ตอนที่ 404 ชื่อเสียงโด่งดัง

วาสนาบันดาลรัก

จดหมายนี้ถูกรวมไปกับห่อผ้าห่อใหญ่ที่จัดเตรียมทุกอย่างไว้พร้อมแล้วส่งทางแดนเหนือ เมื่อบรรดาทหารทราบว่าเป็นของที่ฮูหยินของแม่ทัพหลัวส่งมาให้ต่างก็กรูเข้ามาทันที

 

 

ทำอย่างไรได้ ก็เนื้อวัวแห้งที่ซื่อจื่อนำมาเมื่อคราแรกนั้นอร่อยเหลือเกิน เล่ากันว่าเป็นฝีมือของภรรยาซื่อจื่อเอง

 

 

หลัวเทียนเฉิงรักษาเนื้อวัวแห้งเอาไว้ได้แต่มิอาจรักษาจดหมาย จึงถูกเซียวอู๋ซังแย่งไป

 

 

เมื่อหลัวเทียนเฉิงเห็นเช่นนั้นก็พุ่งเข้าไปแย่งจดหมายมาโดยมิสนใจเนื้อวัวแห้งอีก

 

 

เซียวอู๋ซังเอ่ยอย่างภาคภูมิใจว่า “เห็นหรือไม่ นี่เรียกว่าแผนล้อมเหว่ยช่วยจ้าว!”

 

 

“แม่ทัพเซียวยอดเยี่ยมไปเลย เนื้อวัวแห้งชิ้นใหญ่นี้มอบให้ท่านแล้วกัน”

 

 

คนกลุ่มหนึ่งต่างแบ่งเนื้อวัวแห้งกัน หลัวเทียนเฉิงถือจดหมายแนบอกไว้แล้วแอบหลบไปอ่านมันเงียบๆ คนเดียวอย่างระแวดระวัง

 

 

เมื่อเกศาข้ายาวถึงเอว แม่ทัพกลับมาได้หรือไม่

 

 

แค่เพียงเห็นประโยคแรกก็คล้ายว่ามีผึ้งน้อยตัวหนึ่งบินเข้ามาต่อยที่ใจเขา มันทั้งเจ็บทั้งชาและทำให้เขาลืมที่จะอ่านประโยคต่อไป ภายในหัวมีแต่ภาพของเจินเมี่ยว

 

 

ผมนางก็ยาวถึงเอวมาตลอด….หมายความว่าเจี๋ยวเจี่ยวของเขาอยากจะพบกับเขาในตอนนี้เลยใช่หรือไม่

 

 

เหอะๆๆ เขารู้แล้ว เจี๋ยวเจี่ยวของเขาคิดถึงเขานั่นเอง!

 

 

บรรยากาศพลันแปลกประหลาดไป จนคนทั้งหลายลืมแม้กระทั่งเคี้ยวเนื้อวัวแห้งในปากตน

 

 

แม่ทัพใหญ่หลัวได้ชื่อว่าเป็นเทพสังหารหน้าหยกของพวกเขายิ้มเคลิบเคลิ้มเช่นนี้เป็นด้วยหรือ!

 

 

มีคนหนึ่งสะกิดอู๋เซียวซัง “แม่ทัพเซียว แม่ทัพหลัวเป็นอันใดหรือ ท่านสนิทกับเขาที่สุด ไปดูสักหน่อยเถิด”

 

 

อู๋เซียวซังพยักหน้าโดยแรงคราหนึ่ง

 

 

หรือจดหมายนั้นมีอันใดพิษประหลาดอันใด

 

 

หลัวซื่อจื่อ ข้ามาช่วยท่านแล้ว!

 

 

เขาเดินเข้าไปโบกสะบัดมือตรงหน้าหลัวเทียนเฉิง เมื่อเห็นเขายังคงยิ้มเคลิบเคลิ้มไร้การตอบสนอง จึงแย่งจดหมายนั้นมาทันที

 

 

หลัวเทียนเฉิงคล้ายคนตื่นจากฝัน “บัดซบ รีบเอาจดหมายคืนข้ามา!”

 

 

เขาพุ่งเข้าไปแต่แย่งมาได้เพียงหน้าสุดท้าย เซียวอู๋ซังมองบทกลอนนั้นแล้วก็อึ้งงันไปครู่หนึ่งจึงเอ่ยอย่างทอดถอนใจว่า “แม่ทัพหลัว จยาหมิงเซี่ยนจู่ช่างเขียนกวีได้ไพเราะนัก!”

 

 

หลัวเทียนเฉิงก็อึ้งงันไปเช่นกัน

 

 

เขียนกวีได้ไพเราะ คือเรื่องราวใดกัน ภรรยาเขาทำเช่นนั้นได้ด้วยหรือ

 

 

อืม แต่ก็มิผิดนัก บทกวีที่ขึ้นต้นประโยคนั้นช่างไพเราะจริงๆ มันงดงามจนใจของเขาแทบจะลอยออกมาแล้ว

 

 

ประโยคหลังเขียนอันใดกันหรือ

 

 

เซียวอู๋ซังผู้สมควรตาย!

 

 

“เซียวอู๋ซังเอาจดหมายคืนมาให้ข้า!”

 

 

“แม่ทัพหลัว คิดรังแกคนไร้คู่ครองเช่นเรางั้นหรือ เฮอะ ข้าคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าจยาหมิงเซี่ยนจู่จะมีความรักที่ลึกซึ้งเช่นนี้ ทั้งยังมีความสามารถเรื่องบทกวีจนเขียนออกมาได้ดีเช่นนี้”

 

 

คนทั้งหลายต่างเริ่มสงสัยว่าเกิดอันใดขึ้นจงล้อมวงเข้ามาถามว่า “เขียนอันใด เขียนอันใดหรือ”

 

 

“เซียวอู๋ซัง!” หลัวเทียนเฉิงเอ่ยเน้นย้ำทีละคำ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความข่มขู่

 

 

เซียวอู๋ซังโบกมือไปมา “พวกเจ้าดูเถิด แม่ทัพหลัวมิอนุญาตให้ข้าอ่าน ข้าไหนเลยจะกล้า มิเช่นนั้นเขาคงต่อยข้าจนจุกแน่ พวกเจ้าทั้งหลายก็เพียงหาเก้าอี้ตัวเล็กมานั่งวงล้อมดูแล้วร้องว่า ‘ดีๆ’ เท่านั้นแล”

 

 

“เฮอะ แม่ทัพเซียว ท่านกลัวแม่ทัพหลัวก็พูดมาตรงๆ เถิด!” เพราะอยากรู้ว่าในจดหมายนั้นเขียนอันใดไว้จนใจคันยุบยิบไปหมดจึงใช้วิธีเอ่ยประชดเพื่อกระตุ้นอีกฝ่าย

 

 

บางคนก็ถอนหายใจยาว แล้วหันไปมองหลัวเทียนเฉิงด้วยน้ำตาคลอเบ้า “ท่านแม่ทัพ ข้าโตป่านนี้แล้วแท้ๆ อย่าว่าแต่ภรรยาเลย แม้แต่มือของสตรีแน่งน้อยก็มิเคยได้จับ บนสนามรบกระบี่ไร้ตา จึงไม่รู้เลยว่าจะได้กลับไปหรือไม่ เฮ้อ แม้แต่จดหมายจากบ้านหน้าตาเป็นเช่นไรก็ยังไม่รู้เลย!”

 

 

“เอ้อเลิ่งจื่อ เจ้าพูดเหลวไหลอันใด อย่าพูดจาอัปมงคล!” มีคนผู้หนึ่งผลักเขากระเด็นไปส่วนตนเองกลับเข้าไปกอดขาหลัวเทียนเฉิงไว้ “แม่ทัพหลัว ข้าก็เหมือนกันขอรับ!”

 

 

“ใช่ แม่ทัพหลัว คิดเสียว่าสงสารพวกเราเถิด จดหมายจากจวนท่านเขียนกลอนอันใดไว้หรือ ให้แม่ทัพเซียวอ่านสักหน่อยเถิด”

 

 

หลัวเทียนเฉิงยกขาขึ้นคิดจะเตะทหารผู้นั้นให้กระเด็นไป แต่เขากลับกอดแน่นไม่ขยับเขยื้อนดุจน้ำตาลเคี่ยว

 

 

เขากวาดตามองคราหนึ่ง เมื่อเห็นว่าคนทั้งหลายต่างกำลังเคี้ยวเนื้อวัวแห้งทั้งยังมองเขาด้วยสายตาน่าสงสาร ก็อดแสยะยิ้มมิได้

 

 

เหลือเกินจริงๆ!

 

 

เขาคิดแล้วว่าไม่ควรจะช่วยเจ้าคนสมควรตายกลุ่มนี้ออกมาจากวงล้อมศัตรูเมื่อครานั้นเลย

 

 

เนื้อวัวแห้งของเขา จดหมายของเขากลายเป็นของสาธารณะตั้งแต่เมื่อใดกัน

 

 

เขาถอนหายใจอย่างหมดหนทางแล้วเอ่ยกับเซียวอู๋ซังว่า “อ่านได้แค่กลอนเท่านั้น ห้ามอ่านเนื้อความอื่นเด็ดขาด!”

 

 

เซียวอู๋ซังส่งสายตาภาคภูมิใจไปให้คนทั้งหลาย เขากระชับจดหมายในมือมั่นแล้วอ่านออกมาด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ

 

 

คนทั้งหลายฟังแล้วก็ถึงกับอึ้งงันไป

 

 

ว่ากันตามตรงแล้วบทกวีนี้ก็มิได้แปลกใหม่ งดงาม สละสลวยปานนั้นหรอก แต่มันกลับตรงกับสภาพจิตใจของทุกคนในยามนี้ยิ่ง

 

 

พวกเขาอดคิดไม่ได้ว่าหากมีสตรีผู้อยู่ไกลนับพันลี้กำลังคิดถึงและเฝ้ารอให้พวกเขากลับไปขณะที่กำลังสู้รบอย่างเอาเป็นเอาตายอยู่ในสนามรบ เช่นนั้นเมื่อยามต้องเผชิญหน้ากับศัตรูและเงาดาบ พวกเขาจะกล้าหาญขึ้นอีกสักหน่อยหรือไม่

 

 

“เมื่อเกศาข้ายาวถึงเอว แม่ทัพกลับมาได้หรือไม่ ชีวิตนี้มีไว้ให้ท่านรัก แต่กลับต้องห่างจากกันไกล” มีคนผู้หนึ่งเอ่ยพึมพำขึ้นมา ขอบตาก็แดงระเรื่อ

 

 

เขากำหมัดแน่นแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “ภรรยาข้าตั้งครรภ์ได้สามเดือนแล้ว แต่ข้าก็ถูกสั่งมาที่นี่ ข้าต้องมีชีวิตกลับไปให้ได้ จะไม่ยอมให้ลูกน้อยขาดพ่อตั้งแต่ยังไม่เกิดเด็ดขาด”

 

 

“ข้าก็เช่นกัน ไม่ง่ายเลยกว่าที่สาวน้อยที่ข้าหมายหมั้นไว้ในใจตั้งแต่เยาว์วัยจะเติบโตจนถึงวัยเหมาะสม ข้าจะไม่ยอมให้ผู้อื่นแย่งชิงไปแน่! ”

 

 

“ข้าด้วยๆ ภรรยาข้าบอกว่าหากข้ามิเอาชีวิตรอดกลับไป นางคงเลี้ยงบุตรสามคนเพียงลำพังไม่ไหว คงต้องแต่งงานใหม่แล้ว ถึงตอนนั้นคงมีบุรุษอื่นมานอนเคียงภรรยาข้าและทุบตีบุตรข้าแน่!”

 

 

คนทั้งหลายต่างพูดพร่ำสวนเสกันไปหมด แต่ท่าทีกลับแน่วแน่ยิ่ง

 

 

เซียวอู๋ซังเอาจดหมายคืนให้หลัวเทียนเฉิงแล้วตบบ่าเขาอย่างทอดถอนใจว่า “ดูเถิด แม่ทัพหลัว บทกวีของจยาหมิงเซี่ยนจู่ทำให้พวกเขาเกิดจิตใจที่แน่วแน่มากยิ่งขึ้น เมื่อมีบุรุษที่มิอาจตัดใจละทิ้งภรรยาเหล่านี้อยู่ ยังกลัวว่าจะรบไม่ชนะอีกหรือ”

 

 

หลัวเทียนเฉิงทั้งขมขื่นทั้งภาคภูมิอยู่ในใจ เขาบีบจดหมายแน่นแล้วพยักหน้า “ใช่!”

 

 

กล่าวจบก็พลันชะงักไป

 

 

เดี๋ยวก่อน เมื่อครู่ตัวบัดซบใดที่บอกว่ามิเคยจับแม้กระทั่งมือสตรี

 

 

เมื่อเห็นกระแสสังหารแผ่ออกมาจากตัวหลัวเทียนเฉิง คนทั้งหลายก็รีบแยกย้ายสลายตัวคล้ายนกแตกรังทันที

 

 

“กลับมาเดี๋ยวนี้ ข้าจะตีพวกเจ้าทุกคนให้ตายเลยทีเดียว!”

 

 

ครั้นเห็นพวกเขาวิ่งไปไกลแล้ว หลัวเทียนเฉิงก็ยืนพิงต้นไม้ใหญ่พลางก้มหน้าอ่านจดหมายอีกครั้ง

 

 

เมื่ออ่านถึงท่อนที่ว่า ‘บังเอิญได้ยินบทกวีนี้มา’ หลัวเทียนเฉิงก็หยักยกมุมปากขึ้น เจี๋ยวเจี่ยวของเขาช่างถ่อมตัวนัก การนำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตนมาเขียนเป็นบทกวีที่แสดงถึงความคิดถึงเขาเช่นนี้มีอันใดน่าเขินอายจนพูดไม่ได้ถึงกับต้องบอกว่าบังเอิญได้ยินมากันเล่า ชาติก่อนเขาเป็นคุณชายผู้หลงใหลในกวี มีบทกลอนบทกวีใดที่เขามิได้เคยอ่านบ้าง แต่กวีบทนี้เขามิเคยได้ฟังเลย

 

 

ไม่ทราบว่าเป็นความบังเอิญหรือเป็นความตั้งใจแต่บทกวีนี้ก็ได้ถูกพูดปากต่อปากกันไปอย่างรวดเร็วภายในกองทัพ กระทั่งสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่ากำลังใจและพลังของบรรดาทหารกลับคือมาอีกครั้งจากที่มีความทดท้อต่อสภาพอากาศอันไม่คุ้นชินนี้

 

 

สามวันให้หลังหลัวเทียนเฉิงก็ตัดสินใจเริ่มบุกก่อนจึงสามารถชิงเอาเมืองเฮยมู่ที่ถูกกองทัพชิงเป่ยยึดไปกลับมาได้ ทั้งยังขับไล่ข้าศึกให้ถอยทัพไปได้ถึงร้อยลี้

 

 

การบุกครานี้มีทั้งคนบาดเจ็บและหลับไปตลอดกาลมิอาจได้พบกับบิดามารดา ภรรยาตนอีก แต่คนส่วนมากที่ยังคงอยู่กลับมีความหวังในชัยชนะมากยิ่งขึ้น

 

 

หลัวเทียนเฉิงแผนการภายใต้การนำของหลัวเทียนเฉิงนั้นเฉียบขาดยิ่ง ในกองทัพแห่งนี้ตำแหน่งของเขาเป็นรองเพียงแค่แม่ทัพกองพลพยัคฆ์มังกร แต่ชื่อเสียงของเขากลับกลบแม่ทัพเก่าแก่ที่นำทัพทหารมานานปีไปเสียสิ้น

 

 

ในเวลาเช่นนี้ไม่ทราบจริงๆ ว่าผู้กันแน่ที่ได้เอ่ยถึงบทกวีนั้นของจยาหมิงเซี่ยนจู่ขึ้นมา บางคราเหตุการณ์เช่นนี้ก็อาจเกิดขึ้นได้…การรบอันน่าอัศจรรย์มักมาคู่กับเรื่องราวอันน่าอัศจรรย์เสมอ

 

 

ต่างลือกันว่าเพราะแม่ทัพหลัวได้รับจดหมายจากภรรยาจึงสามารถร่วมเป็นร่วมตายกับเหล่าทหารทั้งหลายจนช่วงชิงชัยชนะยากลำบากนี้มาได้

 

 

เมื่อสนามรบถูกปกคลุมด้วยสีของดอกท้อ ทุกอย่างช่างเป็นใจให้ผู้คนนัก ข่าวนี้จึงแพร่ออกไปอย่างรวดเร็วอย่างไม่คาดคิด แม้กระทั่งผู้ส่งสารไปยังเมืองหลวงก็ยังตั้งใจเอ่ยถึงเรื่องนี้เป็นพิเศษ

 

 

เจาเฟิงตี้เบิกบานใจยิ่ง จึงเอ่ยชมเชยต่อหน้าขุนนางบุ๋นบู๊ที่อยู่เต็มท้องพระโรงว่า “ขุนนางหลัวเป็นดาวแม่ทัพที่ยากจะพบเห็นได้ในรอบร้อยปีจริงๆ”

 

 

แน่นอนว่าขุนนางทั้งหลายย่อมต้องแสดงความยินดีเบิกบานกันทั่วหน้า

 

 

การยึดเมืองคืนมาได้นั้นเป็นผลงานที่ไม่มีผู้ใดกล้าพูดคำว่า ‘ไม่’ ออกมาได้แน่

 

 

และเรื่องที่จดหมายจากเจินเมี่ยวได้ปลุกพลังของเหล่าทหารขึ้นมาก็แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน

 

 

ครั้นเจาเฟิงตี้กลับถึงวังหลัง จ้าวหวงโฮ่วก็เอ่ยขึ้นว่า “ฝ่าบาท หม่อมฉันได้ยินมาว่าเรื่องนี้เป็นความดีความชอบของจยาหมิงเซี่ยนจู่ด้วยใช่หรือไม่เพคะ”

 

 

“เรื่องนี้เราไม่รู้จริงๆ แต่เจียเหมิงเซี่ยนจู่กับขุนนางหลัวนั้นเป็นคู่สร้างคู่สมกันอย่างไม่ต้องสงสัยเลยเชียว”

 

 

จ้าวหวงโฮ่วปิดปากผลิยิ้ม

 

 

“หวงโฮ่วก็สนใจเรื่องนี้ด้วยหรือ”

 

 

จ้าวหวงโฮ่วชำเลืองมองเจาเฟิงตี้คราหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “เมื่อครู่ฮูหยินผู้เฒ่าจวนเจิ้นกั๋วกงเข้ามาในวังแล้วเอ่ยถึงเรื่องๆ หนึ่งกับหม่อมฉันเพคะ”

 

 

เจาเฟิงตี้ฟังจบก็เลิกคิ้วขึ้น “ฮูหยินผู้เฒ่าพูดว่าจยาหมิงเซี่ยนจู่เป็นดาวแห่งความสุขของขุนนางหลัว หากได้อยู่เคียงคู่กันก็อาจจะทำให้สถานการณ์วุ่นวายกลายเป็นสงบได้งั้นหรือ”

 

 

“เพคะ ฮูหยินผู้เฒ่ายังพูดอีกว่า ครึ่งเดือนก่อนจยาหมิงก็เริ่มรับรู้ได้แล้วว่าแม่ทัพหลัวจะต้องรบชนะอย่างแน่นอน ยามนี้พระองค์ก็ทรงดูเอาเถิด มิใช่ทุกอย่างเริ่มสงบลงแล้วหรือเพคะ”

 

 

ที่จ้าวหวงโฮ่วพยายามที่จะช่วยผลักเรือลงน้ำเช่นนี้ก็เพื่อสร้างสัมพันธ์อันดี และที่สำคัญไปกว่านั้นคือการกันมิให้เจี่ยงอวี้หวนที่เคยมีตำแหน่งเจี่ยงกุ้ยเฟยพระมารดาขององค์หญิงฟางโหรวกลับมามีอำนาจอีก

 

 

เจี่ยงอวี้หวนเป็นบุตรสาวของแม่ทัพพยัคฆ์มังกร เมื่อเขาไปรบที่ทางแดนเหนือ แม้ตำแหน่งฐานะของนางจะมิได้สูงขึ้น แต่ฝ่าบาทก็ได้เลือกป้ายให้นางมาคอยปรนนิบัติอยู่หลายครั้ง มิได้ถูกละเลยเช่นกาลก่อน ทั้งที่ตาเฒ่าผู้อยู่ทางเหนือมิเคยรบชนะเลย หากเขารบชนะขึ้นมา เรื่องที่เจี่ยงอวี้หวนจะได้คืนตำแหน่งกุ้ยเฟยก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมแล้ว

 

 

จ้าวหวงโฮ่วที่ถูกเจี่ยงกุ้ยเฟยกดทับมานับสิบปีย่อมมิอยากจะเห็นเหตุการณ์เช่นนั้นอีกแล้ว การที่หลัวเทียนเฉิงเป็นที่โปรดปราน แม่ทัพพยัคฆ์มังกรค่อยๆ ถูกลืมต่างหากจึงเป็นสิ่งที่นางยินดีจะเห็นมากกว่า

 

 

“เราไปถามฝูเฟิงเจินเหรินก่อนแล้วกัน” เจาเฟิงตี้ก้าวเท้าเดินออกไป

 

 

จ้าวหวงโฮ่วกลับมิได้ใส่ใจอันใด หลายปีมานี้นางเลิกล้มความคิดที่จะตั้งครรภ์แล้ว

 

 

หลานสาวแต่งให้องค์ชายหก หากเป็นเมื่อก่อนนางคงไม่มีความคิดใด ทว่าตั้งแต่องค์ชายสามเสียสติ นางกลับเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมาอย่างมิอาจห้ามได้

 

 

ในบรรดาองค์ทั้งหลายยามนี้เหลือเพียงองค์ชายสาม เช่นนั้นเหตุใดนางจึงจะมิช่วยองค์ชายหกสักหน่อยเล่า ถึงตอนนั้นหลานสาวนางก็จะได้เป็นหวงโฮ่ว เมื่อรัชทายาทในอนาคตมีสายเลือดของตระกูลจ้าวไหลเวียนอยู่ในกายถึงครึ่งหนึ่งก็เป็นการชดเชยความเสียใจที่ชาตินี้มิอาจมีบุตรของนางได้แล้ว

 

 

หิมะขาวโพลน ดอกเหมยแดงโปรยปราย จวินเฮ่าผู้สวมชุดสีขาวกำลังนั่งอยู่หน้าพิณ เขาดีดเป็นทำนองขาดห้วงและค่อยๆ ไหลรื่นขึ้นเรื่อยๆ

 

 

นิ้วมือเรียวขาวแสนเย็นเยียบไร้ความอบอุ่นใดวางทาบอยู่บนสายพิณคล้ายภูตน้อยที่กำลังเริงระบำอยู่กระนั้น

 

 

อานจวิ้นอ๋องยืนฟังอยู่นอกศาลา เมื่อเสียงพิณจบลง เขาก็ปรบมือให้

 

 

“จวินเฮ่า บทเพลงนี้ข้ามิเคยได้ยินเจ้าดีดเลย ฟังแล้วช่างสงบและอบอุ่นแต่กลับมีความเร่าร้อนแฝงอยู่”

 

 

จวินเฮ่าเงยหน้าขึ้นมองเขาแล้วเอ่ยเสียงเรียบออกมาในที่สุดว่า “เป็นบทเพลงใหม่ที่แต่งขึ้นจากบทกวีที่กำลังเป็นที่แพร่หลายอยู่ในเมืองหลวงตอนนี้อย่างไรเล่า”