บทที่ 484 ใช้กระบี่ดีกว่า

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 484 ใช้กระบี่ดีกว่า

สำหรับกลุ่มผู้รอดชีวิต พวกเขาไม่มีทางลืมเลือนวันเวลาแห่งฝันร้าย และแน่นอนว่าย่อมไม่มีทางลืมเลือนโฉมหน้าของผู้ที่นำฝันร้ายมาให้พวกเขาเป็นอันขาด

ทุกคนไม่มีทางลืมเลือนความรู้สึกหมดหวังที่พบเจอในความมืดมิด

แต่คิดไม่ถึงเลยว่ากลับมีคนมาช่วยเหลือพวกเขาแล้ว

“คุณชายหลิน”

“คุณชายหลินมาช่วยพวกเราแล้ว…”

“พวกเรายังไม่รีบไปขอบคุณคุณชายหลินอีก”

ชาวเมืองและกลุ่มคนงานที่ถูกช่วยเหลือออกมาจากเหมืองแร่หินจดจำหลินเป่ยเฉินได้ตั้งแต่แรกเห็น

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าหลินเป่ยเฉินในปัจจุบันนี้มีสถานะเป็นคนดังประจำเมืองหยุนเมิ่งมากมายขนาดไหน โดยเฉพาะหลังเข้าร่วมการแข่งขันจตุรมิตรสามัคคี เด็กหนุ่มคนนี้ก็ยิ่งมีชื่อเสียงโด่งดังมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า

บัดนี้ หยิงอู๋จีกำลังนอนหมอบกราบอยู่แทบเท้าหลินเป่ยเฉิน จึงไม่จำเป็นต้องพูดอะไรอีกแล้ว กลุ่มชาวเมืองเข้าใจโดยทันทีว่าคุณชายหลินมาที่นี่เพื่อช่วยเหลือพวกเขาไปจากเงื้อมมือของหยิงอู๋จี ซึ่งใช้แรงงานชาวบ้านและคนงานเหมืองอย่างทารุณทั้งวันทั้งคืน

นับว่าคุณชายหลินเป็นผู้ผดุงไว้ซึ่งความยุติธรรมอย่างแท้จริง

เมื่อเด็กหนุ่มเห็นเช่นนั้น เขาก็ระเบิดเสียงหัวเราะด้วยความชอบใจ

หลินเป่ยเฉินคิดไม่ถึงเลยจริงๆ

สำหรับการโคจรพลังศักดิ์สิทธิ์ สิ่งที่เขาจำเป็นต้องใช้ ก็คือพลังจากผู้ศรัทธาจำนวนมาก

ยิ่งเขามีผู้ศรัทธามากเท่าไหร่ ก็ยิ่งสามารถฝึกวิชาได้รวดเร็วเท่านั้น

แล้วดูนี่สิ

กลุ่มชาวเมืองกับคนงานเหมืองพวกนี้… ต่อให้เป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาไม่ได้มีสถานะสูงส่ง… แต่ทุกคนต่างก็กลายเป็นผู้ศรัทธาในตัวเขาเรียบร้อยแล้ว

“ฮ่าฮ่าฮ่า ทุกคนไม่ต้องเกรงใจ… นี่คือสิ่งที่หลินเป่ยเฉิน มือกระบี่หนุ่มผู้หล่อเหลาและกล้าหาญที่สุดภายในเมืองหยุนเมิ่งสมควรกระทำอยู่แล้ว…”

หลินเป่ยเฉินขยับเท้าก้าวออกไปข้างหน้าด้วยความกระตือรือร้น

เด็กหนุ่มเข้าไปช่วยประคองคนงานเหมืองที่ล้มลงกับพื้นให้ลุกขึ้นยืน

อิอิ แค่นี้เขาก็ได้ผู้ศรัทธาเพิ่มขึ้นมาอีกคนแล้ว

อู๋เฟิ่งกูที่ยืนอยู่ด้านข้างมีสีหน้าฉงนฉงาย

เมื่อสักครู่นี้

เถ้าแก่สวนแตงโมจำได้ว่าเป็นเขากับเจียงจี้หลิวที่เข้าไปช่วยเหลือทุกคนออกมาจากภายในถ้ำไม่ใช่หรือ

แล้วเพราะเหตุใด ชาวเมืองถึงไม่ขอบคุณพวกเขาเลย?

แต่กลับไปขอบคุณหลินเป่ยเฉินเนี่ยนะ?

ไม่ยุติธรรมเลยสักนิด

จังหวะนั้น สายตาของหลินเป่ยเฉินก็หันมามองทางอู๋เฟิ่งกูพอดี เด็กหนุ่มจึงพูดด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าวว่า “เจ้าช่วยคนที่ติดอยู่ข้างในออกมาหมดแล้วใช่หรือไม่? อย่าให้ข้ารู้ว่ามีใครหลงเหลืออยู่ภายในถ้ำอีกแม้แต่คนเดียว มิฉะนั้นแล้ว ข้าจะลงโทษเจ้าสถานหนัก…”

อู๋เฟิ่งกูรีบรับช่วงต่อด้วยการหัวเราะกลบเกลื่อน

“นายน้อยไม่ต้องเป็นกังวล ข้าช่วยเหลือผู้คนออกมาครบถ้วนหมดแล้ว ข้ารู้ดีว่านายน้อยห่วงใยชาวเมืองยิ่งกว่าอะไรดี นายน้อยไม่อยากเห็นผู้บริสุทธิ์ต้องทนทุกข์ทรมาน เพราะฉะนั้น ข้าจะกล้าทิ้งใครไว้ข้างหลังได้อย่างไร…”

หลังจากนั้น เถ้าแก่สวนแตงโมก็หันไปพูดกับกลุ่มคนงานว่า “นับว่าชะตาของพวกเจ้ายังไม่ถึงที่ตาย เมื่อวีรบุรุษอย่างคุณชายหลินยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ ชีวิตของพวกเจ้าก็ปลอดภัยแล้ว เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับข้าหรือเจียงจี้หลิวแม้แต่น้อย ความดีความชอบทั้งหมด ล้วนแต่เป็นของคุณชายหลินเพียงผู้เดียวเท่านั้น เขาเป็นผู้ที่ตัดแขนหยิงอู๋จีและกำราบจนวายร้ายผู้นี้สิ้นฤทธิ์ในที่สุด พวกเจ้าต้องขอบคุณคุณชายหลินจริงๆ”

เจียงจี้หลิวยืนกะพริบตาปริบๆ อยู่ตรงนั้น

เมื่อกลุ่มคนงานและชาวเมืองเดินเข้ามาขอบคุณอย่างพร้อมเพรียง หลินเป่ยเฉินก็ยกมือพูดว่า “ข้ารู้ว่าพวกท่านต้องทนทุกข์ทรมานขนาดไหน บัดนี้คนร้ายถูกจับกุมแล้ว ขอเชิญทุกท่านระบายความโกรธแค้นได้เต็มที่ อย่าได้เกรงใจ!”

พูดจบ เขาก็หันไปเปิดฉากกระทืบหยิงอู๋จีเป็นคนแรก

ตอนแรก ทุกคนก็ยังกล้าๆ กลัวๆ

แต่แล้วกลับมีชายหนุ่มคนหนึ่งตะโกนออกมาว่า “ท่านพ่อ บุตรคนนี้จะแก้แค้นให้ท่านเอง”

จากนั้น เขาก็กระโดดเข้าไปกัดหูหยิงอู๋จี เมื่อชาวบ้านคนอื่นๆ เห็นเช่นนั้น แววตาของทุกคนก็เป็นประกายวาวโรจน์ด้วยความโกรธแค้น ก่อนที่พวกเขาจะพุ่งกระโจนเข้าไปเหมือนฝูงสิงโตรุมขย้ำเหยื่อ!

“ไม่นะ ไม่…”

หยิงอู๋จีส่งเสียงร้องด้วยความตื่นกลัว

เขาไม่เคยคิดเคยฝันเลยว่าสถานะผู้สูงส่งที่ใครก็แตะต้องไม่ได้ของตนเอง วันหนึ่งกลับต้องมาพบการรุมทุบตีจากมดปลวกข้างถนนเช่นนี้

“อ๊าก… ดวงตาของข้า…”

หยิงอู๋จีส่งเสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด

กำปั้นจำนวนนับไม่ถ้วนต่อยเข้าไปที่ใบหน้าของเขา ส่งผลให้ฟันของหัวหน้าหน่วยมือปราบหลุดออกมาแทบหมดปาก

แต่อย่างไรก็ตาม หยิงอู๋จีมีพลังอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์ตอนต้น ร่างกายของเขาแข็งแรงกว่าคนทั่วไป หมัดเท้าของประชาชนคนธรรมดาย่อมไม่ระคายเคืองผิวหนังซักเท่าไหร่ นั่นส่งผลให้ชาวบ้านบางคนเลือกที่จะเล่นงานจุดอ่อนของร่างกาย อย่างเช่นดวงตา ใบหู และตรงจุดศูนย์ถ่วงความเป็นชาย…

“ทุกคน ช้าก่อน”

หลินเป่ยเฉินยกมือป้องปากส่งเสียงห้ามปรามกลุ่มชาวบ้าน

หยิงอู๋จีเบิกตาโตอย่างมีความหวัง

“คุณชายได้โปรดไว้ชีวิตข้าน้อยด้วย อย่าลืมสิว่าตอนที่ท่านยังเป็นเด็ก ข้าน้อยเคยโอบอุ้มท่านมาตั้งแต่ไหนแต่ไร และท่านก็เคยเรียกข้าว่าท่านอาหยิงจำได้หรือไม่…”

หัวหน้าหน่วยมือปราบฝืนยิ้ม ร้องขอความเมตตา

“เฮอะ ข้าไม่นับญาติกับคนเช่นเจ้า”

หลินเป่ยเฉินหยิบกระบี่ขึ้นมาจากศพของทหารที่นอนตายอยู่ข้างทาง จากนั้นจึงส่งกระบี่ไปให้กับคนงานผู้โกรธแค้นคนหนึ่ง “ตัววายร้ายผู้นี้มีผิวหนังหนาด้านกว่าคนทั่วไป เพียงมือและเท้าของพวกท่านคงไม่สามารถทำอะไรเขาได้ ข้าขอแนะนำให้พวกท่านใช้กระบี่ทิ่มแทงเขาดีกว่า… รับรองว่าพวกท่านจะได้เห็นผลลัพธ์ทันตาทีเดียว”

กลุ่มคนงานและชาวเมืองส่งเสียงโห่ร้องด้วยความดีใจ

ในไม่ช้า เสียงกรีดร้องโหยหวนก็ดังขึ้นอีกครั้ง

“อ๊าก ข้าเป็นหัวหน้าหน่วยมือปราบประจำเมืองหลวงนะ…”

“หากพวกเจ้าฆ่าข้า พวกเจ้าก็ต้องชดใช้ด้วยชีวิต…”

“โอ๊ย ไม่นะ ข้าผิดไปแล้ว ให้อภัยข้าด้วยเถิด…”

“คุณชายขอรับ ได้โปรดฟังคำอธิบายจากข้าก่อน…”

“อ๊าก…”

เสียงร้องโหยหวนเบาแล้วก็ดังสลับกันอยู่อย่างนั้น

แต่เพียงไม่นาน เสียงนั้นก็ค่อยๆ จางหายไป

สุดท้าย หัวหน้าหน่วยมือปราบจากเมืองหลวงก็ถูกกลุ่มชาวบ้านและคนงานเหมืองหยิบกระบี่ขึ้นมาเฉือนเนื้อทั้งเป็น เลือดเป็นสายไหลทะลักลงสู่พื้นดิน กล่าวได้ว่าหยิงอู๋จีต้องถึงแก่ความตาย เพราะเขาเลือกรับใช้เว่ยหมิงเฉินโดยแท้จริง

เมื่อชาวเมืองและกลุ่มคนงานเหมืองได้แก้แค้นสมใจอยากแล้ว พวกเขาก็ร้องไห้เมื่อนึกถึงญาติพี่น้องที่ต้องเสียชีวิตภายใต้ความอำมหิตของหยิงอู๋จี แต่ก็มีบางส่วนยังไม่ลืมวิ่งเข้ามาคุกเข่าคำนับขอบคุณหลินเป่ยเฉินด้วยความซาบซึ้งใจ

ในที่สุด กลุ่มคนผู้รอดชีวิตก็ได้รับการดูแลจากอู๋เฟิ่งกูอยู่ในกระโจมที่พักเป็นอย่างดี ทุกคนได้ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดใหม่ ได้รับประทานอาหารอิ่มท้อง และอู๋เฟิ่งกูก็นำพาทุกคนกลับไปตั้งหลัก ณ สถานศึกษากระบี่ที่สาม

อีกอย่าง การสังหารเจ้าหน้าที่ระดับสูงอย่างหยิงอู๋จีจะให้ล่วงรู้ไปถึงคนภายนอกไม่ได้เด็ดขาด

ชาวบ้านและคนงานเหมืองกลุ่มนี้จำเป็นต้องได้รับการคุ้มครองชั่วคราว และอาจจะถูกกันตัวไว้เป็นพยานเมื่อทางการเริ่มสืบสวนการทุจริตของหยิงอู๋จีอย่างจริงจัง

แน่นอนว่าหลินเป่ยเฉินก็แค่อยากจะป้องกันเอาไว้ก่อนเท่านั้นเอง

แต่สำหรับเขานั้น เด็กหนุ่มรู้สึกว่าการคุ้มครองเหล่านี้ไม่จำเป็นเลยแม้แต่น้อย

เพราะตราบใดที่พวกเขาสามารถผ่านการตรวจสอบวิหารและอัญเชิญเทพเจ้าได้สำเร็จ การเสียชีวิตของหยิงอู๋จีก็จะไม่มีความหมายเลยแม้แต่น้อย อีกอย่าง คนเลวเช่นนี้ตายไปก็คงไม่มีใครเดือดร้อน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทางสำนักมือปราบก็คงไม่อยากขุดคุ้ยความเน่าเฟะในสำนักของตัวเองสักเท่าไหร่

บัดนี้ บริเวณใต้หน้าผาเหลือแต่เพียงหลินเป่ยเฉินกับเจียงจี้หลิวยืนคุยกันอยู่สองคนเท่านั้น

“อากวง”

หลินเป่ยเฉินส่งเสียงเรียก

จี๊ด!

แล้วอากวงก็ปรากฏตัวขึ้นมาในทันใด

หลินเป่ยเฉินโยนยาลูกกลอนโอสถหกสวรรค์ไปให้มันพร้อมกับพูดว่า “เอาไปกินซะ หลังจากนั้นก็ลงไปวางกับระเบิดไว้ตามทางขึ้นเขาเสี่ยวซีให้หมด… จงแสดงให้คนทั้งโลกได้เห็นว่าอึของเจ้านั้นมีความน่ากลัวมากขนาดไหน”

‘รับทราบแล้วขอรับ นายท่าน’

อากวงรับยาโอสถหกสวรรค์ไปรับประทาน เขียนข้อความบนกระดานด้วยความตื่นเต้น แล้วมันก็ล่องหนไปอีกครั้ง

นี่คือครั้งแรกที่เจียงจี้หลิวพบว่าเจ้าหนูอากวงสามารถหายตัวได้เหมือนมีพลังเหนือธรรมชาติ เด็กหนุ่มถึงกับยืนตกตะลึงอย่างช่วยไม่ได้

คนอะไรกันจะเลี้ยงสัตว์ประเภทนี้ไว้เป็นสัตว์เลี้ยงประจำบ้าน?

ว่าแต่มันเป็นหนูสายพันธุ์ไหนกันนะ?

“เจ้าเองก็ลองรับประทานดูบ้างไหมล่ะ”

หลินเป่ยเฉินพูดพร้อมกับโยนยาโอสถหกสวรรค์อีกเม็ดหนึ่งมาให้เจียงจี้หลิวด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “นี่คือยาบำรุงร่างกายชนิดหนึ่ง”

เจียงจี้หลิวไม่ลังเลแม้แต่นิดเดียว เขาอ้าปากงับยาลูกกลอนเรียบร้อยก็พูดว่า “นี่สำหรับการรักษา…”

เขาพูดยังไม่ทันจบ

แล้วสีหน้าของเจียงจี้หลิวก็ต้องแปรเปลี่ยนไปในพริบตา

เพราะเมื่อเม็ดยาละลายในปาก ความรู้สึกร้อนวูบวาบที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อนก็แผ่กระจายไปตามอวัยวะส่วนต่างๆ ของร่างกายด้วยพลังลมปราณที่ไหลเวียนอย่างบริสุทธิ์

ความเหนื่อยล้าและความเจ็บปวดจากอาการบาดเจ็บก่อนหน้านี้หายดีเป็นปลิดทิ้ง

แม้แต่หัวไหล่ทั้งสองข้างที่ปราศจากแขนก็ให้รู้สึกอบอุ่นขึ้นเล็กน้อย

ราวกับว่ากำลังจะมีแขนใหม่งอกออกมาจากบาดแผลอย่างไรอย่างนั้น

“นี่คือโอสถประเภทใดกัน?” เจียงจี้หลิวอดถามออกมาไม่ได้ “ทำไมถึงได้มหัศจรรย์เยี่ยงนี้? ข้าเคยรับประทานโอสถวิเศษมาแล้วมากมาย แต่ไม่เคยมีโอสถชนิดไหนยอดเยี่ยมเท่าของเจ้ามาก่อน”

“น่า แค่นี้ก็ไม่เท่าไหร่หรอก”

หลินเป่ยเฉินที่ในหัวใจกำลังระเบิดเสียงหัวเราะอย่างคลุ้มคลั่ง ต้องพยายามรักษาท่าทีเยือกเย็นเป็นที่สุด

เขาชอบสีหน้าของเจียงจี้หลิวในขณะนี้เหลือเกิน

อีกไม่นาน เจียงจี้หลิวจะต้องยอมมาเป็นพวกเดียวกับเขาแน่นอน

หลินเป่ยเฉินแกล้งถอนหายใจและพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “เวลาที่ข้าเบื่อ ข้าก็มักจะไปซื้อสมุนไพรมาหลอมโอสถเล่นๆ เสมอ เจ้าคงรู้ว่าเมื่อก่อนบ้านข้ารวยขนาดไหน โอสถที่เจ้าเพิ่งรับประทานไปเมื่อสักครู่นี้ ปกติข้าแค่เอาไว้ทำอาหารหมูเท่านั้นเอง…”

เจียงจี้หลิวเบิกตาโตด้วยความเหลือเชื่อ

ฟังพูดเข้าสิ

มือกระบี่พันหน้ารู้สึกอยากจะต่อยหน้าคนขึ้นมาทันที