บทที่ 483 แพนด้าที่ไม่รู้จัก

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 483 แพนด้าที่ไม่รู้จัก

 

 

“คุณชายหลิน?”

 

 

อู๋เฟิ่งกูร้องอุทานออกมาด้วยความดีใจน้ำตาไหลพราก “ฮื่อฮื่อ คุณชาย ในที่สุดคุณชายก็มาช่วยข้าแล้ว คุณชายได้รับจดหมายของข้าแล้วสินะ ฮื่อฮื่อ… โฮ่โฮ่โฮ่!”

 

 

“เจ้าเป็นใครไม่ทราบ?”

 

 

หลินเป่ยเฉินแกล้งพูดออกไปด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ “เราเคยรู้จักกันด้วยหรือ?”

 

 

เขาหันกลับมามองหน้าหยิงอู๋จีอีกครั้งและพูดว่า “แล้วทำไมถึงได้เอาแพนด้ามาจับมัดไว้กับเสาเยี่ยงนี้?”

 

 

หยิงอู๋จีไม่รู้จะตอบคำถามข้อนี้อย่างไรดี

 

 

เพราะสภาพบัดนี้อู๋เฟิ่งกูมีจมูกบวมช้ำ รอบดวงตาเป็นรอยช้ำสีดำคล้ำ มองดูไปแล้วก็เหมือนแพนด้าจริงๆ

 

 

“หลานชาย… เจ้ามาที่นี่ได้ทันเวลาพอดี เจียงจี้หลิวอยากจะสังหารอา…”

 

 

หยิงอู๋จีพยายามหาทางเอาตัวรอด

 

 

หลินเป่ยเฉินชักสีหน้าด้วยความไม่สบอารมณ์ขึ้นมาทันที

 

 

“จะดูถูกนิสัยข้าก็ไม่ว่า แต่จะดูถูกสมองของข้าไม่ได้เด็ดขาด”

 

 

เด็กหนุ่มระเบิดเสียงคำราม “เมื่อสักครู่นี้ ข้าซ่อนตัวอยู่ในป่า ได้ยินคำพูดของท่านทุกคำ… ทั้งๆ ที่ท่านมีสถานะเป็นผู้พิทักษ์กฎหมาย แต่กลับเอาอำนาจมาใช้ในทางมิชอบ แล้วแบบนี้ท่านจะให้ข้าปล่อยท่านไว้ได้อย่างไร?”

 

 

หยิงอู๋จีพลันใบหน้ากระตุกด้วยความแค้น

 

 

ต่อให้เขาจะรู้ดีอยู่แล้วว่าหลินเป่ยเฉินมีจุดเด่นอยู่ที่การพูดจายั่วยวนกวนโทสะผู้อื่น แต่เมื่อได้ยินเข้ากับหูของตัวเอง หยิงอู๋จีก็ยังอดเดือดดาลขึ้นมาไม่ได้อยู่ดี

 

 

“มือกระบี่เจียง ท่านจะปล่อยให้หลินเป่ยเฉินรอดชีวิตต่อไปไม่ได้เด็ดขาด มิฉะนั้นแล้ว…”

 

 

หยิงอู๋จีกัดฟันกรอด เลิกตีสีหน้าเป็นคนดี เขาหันกลับไปหมายจะหวังพึ่งพิงเจียงฟาน

 

 

แต่แล้วเสียงของหัวหน้าหน่วยมือปราบก็ต้องขาดหายไปกะทันหัน

 

 

เพราะว่าเจียงฟานที่เมื่อสักครู่ยังยืนอยู่ตรงนี้ ไม่ทราบเลยว่าหายตัวไปตั้งแต่ตอนไหนกัน

 

 

หนีไปแล้วอย่างนั้นหรือ?

 

 

สีหน้าของหยิงอู๋จีแปรเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง

 

 

หลินเป่ยเฉินก็ไม่คาดคิดเช่นกันว่าหนึ่งในสี่มือกระบี่ประจำตัวของเว่ยหมิงเฉินเมื่อมาเผชิญหน้ากับเขาแล้ว ดันเลือกที่จะหลบหนีไปไม่บอกไม่กล่าวอะไรสักคำ ทำเอาบุคคลที่ไร้ยางอายที่สุดในโลกอย่างหลินเป่ยเฉินก็ยังอดนึกอับอายแทนไม่ได้

 

 

แบบนี้ก็หวานหมู

 

 

“ไม่ต้องมองหาหรอก บิดาเจ้าหลบหนีไปนานแล้ว”

 

 

หลินเป่ยเฉินกำมือเป็นหมัดแน่น น้ำเสียงของเขาแข็งกระด้างมากขึ้น “นี่ๆ คนแซ่หยิง มาคุยกันเถอะว่าเจ้าอยากตายอย่างไร?”

 

 

หยิงอู๋จีหรี่ตาลงเล็กน้อย “เจ้าอยากฆ่าอาหรือ?”

 

 

“แน่นอนที่สุด”

 

 

หลินเป่ยเฉินยิ้มด้วยความเคียดแค้น มือที่กำเป็นหมัดสั่นระริก “เมื่อสักครู่เจ้าเป็นคนบอกเองว่าจะปล่อยให้ข้ารอดชีวิตไปไม่ได้เด็ดขาด แล้วคิดว่าข้าจะขอบคุณเจ้าหรืออย่างไร?”

 

 

หยิงอู๋จีตอบว่า “ข้ากินตำแหน่งหัวหน้าหน่วยมือปราบประจำเมืองหลวง ต่อให้กระทำผิด แต่อย่างน้อยก็ต้องถูกจับกุมเพื่อนำตัวไปลงโทษตามกฎหมายบ้านเมือง เจ้ามีคุณสมบัติอันใดจะมาสังหารข้า?”

 

 

“ข้าเป็นเพียงคนโง่สมองเสื่อม ไม่อยากเห็นหน้าเจ้า ซ้ำเจ้ายังพยายามจะฆ่าข้าก่อน ข้าก็เลยสติคลุ้มคลั่ง…”

 

 

หลินเป่ยเฉินเลิกคิ้วสูงด้วยความประหลาดใจ “แล้วอย่างนี้จะมีใครต้องการเหตุผลในการกระทำของข้าอีก?”

 

 

ในที่สุด หยิงอู๋จีก็มีสีหน้าตื่นกลัวขึ้นมาแล้ว

 

 

“พวกเราฆ่ามัน”

 

 

เขายกมือโบกสะบัด

 

 

แล้วเจ้าหน้าที่มือปราบซึ่งซุ่มอยู่โดยรอบก็ปรากฏตัวออกมาพร้อมด้วยกระบี่คู่กาย

 

 

“เฮ้อ เจ็บตัวคนเดียวก็ไม่ได้ ต้องให้คนอื่นมาพลอยเจ็บตัวไปด้วย”

 

 

หลินเป่ยเฉินใช้วิชาฝ่ามือเทพเจ้า ร้อยก้าวสู่ปรภพ

 

 

ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!

 

 

เจ้าหน้าที่มือปราบเหล่านี้มีพลังอยู่ในขั้นปรมาจารย์ตอนปลาย นับว่ามีระดับพลังไม่ต่ำต้อย

 

 

แต่เมื่อมาเผชิญหน้ากับหลินเป่ยเฉิน พวกเขาจะสามารถต่อกรได้อย่างไร

 

 

พลังจากฝ่ามือของเด็กหนุ่มซัดกลุ่มนายทหารลอยกระเด็นไปในอากาศ หน้าอกของพวกเขาแตกร้าว เลือดสีแดงสดไหลทะลักออกปาก กลุ่มเจ้าหน้าที่มือปราบลอยละลิ่วไปกระแทกกับก้อนหินขนาดใหญ่ ร่างกายของพวกเขาจมหายเข้าไปในก้อนหิน มีเพียงโลหิตไหลทะลักกลับออกมาเท่านั้น หาได้มีชีวิตของผู้คนไม่!

 

 

เจ้าหน้าที่เหล่านี้เป็นบริวารที่ติดตามหยิงอู๋จีมาช้านาน

 

 

แต่ละคนล้วนเลือดเย็นอำมหิตไม่แพ้ผู้เป็นเจ้านาย

 

 

หากปล่อยให้มีชีวิตอยู่รอดต่อไป ไม่ทราบเลยว่าคนกลุ่มนี้ต้องก่อกรรมทำเข็ญอีกกี่มากน้อย

 

 

เมื่อหลินเป่ยเฉินนึกถึงคำสั่งสอนของนักพรตหญิงชิน เขาก็ไม่คิดอะไรมากกับการฆ่าคนอีกแล้ว

 

 

หยิงอู๋จีอาศัยจังหวะนี้หมุนตัวพยายามหลบหนี

 

 

ชื่อของเขาแปลว่านกอินทรี

 

 

หากหวังจงเป็นตัวแทนของความจงรักภักดี

 

 

หยิงอู๋จีก็เป็นตัวแทนของนกอินทรีที่สามารถหลบหนีได้ทุกเวลา

 

 

เมื่อร่างของหัวหน้าหน่วยมือปราบลอยขึ้นไปในอากาศ เขาก็กางแขนกางขามีลักษณะเหมือนนกกระพือปีกบินจริงๆ จึงนับว่าเป็นการใช้วิชาตัวเบาที่รวดเร็วยิ่ง!

 

 

หลินเป่ยเฉินกำลังจะกระโดดตามติด

 

 

แต่ในทันใดนั้น…

 

 

ฟึบ!

 

 

เด็กหนุ่มแขนขาดปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศด้วยความรวดเร็ว เสื้อผ้าของเขาโบกสะบัดด้วยแรงของพลังลมปราณ กระบี่ยาวถอนตัวกลับมาจากซอกหินเหมือนมีปีกบิน มิหนำซ้ำ กระบี่ยังบินฉวัดเฉวียนในอากาศเหมือนกำลังมีคนควบคุมอยู่อย่างไรอย่างนั้น

 

 

ในอากาศเต็มไปด้วยเสียงระเบิดพลังดังครืนครัน

 

 

พลังลมปราณกระบี่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า

 

 

วูบ!

 

 

คมกระบี่สาดประกาย

 

 

“อ๊าก…”

 

 

หยิงอู๋จีส่งเสียงร้องโหยหวนขณะร่วงดิ่งลงมาจากกลางอากาศ

 

 

ร่วงลงมาจากความสูงเท่ากำแพงเมือง

 

 

แขนทั้งสองข้างถูกตัดขาดเสมอไหล่

 

 

เจียงจี้หลิวทิ้งตัวกลับลงมาจากกลางอากาศอย่างเชื่องช้า “ดูเหมือนท่านก็ไม่มีแขนเหลืออีกแล้วสินะ”

 

 

หยิงอู๋จีเงยหน้าขึ้นมามองเด็กหนุ่มที่มีคราบเลือดและรอยกระบี่อยู่บนแก้ม ช่วยไม่ได้ที่หัวหน้าหน่วยมือปราบจะตกใจสุดขีด รู้สึกเย็นวาบไปทั่วร่างกาย ก่อนหน้านี้เขามองเจียงจี้หลิวเป็นเพียงคนพิการคนหนึ่ง แม้แต่ส่งเสียงกรีดร้องยังไม่มีปัญญาทำได้ แล้วเหตุไฉนจึงได้มีความน่ากลัวถึงเพียงนี้?

 

 

ไม่กี่อึดใจก่อน หยิงอู๋จียังเป็นฝ่ายหัวเราะเยาะที่เจียงจี้หลิวไม่มีแขน

 

 

ตอนนั้นเจียงจี้หลิวไม่ได้สนใจ

 

 

ใครจะรู้เลยว่าลึกๆ ในใจแล้ว เจียงจี้หลิวกลับรอคอยโอกาสนี้อยู่ตลอด

 

 

“ได้โปรดอย่าฆ่าข้าเลยนะ…”

 

 

หยิงอู๋จีสูญเสียเลือดมากเกินไป เริ่มเกิดอาการเวียนหัว บริเวณที่เคยมีแขนและขาของเขาชาดิกปราศจากความรู้สึก จึงต้องขอร้องอ้อนวอนออกมาด้วยความหวาดกลัว

 

 

เจียงจี้หลิวเมินเฉยอีกครั้ง

 

 

เด็กหนุ่มหันกลับมามองหน้าหลินเป่ยเฉิน

 

 

หลินเป่ยเฉินผายมือออกกว้างและพูดด้วยน้ำเสียงเชิญชวน “ข้าบอกแล้วไงว่าเลิกรับใช้คนพวกนั้นได้แล้ว เจ้ามาเป็นพวกเดียวกับข้าดีกว่า อย่าลืมสิว่าข้ามีสถานะเป็นถึงเจ้าของเหมืองแร่หินบูชาเชียวนะ… ข้ามีเงิน ข้าสามารถเลี้ยงดูเจ้าได้เหมือนกัน”

 

 

เจียงจี้หลิวไม่ได้ยิ้ม

 

 

เขาพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “ข้ารับปากเอาไว้แล้วว่าจะมอบคำอธิบายให้เจ้าได้รับทราบ”

 

 

หลินเป่ยเฉินยกมือโบกสะบัดด้วยความรำคาญใจ “เรื่องนั้นช่างมันเถอะ ยังไงข้าก็เชื่อเจ้าตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ข้าไม่เคยสงสัยในตัวเจ้าเลย…”

 

 

เจียงจี้หลิวตอบรับกลับมาด้วยน้ำเสียงจริงใจว่า “แต่ถึงอย่างนั้น ข้าก็ต้องขอโทษเจ้าอยู่ดี ข้าไม่ควรใช้คำพูดพวกนั้นข่มขู่เจ้าเลย มิฉะนั้นแล้ว เจ้าก็คงไม่เข้าใจผิด สิ่งที่ข้าพูดกับเจ้าในวันนั้น ข้าเพียงอยากขู่เจ้าเฉยๆ ข้าไม่ได้มีความคิดว่าจะต้องลักพาตัวหรือทำร้ายคนรอบตัวเจ้าแต่อย่างใด แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเพื่อจัดการเจ้าให้ได้ นายท่านถึงกับเตรียมแผนการเอาไว้สังหารเจ้าหลายรูปแบบ และบรรดาผู้คนที่ติดตามนายท่าน ก็พยายามลงมือเพื่อแย่งชิงความดีความชอบไปเป็นของตนเอง…”

 

 

หลินเป่ยเฉินพยักหน้าเล็กน้อย

 

 

“อย่างนี้นี่เอง…”

 

 

หลินเป่ยเฉินขัดขึ้นมากลางคัน แต่แล้วเขาก็รีบยกมือกอดหน้าอกตัวเองพร้อมกับก้าวถอยหลังเว้นระยะห่าง “แต่ว่าทำไมยิ่งพูด ยิ่งอธิบาย พวกเรายิ่งเหมือนคนรักที่พยายามปรับความเข้าใจกันเลยแฮะ ข้าขนลุกไปหมดทั้งตัวแล้วเนี่ย ถึงข้าจะชื่นชมในพรสวรรค์ของเจ้า แต่ข้าไม่ได้คิดอะไรเกินเลยกับเจ้านะ”

 

 

เจียงจี้หลิวชะงักไปเล็กน้อย “เกินเลย? หมายความว่าอย่างไร?”

 

 

แต่มือกระบี่พันหน้าไม่รอฟังคำตอบจากหลินเป่ยเฉิน ก็รีบพูดต่อว่า “งานของข้าได้เสร็จสิ้นลงแล้ว ส่วนเจ้าจะจัดการอย่างไรกับหยิงอู๋จี ก็จงตัดสินใจเองเถิด”

 

 

“เจ้าจะมาโยนภาระให้ข้าตัดสินใจได้อย่างไร”

 

 

หลินเป่ยเฉินยกมือนวดขมับตนเองด้วยความปวดหัว “เจ้าเล่นตัดแขนคนไปก่อน แล้วจะให้ข้าจัดการส่วนที่เหลือเนี่ยนะ ในเมื่อเจ้าเป็นคนเริ่ม เจ้าก็ต้องเป็นคนจบมันสิ… ว่าแต่ว่าเจ้าช่วยอะไรข้าหน่อยได้ไหม?”

 

 

เจียงจี้หลิวพยักหน้า “เชิญบอกมา”

 

 

หลินเป่ยเฉินยกมือชี้ไปที่อู๋เฟิ่งกู “เจ้าพาแพนด้ายักษ์ตัวนี้เข้าไปในถ้ำ ช่วยเหลือคนงานกับชาวเมืองที่ถูกขังอยู่ในนั้นออกมาซะ เหมืองนี้มีความลึกมากเกินไป ข้าเป็นโรคกลัวที่แคบ ไม่กล้าเข้าไปหรอก”

 

 

“ย่อมได้”

 

 

เจียงจี้หลิวรับคำสั่งโดยไม่ลังเล

 

 

ถึงเขาจะไม่รู้ว่าโรคกลัวที่แคบคืออะไร แต่เขาก็เห็นว่าคำสั่งของหลินเป่ยเฉินคือการช่วยเหลือผู้คน เจียงจี้หลิวจึงไม่ได้ปฏิเสธ

 

 

เมื่อตัดเชือกที่พันธนาการเถ้าแก่สวนแตงโมออกด้วยพลังลมปราณกระบี่เรียบร้อย เจียงจี้หลิวก็พาตัวอู๋เฟิ่งกูเดินเข้าไปช่วยเหลือผู้คนภายในถ้ำ

 

 

หลินเป่ยเฉินเดินตรงเข้าไปหาหยิงอู๋จี

 

 

หัวหน้าหน่วยมือปราบพยายามดิ้นรนพร้อมกับส่งเสียงขอร้อง “ไม่นะ ได้โปรดอย่าฆ่าข้าเลย ข้าสามารถช่วยเจ้าได้ ข้ารู้ความลับมากมายเกี่ยวกับบิดาของเจ้า ข้ารู้ที่ซ่อนคัมภีร์ลึกลับจำนวนมหาศาล แล้วข้าก็รู้ข้อมูลของเว่ยหมิงเฉิน… เจ้าไว้ชีวิตข้าสิ แล้วข้าจะทำงานรับใช้เจ้าเอง”

 

 

“เฮอะ”

 

 

หลินเป่ยเฉินตวัดขาเตะเข้าไปที่ท้องน้อยของหยิงอู๋จีโดยไม่ลังเล ส่งผลให้จุดลมปราณของอีกฝ่ายหนึ่งถูกปิดกั้นในทันที “เศษขยะที่กำลังจะลงนรกอย่างเจ้า มีค่าอะไรมารับใช้ข้า? อีกอย่าง ข้าไม่ได้สนใจสิ่งที่เจ้าพูดเลยสักนิด”

 

 

“ไม่นะ อย่า…”

 

 

หยิงอู๋จีอ้อนวอนร้องขอชีวิต

 

 

หลินเป่ยเฉินไม่รับฟังอีกต่อไป

 

 

ในเมื่อเป็นฝ่ายชักกระบี่ฆ่าคนก่อน แล้วจะมาร้องขอความเห็นใจได้อย่างไร?

 

 

แต่เขามีวิธีที่ดีกว่านั้นในการจัดการกับหยิงอู๋จี

 

 

เมื่อเหตุการณ์ดำเนินมาถึงตรงนี้ เจียงจี้หลิวกับอู๋เฟิ่งกูพร้อมด้วยคนงานเหมืองและชาวเมืองที่ถูกจับกุมตัวมาหลายสิบคน ก็เดินกลับออกมาจากภายในถ้ำด้วยสภาพเนื้อตัวมอมแมมเสื้อผ้าขาดวิ่นพอดิบพอดี!

 

 

จังหวะที่ทุกคนพบเห็นหยิงอู๋จี ดวงตาของพวกเขาก็กลายเป็นสีแดงก่ำด้วยความโกรธแค้น