ตอนที่ 402 สวรรค์ลิขิตกับมานะคน

วาสนาบันดาลรัก

หลัวจือเจินพูดจบก็กำชายเสื้อตนแน่น สายตามองสีหน้าฮูหยินผู้เฒ่าอย่างระมัดระวัง

 

 

ท่านแม่ใหญ่ตายแล้ว ท่านพ่อก็มิเคยเห็นบุตรสาวเช่นนางอยู่ในสายตาเลย พี่ใหญ่ก็ถูกไล่ออกไปอยู่นอกจวนคิดว่าคงทำผิดอันใดเป็นแน่ นางไม่เหมือนน้องห้า เขาเป็นเด็กผู้ชายทั้งยังเกิดจากภรรยาเอก แค่ทำตัวดีๆ ย่อมต้องมีอนาคตอย่างแน่นอน

 

 

นางอายุจะสิบปีแล้ว การไว้ทุกข์ให้ท่านแม่ใหญ่สามปีนั้น แม้ในความเป็นจริงจะแค่ยี่สิบเจ็ดเดือน แต่เมื่อพ้นช่วงไว้ทุกข์ไปนางก็กลายเป็นสาวน้อยอายุสิบสองสิบสามปีแล้ว ถึงตอนนั้น ผู้ใดจะดูเหลียวแลนางเล่า

 

 

กล่าวไปแล้ว… มีเพียงท่านย่าที่แม้ปกติมิได้ใส่ใจนางเท่าใดนักแต่อย่างน้อยก็ไม่ได้แสดงความรังเกียจนางอย่างชัดเจน สองปีนี้หากนางคอยดูแลเอาใจอาจจะมีอนาคตที่ดีขึ้นมาบ้าง

 

 

สองปีมานี้ที่นางคอยสังเกตดูจึงนับว่าเข้าใจแล้ว หากสตรีผู้หนึ่งอยากมีชีวิตที่สุขสบายก็ต้องเอาใจให้ถูกคน เหมือนพี่สะใภ้ใหญ่กับพี่สะใภ้สามอย่างไรเล่า

 

 

เมื่อเห็นฮูหยินผู้เฒ่ามองมา หลัวจือเจินก็กลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัวพลางลูบเสื้อสีขาวตัวเล็กบนกายตน

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นบัวลอยลูกเล็กบ้างใหญ่บ้างลอยอยู่ในถ้วยกระเบื้อง แต่ทุกลูกนั้นกลมอ้วนยิ่งเห็นชัดว่าตั้งใจทำมากจึงอดยิ้มออกมามิได้แล้วเอ่ยว่า “เจินเจี่ยทำเป็นกระทั่งบัวลอย โตเป็นสาวแล้วจริงๆ”

 

 

ใบหน้าหลัวจือเจินพลันกระจ่างใสขึ้นมา นางยกถ้วยกระเบื้องขึ้น “ท่านย่า ให้หลานป้อนท่านเถิดเจ้าค่ะ”

 

 

คนเราเมื่ออายุมากขึ้นย่อมชอบกินของอ่อนนิ่ม ทั้งวันนี้ยังเป็นเทศกาลโคมไฟ ที่ฮูหยินผู้เฒ่าพูดไปเช่นนั้นตอนอยู่ในงานเลี้ยงฉลองเพียงเพื่อมิให้เจินเมี่ยวต้องตกอยู่ในสถานการณ์อันยากลำบากเท่านั้น แต่เมื่อเห็นหลานสาวทำบัวลอยมาให้ด้วยตนเองเช่นนี้มีหรือจะไม่ดีใจ นางจึงสั่งหงฝูว่า “ไปเอาเก้าอี้ตัวเล็กมาให้คุณหนูสามนั่งเร็วเข้า”

 

 

หงฝูรีบยกเก้าอี้เข้ามาทันที ทั้งยังออกไปหยิบผ้าเช็ดมือมาด้วย “ฮูหยินผู้เฒ่า ล้างมือก่อนเถิดเจ้าค่ะ”

 

 

นางหมุนกายไปคล้ายรีบร้อนอยู่สักหน่อย พลันชนเข้ากับแขนของหลัวจือเจิน

 

 

อย่างไรหลัวจือเจินก็ยังเด็ก เมื่อถูกชนเข้า ถ้วยจึงหล่นลงพื้นเพราะนางมิอาจจับให้มั่นได้

 

 

บัวลอยที่ร้อนจนควันกรุ่นร่วงกระจายเต็มพื้น เลอะรองเท้าและกระโปรงของหลัวจือเจิน ยังมีน้ำแกงร้อนบางส่วนหกลงบนข้อมืออีกด้วย นางจึงร้องขึ้นด้วยความตกใจ

 

 

“บ่าวสมควรตาย ขอฮูหยินผู้เฒ่าลงโทษด้วยเจ้าค่ะ!” หงฝูคุกเข่าลงบนพื้นเสียงดัง

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่าเลิกคิ้วขึ้นด้วยความแปลกใจ

 

 

หงฝูติดตามตนมาหลายปี นางเป็นคนที่สุขุมที่สุด เหตุการณ์เช่นนี้นั้นแทบจะมิเคยเกิดขึ้นเลย

 

 

“เจินเจี่ยถูกลวกแล้วหรือไม่”

 

 

หลัวจือเจินรีบส่ายหน้าทันที “ท่านย่า ข้าไม่เป็นอันใดเจ้าค่ะ น้ำแกงบัวลอยเย็นไปมากแล้วเพราะเดินมาไกลเจ้าค่ะ”

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นว่าข้อมือของหลัวจือเจินมิได้แดงอันใดจึงผ่อนลมหายใจโล่งอก นางมองหงฝูที่คุกเข่าหน้าซีดขาวอยู่บนพื้น สุดท้ายก็ยังคงให้เกียรติสาวใช้ใหญ่ของตนด้วยการเอ่ยเสียงขรึมว่า “ยังไม่รีบพาคุณหนูสามไปเปลี่ยนเสื้อผ้าอีก”

 

 

“เจ้าค่ะ ขอบพระคุณฮูหยินผู้เฒ่าและคุณหนูสามที่มิลงโทษบ่าว” หงฝูรีบลุกขึ้นแล้วเข้าไปประคองหลัวจือเจิน

 

 

หลัวจือเจินโบกมือไปมา นางหมุนกายเดินไปที่โต๊ะ เปิดตะกร้าอาหารแล้วยกถ้วยกระเบื้องที่หน้าตาเหมือนเมื่อครู่ออกมา

 

 

“หลานซุ่มซ่าม กลัวว่าจะทำหกระหว่างทางจึงเตรียมมาอีกถ้วยเจ้าค่ะ”

 

 

หงฝูถึงกับอึ้งไป นางศีรษะต่ำมิกล้าเงยหน้าขึ้น แต่กลับลอบกำมือแน่น

 

 

เมื่อวานต้าไหน่ไหน่มาหานางเพื่อกำชับให้นางระวังเรื่องอาหารการกินของฮูหยินผู้เฒ่า ทั้งยังเน้นย้ำว่าบัวลอยค่อนข้างเหนียว ฮูหยินผู้เฒ่าฟันมิได้ดีเช่นแต่ก่อน หากอยากกินก็ต้องหาวิธีหยุดยั้งให้ได้

 

 

แม้นางจะคิดว่าต้าไหน่ไหน่กังวลเกินไป แต่นางเป็นสาวใช้ หากทำผิดพลาดเพียงก้าวก็มิอาจเรียกสิ่งใดกลับคืนมาได้ ดังนั้นเมื่อเห็นคุณหนูสามยกบัวลอยมาแสดงความกตัญญูฮูหยินผู้เฒ่า นางจึงแข็งใจกระทำเรื่องที่อาจถูกตำหนินี้เพื่อกำจัดบัวลอยถ้วยนั้นเสีย แต่คิดไม่ถึงว่าคุณหนูสามกลับเตรียมมาอีกถ้วย หากนางกระทำการใดอีกเกรงว่าคงมิแค่เพียงถูกตำหนิต่อว่าเป็นแน่

 

 

“ท่านย่า…” หลัวจือเจินประคองถ้วยนั้นขึ้น ในแววตามีความเว้าวอนปรากฏออกมาอย่างไม่รู้ตัว

 

 

นางกลัวมาก เพราะก้าวแรกที่นางเดินกลับเกิดเหตุผิดพลาดเช่นนี้ขึ้น

 

 

นางนึกถึงปีนั้นที่พี่สะใภ้ใหญ่แต่งเข้าจวน นางเป็นคุณหนูน้อยที่ต้องดึงเจ้าสาวออกจากเกี้ยว เดิมเป็นเรื่องที่มีเกียรติยิ่งแต่เพราะพี่สะใภ้ใหญ่มิให้ความร่วมมือจึงทำให้นางต้องอับอายขายหน้า การเป็นบุตรของอนุนั้น จะทำเรื่องใดให้สำเร็จล้วนต้องยากลำบากถึงเพียงนี้เชียวหรือ

 

 

น้ำตาค่อยๆ เอ่อคลอขึ้นในดวงตาของนาง ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นแล้วก็ลอบถอนหายใจ แล้วเอ่ยว่า “หงฝู วันนี้เจ้าเป็นอันใด มัวเหม่ออยู่ได้ยังไม่รีบทำความสะอาดพื้นอีก”

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่าพูดพลางกวักมือเรียกหลัวจือเจิน “มา ให้ย่าชิมฝีมือของเจินเจี่ยทีว่าเป็นอย่างไรบ้าง”

 

 

หลัวจือเจินเผยรอยยิ้มสดใสออกมา นางประคองถ้วยด้วยความระมัดระวัง ทั้งยังเดินอ้อมหงฝูไปไกล หลัวจือเจินใช้ช้อนตักบัวลอยลูกหนึ่งป้อนเข้าปากฮูหยินผู้เฒ่า

 

 

บัวลอยที่นางตักนั้นไม่ใหญ่และไม่เล็ก ฮูหยินผู้เฒ่าอยากจะให้หลานดีใจจึงกินเข้าไปทั้งลูก

 

 

ผู้ใดจะทราบว่าเหตุไม่คาดฝันจะมารวดเร็วปานนี้

 

 

รอยยิ้มของฮูหยินผู้เฒ่าพลันหายไป นางกุมลำคอเพราะหายใจไม่ออก ไม่นานใบหน้าก็เปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำ

 

 

ถ้วยในมือหลัวจือเจินพลันร่วงลงพื้น

 

 

หงฝูกำลังก้มทำความสะอาดพื้นอยู่ ครั้นได้ยินเสียงเอะอะจึงเงยหน้าขึ้น นางเห็นท่าทางของฮูหยินเฒ่าแล้วก็ตกใจจนใบหน้างามถอดสี นางจึงตะโกนว่า “แม่นมหยาง หงสี่ มาช่วยกันเร็ว บัวลอยติดคอฮูหยินผู้เฒ่า…”

 

 

สาวใช้ที่อยู่ห้องด้านข้างจึงรีบวิ่งเข้ามา แต่แม่นมหยางเข้ามาถึงก่อน เมื่อเห็นท่าทางของฮูหยินผู้เฒ่า หน้าก็เปลี่ยนสีไปทันที แล้ววิ่งเข้าไปหาฮูหยินผู้เฒ่าพลางถามว่า “เกิดอันใดขึ้น”

 

 

หงฝูเอ่ยเสียงสั่นเครือว่า “ฮูหยินผู้เฒ่ากินบัวแล้วติดคอเจ้าค่ะ!”

 

 

“ยังไม่รีบไปเรียกท่านหมออีก!” แม่นมหยางร้องใส่สาวใช้ที่อยู่ไม่ไกลนัก ส่วนมือก็มิได้ว่าง นางพยุงฮูหยินผู้เฒ่าไว้พลางตบหลังให้

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากินบัวลอยไปเพียงคำเดียวก็ติดคอ จะกลืนก็มิได้จะคายก็มิออก จากหน้าเขียวก็เริ่มเปลี่ยนเป็นสีม่วง ได้ยินเพียงเสียงฮึดฮัดที่พยายามจะหายใจของนาง

 

 

หลัวจือเจินตกใจจนอึ้งงันไป ยามนี้จึงมีสติคืนมา นางถอยหลังไปหลายก้าว ปิดปากตนแล้วรีบวิ่งหนีไป

 

 

ภายในห้องเกิดความโกลาหลขึ้นเช่นนี้ ย่อมไม่มีผู้ใดสนใจนาง

 

 

คนผู้หนึ่งพลันวิ่งชนเข้าที่อกของเจินเมี่ยวขณะนางกำลังจะเดินเข้าไปในบริเวณเรือน เมื่อเห็นว่าเป็นหลัวจือเจินก็อดเอ่ยถามมิได้ “เจินเจี่ย เป็นอันใดหรือ”

 

 

หลัวจือเจินกลับไม่มองเจินเมี่ยวสักนิด นางผลักเจินเมี่ยวแล้ววิ่งหนีไป

 

 

เจินเมี่ยวหน้าเปลี่ยนสีทันที พลันรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องจึงรีบเดินเข้าไปในเรือน เมื่อเห็นสถานการณ์ในห้องแล้วก็อดตกใจมิได้

 

 

“แม่นมหยาง ข้าเอง!”

 

 

ยามนี้เวลาทุกขณะล้วนมีค่ายิ่ง ในหัวเจินเมี่ยวขาวโพลนไปหมด นางผลักแม่นมหยางออกอย่างไม่มีเวลาแม้จะคิดสิ่งใด แล้วโอบรอบเอวฮูหยินผู้เฒ่าไว้จากด้านหลัง ส่วนมือก็กำมือแน่นจ่อไว้บริเวณท้อง แล้วใช้แรงกระทุ้งที่ท้องด้วยความรวดเร็ว

 

 

หงสี่ตกใจยิ่งจึงเข้าไปห้าม “ต้าไหน่ไหน่ ท่านจะทำอันใด ทำเช่นนี้ฮูหยินผู้เฒ่าอาจจะ….”

 

 

เจินเมี่ยวยกเท้าขึ้นถีบหงสี่กระเด็นไปไกล​ “หุบปาก!”

 

 

มือนางก็มิได้หยุด ยังคงทำเช่นเดิมซ้ำๆ หงสี่คิดจะเข้าไปห้ามอีกแต่กลับถูกหงฝูดึงไว้

 

 

ไม่รู้เหตุใด ยามนี้หงฝูจึงรู้สึกเชื่อในตัวเจินเมี่ยวอย่างที่มิอาจอธิบายได้

 

 

เวลานี้เองจึงได้ยินเสียง ‘อ๊อก’ ดังขึ้น เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าอ้าปาก บัวลอยก้อนกลมก็กระเด็นออกมาทันที

 

 

เจินเมี่ยวถอนหายใจออกมาดั่งคนสิ้นแรง เหงื่อไหลซึมไปทั่วกาย นางถอยหลังไปนั่งลงเก้าอี้ตัวเตี้ยอย่างหมดแรง

 

 

แม่นมหยางประคองฮูหยินผู้เฒ่าไว้แล้วพึมพำไม่หยุดว่า “ขอบคุณสวรรค์ๆ”

 

 

เวลานี้เองหมอประจำจวนก็มาถึง จึงได้จัดการเรื่องราวต่อจากนี้

 

 

ครั้นเจินเมี่ยวเริ่มมีแรงกลับมาจึงถามหงฝูว่า “เกิดเรื่องใดขึ้น”

 

 

เจินเมี่ยวอยู่ในเรือนตนด้วยความรู้สึกกังวล เมื่อนางครุ่นคิดถึงตำราอุบัติเหตุที่เคยได้อ่าน คนมากมายที่คาดว่าจะเกิดเรื่อง แม้คิดวิธีหลบเลี่ยงนับร้อยวิธี สุดท้ายก็มักพบกับโชคร้ายเพียงชั่วเวลาสั้นๆ จึงหวาดหวั่นใจขึ้นมา

 

 

มิต้องพูดถึงคำฝากฝังของซื่อจื่อเลย นางแต่งเข้ามาอยู่ที่นี่สามปีแล้ว ต่อให้ตอนนี้ฮูหยินผู้เฒ่าจะมีอคติต่อนางอยู่บ้าง แต่ความรู้สึกที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นในแต่ละวันนั้นกลับมิใช่เรื่องหลอกลวง หากฮูหยินผู้เฒ่าเกิดเรื่องใดขึ้น นางคงโทษตัวเองไปตลอดชีวิต เช่นนั้นนางยินดีที่จะป้องกันอย่างเอาเป็นเอาตายมากกว่าต้องเสียใจในภายหลัง

 

 

เจินเมี่ยวคิดไว้แล้วว่าวันนี้จะขอหน้าหนาสักครา อย่างมากก็แค่บอกว่าซื่อจื่อไม่อยู่ นางต้องฉลองเทศกาลโคมไฟคนเดียวรู้สึกเศร้าใจยิ่ง จึงจะมาขอนอนที่เรือนฮูหยินผู้เฒ่าสักคืน แต่คิดไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องกับฮูหยินผู้เฒ่ารวดเร็วเพียงนี้

 

 

“คุณหนูสามยกบัวลอยมาแสดงความกตัญญูกับฮูหยินผู้เฒ่า ผู้ใดจะทราบว่าฮูหยินผู้เฒ่ากินไปได้เพียงคำเดียวก็เกิดติดคอเสียแล้วเจ้าค่ะ” หงฝูร้องไห้น้ำตานองหน้า หากเกิดเรื่องกับฮูหยินผู้เฒ่าจริงๆ พวกนางที่เป็นสาวใช้คนสนิทคงต้องตามไปคอยรับใช้ในปรโลกเป็นแน่

 

 

เจินเมี่ยวกวาดตามมองหงฝูด้วยสายตาดุดันคราหนึ่ง

 

 

หงฝูรู้ดีว่าเจินเมี่ยงโมโหอันใด จึงกัดฟันเอ่ยว่า “วันนี้ช่างบังเอิญยิ่งเจ้าค่ะ บ่าวไม่ระวังชนเข้ากับคุณหนูสามทำให้บัวลอยที่คุณหนูสามนำมาหกกระจายเต็มพื้น แต่ผู้ใดจะทราบว่าคุณหนูสามกลับนำมาด้วยถึงสองถ้วย…”

 

 

เจินเมี่ยวจึงรู้ความเป็นมาเป็นไปของเรื่องราวทั้งหมดแล้ว เมื่อคิดถึงหลัวเทียนเฉิงที่วิ่งออกไปด้วยน้ำตานองหน้า นางก็หน้าเปลี่ยนสีไปทันทีพลางร้องเสียงสูงขึ้นว่า “พวกเจ้ารีบออกไปตามหาคุณหนูสามเร็วเข้า!”

 

 

สาวใช้ทุกคนถูกเจินเมี่ยวสั่งให้ออกไปตามหาคุณหนูสามทั้งสิ้น ยกเว้นแม่นมหยาง​ หงฝูและหงสี่ที่ต้องคอยอยู่ดูแลฮูหยินผู้เฒ่า เจินเมี่ยวครุ่นคิดไปมาก็ยังมิวางใจจึงสั่งชิงเกอและเชวี่ยเอ๋อร์ว่า “พวกเจ้าก็ไปตามหาด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะริมสระน้ำ หุบเขาจำลอง เรือนเพาะชำและที่ลับตาคน”

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่าคายบัวลอยออกมาได้แล้วจึงมิได้เป็นอันใดมาก เพียงแต่อายุมาก เมื่อต้องทนทรมานกับเหตุการณ์เมื่อครู่จึงผล็อยหลับไปเรียบร้อยแล้ว

 

 

รอจนทุกคนไปหมดแล้ว เจินเมี่ยวจึงหันไปเอ่ยกับแม่นมหยางว่า “ต่อไปคงต้องให้แม่นมหยางช่วยดูแลมากขึ้นอีกสักหน่อย ท่านย่าอายุมากแล้ว ดีที่สุดควรงดของกินที่ทำจากข้าวเหนียว หงฝู หงสี่คงมิกล้าเอ่ยปราม แต่วาจาของท่าน ท่านย่าคงยังต้องฟังบ้าง”

 

 

แม่นมหยางพยักหน้าติดๆ กัน “เป็นข้าเองที่สะเพร่า”

 

 

นางเกิดสงสัยขึ้นมาในใจ วันนี้ในงานเลี้ยงฉลองก็มิเห็นแม้แต่เงาของบัวลอยสักถ้วย หรือต้าไหน่ไหน่จะทราบล่วงหน้าแล้ว

 

 

โชคดีเหลือเกินที่มีนาง ฮูหยินผู้เฒ่าจึงไม่เป็นอันใด รอฮูหยินผู้เฒ่าตื่นขึ้นมาแล้ว เกรงว่าอคติเล็กๆ ที่มีต่อต้าไหน่ไหน่คงหายไปไม่เหลือร่องรอยเป็นแน่

 

 

หงฝูเองก็แปลกใจเช่นกัน สายตาที่มองเจินเมี่ยวจึงเต็มไปด้วยความนับถือระคนสงสัย

 

 

เวลานี้เองสาวใช้ผู้หนึ่งจึงวิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อน “ต้าไหน่ไหน่ แย่แล้ว เกิดเรื่องขึ้นกับคุณหนูสามเจ้าค่ะ”

 

 

เจินเมี่ยวพลันใจหายวาบขึ้น “คุณหนูสามเป็นอันใดไป”

 

 

สาวใช้วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาแล้วเอ่ยรายงานด้วยอาการหอบหายใจ​ “คุณหนูสามกระโดดลงไปในสระน้ำเจ้าค่ะ แต่โชคดีที่แม่นางเชวี่ยเอ๋อร์ช่วยขึ้นมาได้ ตอนนี้คุณหนูหมดสติยังไม่ฟื้นเจ้าค่ะ!”

 

 

เจินเมี่ยวได้แต่สบถอยู่ในใจ เคยพบคนที่ชอบก่อเรื่องวุ่นวาย แต่มิเคยพบคนที่ชอบก่อความวุ่นวายถึงเพียงนี้!

 

 

นางลุกขึ้นแล้วเอ่ยว่า “แม่นมหยางช่วยดูแลท่านย่าด้วย ข้าจะไปดูคุณหนูสามสักหน่อย”

 

 

เจินเมี่ยวจากไปไม่นาน ฮูหยินผู้เฒ่าก็ฟื้น หลังจากได้ยินเรื่องราวทั้งหมดก็ขอบตาแดงเรื่อขึ้นมาทันที “หลานสะใภ้ใหญ่เล่า”