างรวดเร็ว ทั้งยังจัดการเข็มเงินและแผ่นกระเบื้องที่ลอยอยู่ในอากาศอย่างต่อเนื่อง ก่อนจะยืนถือกระบี่อย่างมั่นคงต่อหน้าจงซูอี้และมู่หรงเฟิง
แม้พวกเขาทั้งสามจะเข้าใจถึงความแตกต่างด้านวรยุทธ์ระหว่างฝ่ายตนเองและฝ่ายศัตรู ทว่าในด้านพละกำลังกลับไม่ด้อยกว่าฝ่ายตรงข้ามนัก
จงซูอี้กวาดสายตามองร่างของซูจิ่นซี อวิ๋นจิ่น และอู๋จุนทีละคน
“พวกหัวขโมยจากที่ใดกัน กล้าบุกเข้ามาในจวนสกุลจงของข้า! ”
ซูจิ่นซีและอวิ๋นจิ่นยังไม่ทันได้เอ่ยปากพูด อู๋จุนก็ตะโกนกลับไปว่า “หมอเฒ่าจง ไม่สำคัญว่าเจ้าจะรู้จักข้าหรือไม่ ทว่าข้ารู้จักเจ้าดี! ภรรยาของเจ้าตายไปแล้ว เจ้ามีภรรยาเอกหนึ่งคน และมีอนุอีกสี่คน อนุคนที่สองมีความสัมพันธ์คลุมเครือกับพ่อบ้านในจวนของเจ้า แม้อนุคนที่สามจะอ่อนโยนและจิตใจดี ทว่าเรื่องบนเตียงที่จำเป็นต้องเร่าร้อน อาศัยเพียงร่างกายของหมอเฒ่าอย่างเจ้า คงไม่สามารถทำให้นางพึงพอใจได้กระมัง? ยังมี… เมื่อเดือนก่อน อนุคนที่สี่ที่เจ้าเพิ่งรับเข้ามา เกิดถูกใจลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเจ้า แม้ตอนนี้ยังไม่มีเรื่องราวใดๆ เกิดขึ้น ทว่านางกลับเล่นหูเล่นตากับลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเจ้าไปไม่น้อย เกรงว่าไม่ช้านี้ นางจะต้องปีนขึ้นเตียงลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเจ้าเป็นแน่ หมอเฒ่าจง เจ้าเห็นว่าหมวกสีเขียวบนศีรษะเจ้าเริ่มส่องแสงบ้างหรือไม่”
ไม่รู้ว่าอู๋จุนเอาเรื่องเหล่านี้มาจากที่ใด ทั้งยังอธิบายเรื่องราวในจวนของจงซูอี้ออกมาได้อย่างชัดเจน
จงซูอี้สีหน้าบูดบึ้งยิ่งนัก คราแรกใบหน้าของเขายังเป็นสีขาว ก่อนจะค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงด้วยความเดือดดาล จากนั้นก็กลายเป็นสีม่วง สุดท้าย หลังจากฟังอู๋จุนพูดจบ ใบหน้าของเขาก็กลายเป็นสีดำทะมึน
จงซูอี้ยกมือขึ้นโบก ลำแสงแห่งการทำลายล้างอันเย็นยะเยือกพลันลอยขึ้นจากพื้น ทั้งยังสั่นสะเทือนไปทั้งแผ่นดิน ลำแสงนั้นพุ่งไปทางอู๋จุน กระเบื้องหลังคาลอยม้วนขึ้นไปปกคลุมท้องฟ้าจนมืดครึ้ม
ซูจิ่นซีไม่เคยเห็นกระบวนท่านี้มาก่อน กระทั่งอู๋จุนยังไม่อาจต้านทานได้ เขาถูกพลังภายในซัดจนปลิวไปแล้ว
“อู๋จุน! ”
“เจ้าหุบเขาอู๋! ”
ซูจิ่นซีและอวิ๋นจิ่นร้องตะโกนออกมาพร้อมกัน
ทว่าความเร็วช่างเร็วอย่างเหลือเชื่อ ร่างของอู๋จุนหายไปในพริบตา
ทันใดนั้น ดวงตาของซูจิ่นซีก็เปล่งประกายด้วยไอสังหารที่รุนแรง นางกำหมัดแน่นพลางมองไปที่จงซูอี้
อวิ๋นจิ่นชักดาบอ่อนออกมาและบิดด้ามดาบออกดัง ‘แกร๊ก’ ด้ามจับของดาบแยกออกเป็นดาบอ่อนอีกเล่มหนึ่ง
เขายื่นดาบให้ซูจิ่นซี
“พระชายา! ”
สายตาของซูจิ่นซียังคงจับจ้องอยู่ที่ร่างของจงซูอี้ นางยื่นมือออกไปรับดาบอ่อนที่อวิ๋นจิ่นส่งมา ก่อนจะยกชี้ไปทางจงซูอี้ที่อยู่เบื้องหน้า
สายตาเฉียบคมของจงซูอี้เหลือบมองซูจิ่นซีด้วยความเหยียดหยาม
เขาไพล่มือทั้งสองไว้ด้านหลัง และไม่หันมามองซูจิ่นซีแม้แต่น้อย
“หึ ในชีวิตของข้าไม่เคยลงมือกับผู้หญิง ทหาร จับหัวขโมยสองคนนี้มาให้ข้า! ”
หลังสิ้นเสียงพูด ทหารหลายสิบนายก็เหาะขึ้นมาบนหลังคา และล้อมซูจิ่นซีกับอวิ๋นจิ่นไว้ตรงกลาง
ซูจิ่นซียังคงมองจงซูอี้ด้วยสายตาเย็นชา ไอสังหารในแววตายิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น
ซูจิ่นซียกยิ้มมุมปากและตะโกนออกไปว่า “ชีวิตนี้ข้าไม่เคยลงมือกับคนชรา ทว่า… ต้องดูว่าคู่ต่อสู้เป็นผู้ใด สำหรับคนชั่วที่น่าขยะแขยง ข้าก็ไม่รังเกียจที่จะแหกกฎนี้”
จงซูอี้ขมวดคิ้วและหันไปมองซูจิ่นซี หลังจากมองเพียงครั้งเดียว เขาก็ขมวดคิ้วแน่น
“จงซีจือ? ”