ตอนที่ 403 เมื่อเกศาข้ายาวถึงเอว

วาสนาบันดาลรัก

“ต้าไหน่ไหน่ไปดูคุณหนูสามเจ้าค่ะ” แม่นมหยางเข้าไปกระซิบเล่าเรื่องของหลัวจือเจินให้นางฟัง

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่าถึงกับหน้าเปลี่ยนสี สุดท้ายก็ถอนหายใจออกมา “เป็นเพราะบุตรชายตัวดีของข้าแท้ๆ ที่ก่อเรื่อง! รักใคร่อนุละทิ้งภรรยาเป็นบ่อเกิดของความวุ่นวายโดยแท้!”

 

 

แม่นมหยางก็พลอยถอนหายใจแผ่วเบาไปด้วย

 

 

ยามนี้แม้จวนกั๋วกงจะมีชื่อเสียงมากขึ้นทุกวัน แต่บ้านรองกลับมีเค้าลางว่าจะพังทลายเสียแล้ว

 

 

นางเถียนจากไป ทิ้งคุณชายห้าที่อายุยังน้อย คุณหนูสามและคุณชายแปดที่ยังแบเบาะไว้ เมื่อไม่มีมารดาผู้คอยดูแลจัดการบ้านเรือน ทุกอย่างย่อมไม่มีอันใดดีได้ ฮูหยินผู้เฒ่าอายุมากแล้วคงมิอาจนำมาเลี้ยงดูแลได้หมด

 

 

“ตามหลักแล้วนางเถียนมีบุตรชายสามคน บุตรสาวอีกหนึ่งให้แก่ตระกูลเรา สามีควรต้องไว้ทุกข์ให้นางสามปี แต่จากสภาพตอนนี้คงทำเช่นนั้นมิได้แล้ว รอให้เขาไว้ทุกข์ครบหนึ่งปีก็รีบหาภรรยาใหม่แต่งเข้าจวนเถิด ข้าอายุมากแล้ว ไม่รู้ว่าจะจากไปเมื่อใดจึงมิอาจให้ลูกหลานทั้งหลายต้องพลอยลำบากไปด้วย แม่นมหยาง เจ้าเป็นผู้มีหูตากว้างไกล ช่วยข้าดูสักหน่อยเถิด อายุมากก็มิเป็นไรขอเพียงอุปนิสัยดี สุขุมรอบคอบเป็นพอ”

 

 

ที่กล่าวมาย่อมรวมไปถึงหญิงหม้ายสามีตายและหย่าร้างด้วย

 

 

ต้าโจวในเวลานี้มิได้ปิดกั้นสตรีหม้ายมิให้แต่งงานใหม่อีกแล้ว แต่ตระกูลใหญ่เช่นจวนเจิ้นกั๋วกงย่อมพิถีพิถันเรื่องนี้อยู่สักหน่อย จึงน้อยนักจะยอมรับหญิงหม้าย ทว่าหลังจากที่ฮูหยินผู้เฒ่าได้ไปเยือนประตูผีมาแล้วคราหนึ่งจึงคิดได้ ชีวิตมิใช่มีไว้เพื่อให้ผู้อื่นดูเพียงอย่างเดียว อันดับแรกควรต้องดูความเหมาะสมจึงจะถูก

 

 

แม่นมหยางพยักหน้ารับ

 

 

เจินเมี่ยวไปยังห้องที่หลัวจือเจินนอนพักอยู่ เมื่อเข้าไปก็เห็นนางนอนอยู่บนเตียง ใบหน้าเล็กที่ขาวราวหิมะซ่อนอยู่ใต้ผ้าห่ม เส้นผมดำขลับยังคงเปียกชุ่มแผ่สยายปานสาหร่ายทำให้นางยิ่งดูน่าสงสารมากขึ้นไปอีก

 

 

“ต้าไหน่ไหน่” สาวใช้ภายในห้องรีบทำความเคารพ

 

 

เจินเมี่ยวกวาดตามองภายในห้องแล้วถามว่า “ชิงเกอกับเชวี่ยเอ๋อร์เล่า”

 

 

สาวใช้อีกผู้หนึ่งจึงรีบตอบว่า “พี่เชวี่ยเอ๋อร์กระโดดลงน้ำเปียกไปทั้งตัว พี่ชิงเกอแบกคุณหนูสามมา เสื้อผ้าก็เปียกเช่นกันจึงต่างไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเจ้าค่ะ”

 

 

เจินเมี่ยวจึงผ่อนลมหายใจออกมาแผ่วเบา ทั้งสองต่างเป็นสาวใช้ที่ติดตามนางมานาน หากเกิดเรื่องใดขึ้นนางคงเสียใจไม่น้อย

 

 

เจินเมี่ยวเดินเข้าไปนั่งอยู่ข้างเตียง เมื่อเห็นหลัวจือเจินปิดตาแน่น ขนตาไหวระริกเล็กน้อยจึงรู้ว่านางฟื้นแล้วเพียงแต่แสร้งหลับเท่านั้น

 

 

“พวกเจ้าออกไปก่อนเถิด”

 

 

กระทั่งบรรดาสาวใช้ออกไปจนหมด เจินเมี่ยวจึงถอนหายใจออกมาแล้วเอ่ยว่า “เจินเจี่ย เจ้าฟื้นแล้วกระมัง”

 

 

หนังตาหลัวจือเจินสั่นระริกคราหนึ่งแต่ยังคงนิ่งเงียบ

 

 

“เจ้าเองก็มิใช่เด็กน้อยแล้ว หากคิดว่าทำเช่นนี้จะสามารถหนีปัญหาได้ เช่นนั้นข้าคงไม่มีอันใดจะพูด ข้าไปแล้ว” เจินเมี่ยวลุกขึ้น เสียงกำไลกระทบกันเกิดเป็นเสียงไพเราะน่าฟัง

 

 

หลัวจือเจินพลันลืมตาขึ้น นางลุกนั่งเอามือกอดเข่าตัวสั่นงันงก “ข้า…ข้าทำให้ท่านย่า…ข้ามิอาจมีชีวิตอยู่ต่อไปได้…”

 

 

นางร้องไห้กระซิกๆ น้ำมูกน้ำตาไหลเป็นทางอย่างไม่ไยดีภาพลักษณ์สักนิด “ข้าแค่อยากจะเอาใจให้ท่านย่ามีความสุข เหตุใดจึงต้องพบเจอเรื่องเช่นนี้ด้วย ช้ารู้ว่าข้าเป็นเพียงบุตรที่เกิดจากอนุไม่ควรเอาตนไปเทียบกับบรรดาพี่สาว แต่ข้าแค่อยากมีชีวิตที่ดีเท่านั้น มิเคยคิดทำร้ายใคร เหตุใดต้องมาพบเจอเรื่องเช่นนี้ด้วยเล่า…”

 

 

“ท่านย่าไม่เป็นอันใดแล้ว”  แม้ปกติจะมิได้ยุ่งเกี่ยวอันใดกับหลัวจือเจินนัก แต่เมื่อเจินเมี่ยวเห็นนางร้องไห้อย่างหนักกลับอดสงสารขึ้นมามิได้

 

 

การอยากมีชีวิตที่ดีโดยมิได้เบียดเบียนใคร แค่ปรารถนาชีวิตที่ดีขึ้นนั้นมีอันใดผิดเล่า การต้องพบเรื่องเช่นนี้ของฮูหยินผู้เฒ่าก็คงพูดได้เพียงว่า ลิขิตสวรรค์คือมีดเชือดสุกร พบเนื้อชิ้นใดถูกใจย่อมต้องหามือที่สามารถจับมีดเล่มนั้นจนได้

 

 

“ท่านย่าไม่เป็นอันใดจริงๆ หรือ” หลัวจือเจินผุดลุกขึ้นมาตรงหน้าเจินเมี่ยวทันที

 

 

“ท่านย่าคายบัวลอยออกมาแล้ว”

 

 

“ดีเหลือเกิน” หลัวจือเจินยิ้มทั้งน้ำมูกน้ำตาแล้วร้องไห้ออกมาอีกด้วยความดีใจ นางร้องไห้อยู่นานแล้วค่อยๆ​ ตัวแข็ง เงียบเสียงลงในที่สุด

 

 

 หลังจากนั้นครู่ใหญ่จึงเอ่ยเสียงแผ่วออกมา​ “ต่อไปท่านย่าคงต้องเกลียดข้ามากใช่หรือไม่” นางก้มหน้างุด มิได้มองเจินเมี่ยวเลย

 

 

“อาจจะเกลียด”

 

 

เจินเมี่ยวมิได้เอ่ยปลอบใจอย่างคนส่วนใหญ่

 

 

หลัวจือเจินพลันเงยหน้าขึ้นสบตาเจินเมี่ยว

 

 

“หรืออาจจะไม่เกลียด”

 

 

หลัวจือเจินงุนงงขึ้นมา แต่กลับทำให้ลืมความเสียใจเมื่อครู่ไปได้ “ความหมายของท่านคือ…”

 

 

เจินเมี่ยวยื่นมือออกมา ตบบ่าหลัวจือเจิน “ความคิดของผู้อื่น ใครจะรู้เล่า แต่สำหรับเจ้าแล้ว การที่ท่านย่าปลอดภัย ทุกอย่างก็มิใช่ดีกว่าที่เจ้าเคยคิดไว้ในตอนแรกมากแล้วหรอกหรือ”

 

 

หลัวจือเจินอึ้งไปครู่หนึ่ง

 

 

ใช่แล้ว หากท่านย่าเกิดเป็นอันใดขึ้นมาจริงๆ เกรงว่านางคงมีแต่ต้องตายสถานเดียว ทว่ายามนี้สิ่งที่ยากลำบากที่สุดของนางก็มีเพียงความคิดของท่านย่าที่มีต่อนางเท่านั้น

 

 

หากเทียบกันแล้ว เรื่องนี้นับเป็นอันใดได้เล่า

 

 

ใจของนางพลันเข้าใจขึ้นมาแทบจะในทันที ความรู้สึกเศร้าโศกสิ้นหวังหายไปไม่น้อย ท่าทีสีหน้าที่ควรจะมีในวัยสาวน้อยแรกแย้มจึงคืนกลับมาหลายส่วน

 

 

เจินเมี่ยวเห็นนางคิดได้แล้วก็เม้มปากผลิยิ้ม

 

 

นางถูกลักพาตัวไปแต่กลับมาได้ สถานการณ์ของนางก็มิได้ดีไปกว่าหลัวจือเจินเลยว่าหรือไม่

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่าอาจจะรังเกียจนางหรือไม่รังเกียจนาง แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ดีกว่าการที่นางต้องเสียชื่อเสียงและตายอยู่นอกจวนเงียบๆ เป็นไหนๆ

 

 

เมื่อคิดได้เช่นนี้แล้วเหตุใดนางต้องมากลัดกลุ้มหน้านิ่วคิ้วขมวดด้วยเล่า

 

 

“เอาล่ะ ข้าจะกลับไปดูท่านย่าแล้ว เจ้าพักผ่อนให้มาก รอแข็งแรงแล้วก็ค่อยไปน้อมทักทายท่านย่า”

 

 

เจินเมี่ยวลุกขึ้น นางยิ้มให้กับหลัวจือเจินแล้วเดินออกไป

 

 

“ต้าไหน่ไหน่มาแล้วเจ้าค่ะ”

 

 

“รีบเชิญนางเข้ามา”

 

 

เมื่อเจินเมี่ยวเดินเข้าไปก็อดยิ้มออกมามิได้ “ท่านย่าฟื้นแล้วหรือเจ้าคะ”

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ารู้สึกผิดขึ้นมาในใจเล็กน้อยจึงกวักมือเรียกเจินเมี่ยว “หลานสะใภ้ เจ้ามานั่งข้างๆ ย่าเร็ว”

 

 

เจินเมี่ยวเดินเข้าไปนั่งลงข้างๆ ตามคำของฮูหยินผู้เฒ่า

 

 

“พวกเจ้าออกไปเถิด”

 

 

บรรดาสาวใช้ทั้งหลายต่างออกไปหมด เหลือเพียงแม่นมหยางและหงฝูที่อยู่คอยปรนนิบัติ

 

 

“หลานสะใภ้ ช่วงเวลาที่ผ่านมานี้เจ้าคงทุกข์ใจไม่น้อย”

 

 

เจินเมี่ยวกะพริบตาปริบๆ “ท่านย่าพูดอันใดหรือเจ้าคะ”

 

 

นางคิดครู่หนึ่งก็พลันเข้าใจทันที “ท่านหมายถึงต้าหลังใช่หรือไม่ เขาเคยบอกข้าว่าจะรีบกลับมาในเร็ววันอย่างแน่นอน ข้าไม่ทุกข์ใจเจ้าค่ะ แค่รู้สึก…คิดถึงเขาเท่านั้น”

 

 

เมื่อเห็นเจินเมี่ยวหน้าแดง ใจของฮูหยินผู้เฒ่าก็เต็มไปด้วยความสงสาร

 

 

นางชอบนางเจินตรงที่เป็นคนเปิดเผยมีสิ่งใดก็พูดสิ่งนั้น หลานชายที่นางเลี้ยงมากับมือย่อมต้องควรค่าให้สตรีทั้งหลายคิดถึงอยู่ไม่รู้คลายเป็นธรรมดา

 

 

หลานสะใภ้เป็นคนซื่อๆ จึงยังมิทันรับรู้ได้ถึงท่าทีห่างเหินเฉยชาของนาง แต่ก็เป็นเรื่องดียิ่ง จะได้มิต้องเกิดความรู้สึกกระอักกระอ่วนต่อกัน ตั้งแต่นี้นางจะไม่คิดมากอีก ขอเพียงพวกเขาทั้งสองอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขย่อมดีกว่าสิ่งใดๆ ทั้งสิ้น

 

 

“หลานสะใภ้ ย่าสามารถพ้นจากประตูผีมาได้ในครั้งนี้เป็นเพราะเจ้าแท้ๆ”

 

 

“ท่านย่าไม่เป็นอันใดต่างหากจึงเป็นโชคของพวกเราทุกคนเจ้าค่ะ”

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ามองแม่นมหยางคราหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “หลานสะใภ้ เหตุใดเจ้าจึงคิดว่าหากย่ากินบัวลอยแล้วจะติดคอเล่า”

 

 

หลังจากที่ฮูหยินผู้เฒ่าฟื้นขึ้นมา นางครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ทั้งหมดจึงเข้าใจท่าทีแปลกๆ ของหงฝู เมื่อเอ่ยปากถามหงฝูก็มิได้ปิดบัง นางเล่าถึงวาจาที่เจินเมี่ยวกำชับนางไว้ให้ฟังจนหมด

 

 

ครานี้ฮูหยินผู้เฒ่าไม่เพียงแต่ซาบซึ้งใจต่อเจินเมี่ยว แต่ยังแปลกใจมากอีกด้วย

 

 

เจินเมี่ยวคาดไว้แล้วว่าฮูหยินผู้เฒ่าต้องถามเช่นนี้ นางจึงเม้มริมฝีปากคราหนึ่งแล้วตอบว่า “ข้ากลัวพูดไปแล้วจะถูกหัวเราะเยาะเจ้าค่ะ”

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่าใช้สายตาตำหนินางคราหนึ่ง “เจ้าช่วยชีวิตย่าไว้ ผู้ใดกล้าหัวเราะเยาะ ย่าจะจัดการมันเป็นคนแรก!”

 

 

เจินเมี่ยวจึงเล่าว่า “ก่อนถึงเทศกาลโคมไฟหนึ่งวัน ข้าฝันถึง…ท่านย่า…”

 

 

นางเอ่ยถึงตรงนี้ก็หยุดไป

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่าพลันหน้าเปลี่ยนสีไปทันที จึงอดพูดต่อมิได้ว่า “ฝันว่าข้ากินบัวลอยแล้วติดคองั้นหรือ”

 

 

เจินเมี่ยวพยักหน้า

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่าอดมองแม่นมหยางคราหนึ่งมิได้ แม่นมหยางมีสีหน้าประหลาดใจอย่างยากจะปิดบัง

 

 

“ข้าก็รู้สึกว่ามันเหลวไหลยิ่ง แต่ภาพในฝันนั้นเหมือนจริงยิ่ง ข้ากลัวเหลือเกินจึงคิดหาวิธีขัดขวางมิให้ท่านย่ากินบัวลอยเจ้าค่ะ”

 

 

ฝันเป็นลาง…นี่มิใช่เรื่องที่ไม่เคยได้ยิน ฮูหยินผู้เฒ่าจึงเชื่อและถามอีกว่า “เช่นนั้นเจ้ายังฝันถึงอันใดอีกบ้าง”

 

 

“ฝันถึงอันใดอีกบ้าง?” เจินเมี่ยวอึ้งไป

 

 

แย่แล้ว นางแต่งเรื่องมาเพียงแค่นี้เท่านั้น ยังฝันถึงอันใดอีกเล่า

 

 

เมื่อเห็นฮูหยินผู้เฒ่า แม่นมหยางและหงฝูต่างกลั้นหายใจ รอคำตอบจากนางด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เจินเมี่ยวจึงพลันนึกขึ้นได้แล้วเอ่ยออกไปว่า “ยังฝันถึงซื่อจื่อด้วยเจ้าค่ะ”

 

 

“ต้าหลังเป็นอันใด” ครานี้ฮูหยินผู้เฒ่านั่งไม่ติดที่เสียแล้ว นางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงร้อนรน

 

 

เจินเมี่ยวตกใจกับท่าทีของฮูหยินผู้เฒ่ายิ่ง นางจึงคิดได้ว่าเพราะซื่อจื่อไปรบนั่นเอง มิน่าเล่าฮูหยินผู้เฒ่าฟังแล้วถึงร้อนใจขึ้นมา

 

 

เมื่อคิดได้เช่นนี้นางจึงเกิดความคิดหนึ่งขึ้น “ข้าฝันว่าหลังจากท่านย่าเกิดเรื่อง ต้าหลังก็กลับมาร่วมไว้อาลัย เพราะขาดแม่ทัพ การรบที่กำลังจะชนะอยู่แล้วกลับแพ้ไม่เป็นท่า ทำให้กองทัพชิงเป่ยยึดเมืองเป่ยปิงไปได้…”

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่าถอนใจยาวออกมาด้วยความโล่งอก “ขอบคุณฟ้าดิน”

 

 

เมื่อนางสงบใจลงได้และครุ่นคิดครู่หนึ่ง ประกายตาก็สว่างวาบขึ้นมา “หลานสะใภ้ เจ้าหมายความว่าต้าหลังไปรบครานี้จะชนะงั้นหรือ”

 

 

เจินเมี่ยวเผยอปากขึ้นแล้วหุบลง

 

 

ท่านย่า หากท่านยังถามต่อไปอีก ข้าคงต้องทึ้งผมตนเองแล้ว!

 

 

ภายใต้สายตาเฝ้ารอของฮูหยินผู้เฒ่า เจินเมี่ยวจึงแข็งใจพยักหน้ารับ “ซื่อจื่อเกิดมาเพื่อเป็นแม่ทัพโดยแท้เจ้าค่ะ”

 

 

จากวาจาของซื่อจื่อคิดว่าชาติก่อนเขาคงเคยออกรบมาแล้วเป็นแน่ เขาน่าจะทำได้ไม่เลวเลย นางเอ่ยเช่นนี้คงมินับว่าพูดจาเหลวไหลกระมัง

 

 

“ใช่ๆ ฝูเฟิงเจินเหรินยังบอกด้วยว่าต้าหลังคือดาวพั่วจวินที่จะมากอบกู้สถานการณ์ครั้งนี้”

 

 

แม่นมหยางจึงเอ่ยเย้าขึ้นว่า “ซื่อจื่อคือดาวพั่วจวิน เช่นนั้นต้าไหน่ไหน่คงเป็นดาวนำโชคของซื่อจื่อแล้วเจ้าค่ะ”

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่าพลันเกิดความคิดบางอย่างขึ้นในใจ กระทั่งเจินเมี่ยวกลับไปแล้ว นางจึงเอ่ยกับแม่นมหยางว่า “ข้าคิดว่าหลานสะใภ้ใหญ่คงเป็นคนมีบุญวาสนาจริงๆ อย่างไรก็รอข่าวจากทางเหนือก่อนแล้วกัน หากต้าหลังรบชนะจริง ข้าก็มีความคิดหนึ่งอยู่ในใจแล้ว

 

 

 ”

 

 

ส่วนที่ว่าเป็นความคิดอันใดนั้น ฮูหยินผู้เฒ่ากลับมิได้พูดออกมา

 

 

เมื่อเจินเมี่ยวกลับถึงเรือนชิงเฟิงก็ไปดูชิงเกอกับเชวี่ยเอ๋อร์ก่อนจึงกลับห้องตน

 

 

นางครุ่นคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้และวาจาปั้นแต่งที่พูดไปในช่วงเวลาคับขันนั้นแล้วกลับมิอาจจัดการกับความคิดถึงที่มีต่อหลัวเทียนเฉิงได้ นางรู้สึกเหมือนมีวาจามากมายที่อยากจะพูดกับเขา

 

 

เจินเมี่ยวหยิบพู่กันขึ้นแล้วเขียนเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นในวันนี้ แต่ต่อมาก็คิดได้ว่าเกิดสงครามขึ้นเช่นนี้ ไม่มีอันใดแน่นอน หากจดหมายถูกผู้อื่นพบเห็นเข้าคงแย่แน่​ จึงขยำกระดาษแผ่นนั้นแล้วเผามันเสีย นางยกพู่กันขึ้นพลางครุ่นคิดแต่ก็ไม่รู้ว่าจะเขียนอันใดดี

 

 

สุดท้ายเกิดความคิดหนึ่งขึ้น นางจึงเขียนบทกวีซึ่งเป็นที่โด่งดังยิ่งในยุคสมัยของนาง

 

 

เมื่อเกศาข้ายาวถึงเอว แม่ทัพกลับมาได้หรือไม่

 

 

ชีวิตนี้มีไว้ให้ท่านรัก แต่กลับต้องห่างจากกันไกล

 

 

แรกพบกันวันฟ้าสาง ร่วมสราญจนผมหงอกขาว

 

 

ฟ้าคำรามกระบี่เงียบงัน ปืนยาวเคียงกันไม่ห่างหาย…

 

 

ครั้นเขียนบทกวีจบนางจึงเขียนเพิ่มอีกประโยคว่า บังเอิญได้ยินบทกวีนี้มา ช่างเข้ากับอารมณ์ตอนนี้ยิ่งจึงส่งให้จิ่นหมิงได้ชื่นชมร่วมกัน หลังจากนั้นก็เขียนวาจาอาทรห่วงใยอีกมากมายจนเกือบเต็มหน้ากระดาษ