บทที่ 485 มาเป็นพวกเดียวกันดีกว่า

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 485 มาเป็นพวกเดียวกันดีกว่า

“งั้นพวกเราเข้าไปสำรวจดูภายในเหมืองกันดีกว่า”

หลินเป่ยเฉินยิ้มแย้มด้วยความตื่นเต้น พูดว่า “เฮ้อ กลิ่นของแร่หินบูชาช่างหอมหวนเย้ายวนใจข้าเหลือเกิน อิอิ แร่หินทั้งหมดที่อยู่ในเหมืองแห่งนี้เป็นของข้าแล้ว พวกเราเข้าไปดูความยิ่งใหญ่ของมันกันเถอะ”

พูดจบ หลินเป่ยเฉินก็เดินนำเข้าไปในถ้ำเป็นคนแรก

เจียงจี้หลิวเดินตามหลังไปโดยไม่รู้ตัว

แต่เมื่อเดินตามไปได้ประมาณสองก้าว มือกระบี่พันหน้าก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะถามออกมาด้วยความสงสัยว่า “เดี๋ยวก่อนนะ เมื่อสักครู่เจ้าบอกว่าตนเองเป็นโรคกลัวที่แคบไม่ใช่หรือ เจ้าจึงไม่กล้าเข้าไปในเหมืองเพื่อช่วยเหลือผู้คนเหล่านั้นน่ะ?”

“หา? ข้าพูดเช่นนั้นด้วยหรือ?”

หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่เล็กน้อย “สงสัยอาการทางสมองของข้าจะกำเริบอีกแล้วน่ะสิ เพราะบัดนี้ ข้าไม่เห็นกลัวที่แคบสักหน่อย”

เจียงจี้หลิวพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว

หลินเป่ยเฉินมีเจตนาหลอกใช้เขาหรือนี่

แต่เด็กหนุ่มก็ไม่อยากคิดเล็กคิดน้อยให้มากความ

เขาเดินตามหลินเป่ยเฉินเข้าไปภายในถ้ำอันมืดมิด

และเนื่องจากนี่เป็นการขุดเหมืองอย่างเร่งด่วน สภาพภายในถ้ำจึงเหมือนการขุดอุโมงค์ของพวกโจรขุดสุสานไม่มีผิด ปากทางเข้าเป็นแนวดิ่งตั้งตรง เด็กหนุ่มทั้งสองคนต้องกระโดดทิ้งตัวลงไปในหลุมที่อยู่บนพื้นดิน อุโมงค์นั้นมีความลึกประมาณ 10 จั้ง เมื่อเท้าของพวกเขาสัมผัสพื้นดินอีกครั้ง พลังปราณบริสุทธิ์ที่ไหลเวียนอยู่ในอากาศก็ลอยเข้ามาสัมผัสผิวกาย ทำให้หลินเป่ยเฉินกับเจียงจี้หลิวรู้สึกสดชื่นขึ้นมาทันตาเห็น

“นับเป็นพลังปราณที่มากมายยิ่ง”

หลินเป่ยเฉินดวงตาเป็นประกายระยิบระยับ

“มันเป็นพลังที่ลอยขึ้นมาจากแร่หินนั่นแหละนะ”

เจียงจี้หลิวอดถอนหายใจออกมาไม่ได้ “ใครจะคิดเลยว่าใต้ภูเขาเสี่ยวซีที่แสนรกร้าง กลับซุกซ่อนเหมืองแร่หินบูชาที่อุดมสมบูรณ์อยู่ถึงขนาดนี้ ดูท่าแล้วพวกเจ้าน่าจะขุดเหมืองต่อไปได้อีกหลายปีทีเดียว แร่หินที่ได้จากที่นี่เป็นแร่หินบูชาบริสุทธิ์ นอกจากใช้ในการบูชาเพื่อเปิดพลังปราณธาตุได้แล้ว ยังสามารถใช้สำหรับการดูดซับพลัง เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่ตนเองได้อีกด้วย… เจ้าจงยึดเหมืองแห่งนี้เอาไว้ให้มั่น เพราะมันจะทำให้เจ้ากลายเป็นหนึ่งในบรรดาผู้คนที่รวยที่สุดในจักรวรรดิแห่งนี้ได้อย่างแน่นอน”

“รับรองว่าข้าไม่มีทางปล่อยให้มันหลุดมือไปเด็ดขาด”

หลินเป่ยเฉินพูดด้วยน้ำเสียงหมาหวงก้าง “ใครก็ตามที่อยากขโมยมันไปจากข้า ข้าจะฆ่าล้างโคตรพวกมันทั้งตระกูล”

เจียงจี้หลิวพูดอะไรไม่ออก

ก็จะให้เขาพูดอะไรได้อีกเล่า

หลินเป่ยเฉินมีความคิดอำมหิตต่อผู้ที่เป็นศัตรูอยู่เสมอ

เจียงจี้หลิวคิดถึงเรื่องราวที่ตนเองต้องกลายเป็นบุคคลแขนขาดมาหลายวันแล้ว

นายท่านของเขาเป็นคนที่ชอบให้โอกาสผู้ที่ถูกมองข้ามอยู่เสมอ ซ้ำยังมอบของวิเศษให้แก่บริวารช่วยเพิ่มพูนพลังเอาชนะศัตรูได้อย่างง่ายดาย ด้วยเหตุนี้ นายท่านเว่ยหมิงเฉินจึงมีผู้ติดตามเป็นจำนวนมาก บุคคลเหล่านั้นต่างก็เคารพท่านไม่ต่างจากเทพเจ้าบนโลกมนุษย์ และไม่เคยมีใครตั้งคำถามในการตัดสินใจของนายท่านเว่ยหมิงเฉินเลยสักครั้งเดียว

แต่ยิ่งเวลาผ่านนานไป ยิ่งมีผู้คนเข้ามาเป็นบริวารของนายท่านมากขึ้น การคัดเลือกบริวารของนายท่านเว่ยหมิงเฉินกลับไม่มีความซับซ้อนเหมือนเก่าก่อนอีกแล้ว

โดยเฉพาะบริวารในรุ่นหลังที่มีแต่ตัววายร้ายทั้งสิ้น

อย่างไรก็ตาม ยังคงมีผู้ติดตามจำนวนหนึ่ง ซึ่งเป็นบริวารของเว่ยหมิงเฉินในยุคแรกเริ่ม ล้วนรู้สึกว่านายท่านของตนเองกำลังเดินทางผิดทีละเล็กทีละน้อย

แม้แต่คำสั่งและพฤติกรรมของนายท่านในช่วงหลัง ก็เปลี่ยนแปลงไปเหมือนเป็นคนละคน…

บางครั้งคำสั่งของนายท่านก็ขัดแย้งกับหลักการของตนเอง

มีหลายครั้งที่เจียงจี้หลิวต้องพยายามห้ามปรามตนเองไม่ให้ตักเตือนนายท่าน

แต่เขาก็เริ่มทำงานให้แก่เว่ยหมิงเฉินด้วยความลำบากใจมากขึ้นเรื่อยๆ

ทำไมสถานการณ์ถึงเป็นเช่นนี้?

ทำไมนายท่านถึงเป็นเช่นนี้?

คำถามเหล่านี้รบกวนจิตใจเจียงจี้หลิวอยู่เสมอ

จนเขาได้มาพบกับหลินเป่ยเฉิน เจ้าคนเสเพลชื่อดัง

หลินเป่ยเฉินมีภาพลักษณ์ที่อยู่ห่างไกลจากความเป็นร่างทรงเทพเจ้าโดยสิ้นเชิง

ทุกคนรู้ดีว่าหลินเป่ยเฉินเป็นเพียงเศษขยะคนหนึ่ง

และหลินเป่ยเฉินก็ไม่เคยปฏิเสธว่าตนเองไม่ใช่เศษขยะ หลายครั้งที่เขาทำเรื่องราวต่างๆ โดยไม่มีเหตุผล รวมไปถึงมีพฤติกรรมที่แตกต่างจากคนทั่วไป และบางครั้ง หลินเป่ยเฉินก็ดูจะภูมิอกภูมิใจในอาการสมองเสื่อมของตนเองเสียเหลือเกิน…

นับได้ว่าในตัวของหลินเป่ยเฉินเต็มไปด้วยความผิดปกติ

ยามพบหน้ากันครั้งแรก หลินเป่ยเฉินไม่มีสง่าราศีเลยแม้แต่น้อย

แต่เมื่อได้ใกล้ชิด ได้ทำความเข้าใจ และได้มีโอกาสทำความรู้จักกันจริงๆ

ความคิดทุกอย่างที่เจียงจี้หลิวเคยมีต่อจอมเสเพลผู้นี้ก็ต้องเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ

หลินเป่ยเฉินไม่ได้ผิดปกติ เขาแค่แตกต่างจากคนทั่วไปเท่านั้นเอง

หลินเป่ยเฉินนอกจากชอบช่วยเหลือผู้ที่อ่อนแอแล้ว เขายังชักกระบี่ออกมาช่วยเหลือมิตรสหายของตนเองได้โดยไม่ห่วงความเป็นความตาย ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่าแม้คู่ต่อสู้จะมีพลังสูงส่งกว่าตนเองหลายเท่า แต่หลินเป่ยเฉินก็ไม่เคยหวั่นไหวแม้แต่น้อย และสิ่งเหล่านี้นี่เองที่ตราตรึงอยู่ในหัวใจของเจียงจี้หลิวไม่รู้ลืม

นี่คือจิตวิญญาณแห่งวัยเยาว์ของเด็กหนุ่มผู้กล้าหาญที่ทุกคนพึงมี

แต่กลับเป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่ง

ยกตัวอย่างเช่น เพื่อปกป้องพวกของกงกงและครอบครัว หลินเป่ยเฉินถึงกับยอมลงนามในสัญญาส่งมอบความตายโดยไม่ห่วงชีวิตของตนเองสักนิด

เจียงจี้หลิวมองเห็นด้วยสายตาของเขาว่า สิ่งที่นายท่านเว่ยหมิงเฉินขาดหายไป กลับมีเต็มเปี่ยมอยู่ในตัวของหลินเป่ยเฉิน

เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ หัวคิ้วของมือกระบี่พันหน้าก็ขมวดมุ่น พร้อมกับสีหน้าของเขาที่แสดงออกถึงความเหนื่อยใจออกมาชัดเจน

เพราะมันเป็นขณะเดียวกับที่หลินเป่ยเฉินวิ่งเข้าไปโกยกองแร่หินบูชาขึ้นมาโปรยในอากาศ

“โอ้โห ดูหินบูชาพวกนี้สิ…”

“นี่ใช่ไหมแร่หินบูชาที่สุดแสนจะราคาแพงน่ะ?”

“เป็นประกายระยิบระยับดีจังเลยน้า”

“กองใหญ่ขนาดนี้ ถ้าเอาออกไปขายจะได้ราคาเท่าไหร่เนี่ย?”

“โอ๊ย ขนาดใช้ฟันกัดก็ยังไม่แตกเลยอ่ะ…”

“วู้ฮู้ แร่หินทั้งหมดนี้เป็นของข้าแล้ว…”

หลินเป่ยเฉินกระโดดลงไปนอนเกลือกกลิ้งอยู่บนกองแร่หินบูชา เขานำแร่หินขึ้นมาถูกับใบหน้า นำขึ้นมาใช้ลิ้นเลีย นำขึ้นมาใช้ฟันแทะ และยังคงใช้มัน…

ทำทุกอย่างที่เด็กหนุ่มจะจินตนาการได้

พอดีกว่า

เจียงจี้หลิวเบือนหน้าหนีออกมาและบอกตัวเองว่าเขาเห็นมากเกินไปแล้ว

หลังจากนั้นอึดใจใหญ่ หลินเป่ยเฉินถึงได้เลิกตื่นเต้นกับความร่ำรวยของตนเอง

ต่อให้หลินเป่ยเฉินจะรู้มานานแล้วว่าแร่หินบูชาทุกก้อนที่อยู่ในเหมืองแห่งนี้คือของเขา แต่สิ่งที่เคยจินตนาการเอาไว้ มันก็เทียบไม่ได้เลยกับความเป็นจริงเมื่อได้มาพบเห็นกับสองตาของตนเอง…

ตัวอย่างเช่น ทุกคนรู้ดีว่าหลิวอี้เฟยเป็นยอดหญิงงามแห่งเมืองจีน แต่เมื่อได้มาพบกับหลิวอี้เฟยตัวจริงในระยะประชิด ทุกคนก็ต้องตกตะลึงไปกับความสวยงามของเธออยู่ดี

“เจ้าเห็นแล้วใช่ไหมว่าข้ามีความร่ำรวยขนาดไหน”

หลินเป่ยเฉินลุกขึ้นมานั่งบนก้อนหินบูชาขนาดใหญ่ก้อนหนึ่ง และพูดต่อด้วยลักษณะวางมาด “เจ้าจะไม่ลองคิดถึงการร่วมกลุ่มของข้าดูหน่อยหรือไง หุหุ อย่างน้อยเรื่องการนำแร่หินบูชาไปเพิ่มพลังให้ตนเองในอนาคตหลังจากนี้ เจ้าก็ไม่ต้องเป็นกังวลอีกต่อไปแล้ว”

“กลุ่มของเจ้าอย่างนั้นหรือ?”

เจียงจี้หลิวถามด้วยความไม่เข้าใจ

“กลุ่มอะไร?”

และคำถามนี้ก็ทำเอาหลินเป่ยเฉินไม่รู้จะตอบอย่างไรเช่นกัน

นั่นสินะ

กลุ่มของเขาคือกลุ่มอะไรกันล่ะ?

หลินเป่ยเฉินเคยมีความคิดที่จะอยู่เงียบๆ ไม่สร้างชื่อเสียงกลายเป็นผู้โด่งดัง

แน่นอนว่าเขาย่อมไม่อยากสังกัดอยู่สำนักพรรคใดให้วุ่นวาย รวมถึงเรื่องที่ว่าหลินเป่ยเฉินไม่สามารถเปิดเผยที่มาของพลังที่แท้จริงของตนเองให้ผู้อื่นรับทราบได้เด็ดขาด เพราะฉะนั้น เขาจะตั้งกลุ่มหรือสำนักของตนเองขึ้นมาไม่ได้เช่นกัน…

ให้ตายสิ เขายังไม่มีกลุ่มเป็นของตัวเองจริงๆ ด้วย

ไม่มีกลุ่มคนเป็นของตนเอง ก็หมายความว่าไม่มีอำนาจ

หลินเป่ยเฉินนิ่งเงียบไปเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็เงยหน้าขึ้นมา ถามคำถามแทงใจดำเจียงจี้หลิว

“ความฝันของเจ้าคืออะไร?”

เจียงจี้หลิวชะงักไปเล็กน้อย

รอยยิ้มเศร้าโศกปรากฏขึ้นบนมุมปาก

เขาส่ายหน้าเล็กน้อยและกล่าวว่า “ด้วยร่างกายเช่นนี้ ข้าคงไม่อาจมีความฝันใดเป็นจริงได้ นอกจากกลับไปอยู่กับมารดาและใช้ชีวิตเยี่ยงสามัญชนไปจนวันตาย”

หลินเป่ยเฉินยกมือนวดขมับตัวเองพร้อมกับพูดว่า “แต่ถ้าข้ามีวิธีสร้างแขนใหม่ให้เจ้าได้ล่ะ?”