บทที่ 491 ช่วยชีวิตคนดีกว่าสร้างเจดีย์เจ็ดชั้น

ข้าคือเขยผู้ยิ่งใหญ่

อาทิตย์ส่องแสง ท้องฟ้าแจ่มใส

เย่เทียนขับรถไปข้างหน้าด้วยใบหน้าที่ขุ่นเคือง ขณะที่จี้เยียนหรันนอนอยู่บนเบาะหลังกำลังหลับตาพักผ่อนอยู่

เมื่อวานนี้อยู่บนเรือสำราญกระบี่แหลมรอไปตั้งหลายชั่วโมง ตอนออกมาก็เป็นเวลาตีสองกว่าแล้ว หากตามความคิดของเย่เทียน ยังไงเซ่เจียก็ออกจากเมืองเอกแล้ว เรื่องน่าเบื่อของบริษัทแซ่เจิ้นพวกนั้นเขาก็ไม่จำเป็นต้องกังวล เขาอยู่ในเมืองเอกก็ไม่มีความหมายใด ๆ

ให้เฮลิคอปเตอร์ส่งเขากลับไปที่เจียงหนันโดยตรงเลย

ที่น่าเสียดายคือ ที่เฮลิคอปเตอร์ยังไงก็เป็นเขตทหาร กลับเจียงหนันมันจะไม่ได้ราบรื่นง่ายๆอย่างนั้น!

สิ่งที่เลวร้ายที่สุดคือ ถังเหวินหลงกับเฉิงหลงไม่มีความคิดที่จะกลับไปเจียงหนันแม้แต่น้อย ซึ่งเตรียมพร้อมที่จะเคลื่อนไหวไปที่เขตทหารภายในคืนนั้น

ไม่เพียงแค่นี้ ทั้งสองยังมอบจี้เยียนหรันให้เขาด้วย ให้เขาช่วยส่งกลับไปที่เจียงหนัน จี้เยียนหรันที่มีชื่อเสียวก็ไม่ใช่คนในกองทหารรู้สึกไม่สะดวกเล็กน้อย ถ้าเป็นเช่นนี้ก็ช่างเถอะ แม้ว่าจากเมืองเอกกลับไปเจียงหนันใช้เวลาขับรถมากสุดก็แค่หนึ่งชั่วโมงกว่าๆ มีสาวสวยไปเป็นเพื่อนยังไงก็ดีกว่าต้องไปคนเดียวอย่างโดดเดี่ยวนะ?

แต่จุดสำคัญคือ จี้เยียนหรัน ได้บอกกับเย่เทียนด้วยเหตุผลถูกต้องและเต็มไปด้วยสัจธรรมว่า เธอจะต้องกลับไปทำงานให้ทันตอนเช้าด้วย นี่ก็พักผ่อนที่โรงแรมไม่กี่ชั่วโมงก็ต้องรีบปลุกจี้เยียนหรันให้ตื่นและเดินทางกลับไปที่เจียงหนัน

สิ่งที่ทำให้เขาแทบจะอาเจียนเป็นเลือดก็คือ จี้เยียนหรันพอขึ้นรถก็คลานไปบนเบาะหลังทันทีแล้วนอนหลับสบาย นี่แตกต่างอะไรกับที่เขากลับไปคนเดียวล่ะ!

บูม!

ทันใดนั้น ขณะที่เย่เทียนขับรถออกจากโรงแรมไม่นาน ในเวลาที่กำลังเตรียมพร้อมที่จะผ่านสี่แยกไฟแดง รถบรรทุกขนาดใหญ่ที่อยู่ข้างๆนั้น ถึงกลับบังอาจฝ่าไฟแดง แล้วตู้ม!พุ่งเข้าชนรถบัสที่อยู่ด้านหน้า !

รถบัสควบคุมไม่อยู่ ถูกชนหมุนไปมาหลายรอบ จนกว่าจะหยุดชนเข้ากับรางดอกไม้ถึงหยุดลง

หลังจากเสียสติไปครู่ ในที่สุดทุกคนก็ได้สติคืนมา และอยู่ในความโกลาหลทันที

“มีอะไร?มีอะไร? นี่มันเกิดอะไรขึ้น?

จี้เยียนหรันที่พักผ่อนบนเบาะหลัง ด้วยเสียงพุ่งชนที่ดังมากกระทบจนทำให้ตื่น และรีบซักถามเย่เทียน”อุบัติเหตุทางรถยนต์ คุณดูด้วยตัวเองเถอะ!”

เย่เทียนที่เห็นเหตุการณ์กับตาทั้งหมดสีหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม และชี้นิ้วไปด้านหน้า จี้เยียนหรันรีบมองไปข้างหน้า เห็นเพียงสี่แยกรถไฟแดงมีรถบรรทุกขนาดใหญ่จอดอยู่กลางถนนและด้านหน้าของรถบุ๋มเข้าไป ดูแล้วคงชนแรงมาก

แต่ห่างจากรถบรรทุกขนาดใหญ่ไม่ไกล มีรถบัสที่พลิกหงายท้อง และสามารถได้ยินเสียงร้องออกมาที่แสดงความเจ็บปวด

“แล้วคุณยังอยู่เฉยทำไม?ไม่รีบลงไปช่วยล่ะ!”

จี้เยียนหรันชะงัก ตะโกนใส่เย่เทียน แล้วลงจากรถเพื่อเดินหน้าไปตรวจสอบสถานการณ์ มองไปที่ด้านหลังของจี้เยียนหรันที่กระวนกระวาย เย่เทียนส่ายศีรษะอย่างจนปัญญา เขาก็รู้ดีว่าคนๆนี้คงไม่อาจเมินเฉยได้

ในเมื่อ ใครให้น้องสาวคนนี้เป็นคนมีความยุติธรรมชอบรับใช้มนุษยชาติล่ะ? !

ดูสัญญาณไฟจราจรที่กำลังเปลี่ยนเป็นสีเขียว เย่เทียนก็รีบขับรถผ่านสี่แยกไฟแดงไปจอดอยู่ข้างๆถนน แล้วค่อยเดินไปจุดที่เกิดอุบัติเหตุ

เมื่อกวาดสายตามองสถานการณ์รอบหนึ่ง จี้เยียนหรันก็กำลังทำงานกับกลุ่มคนไม่กี่คนที่กระตือรือร้น พยายามถอดแยกชิ้นส่วนประตูรถบรรทุกขนาดใหญ่ และพยายามที่จะควบคุมผู้ร้ายที่เป็นคนทำให้เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์คันนี้

เย่เทียนขมวดคิ้ว แต่ไม่ได้ไปที่รถบรรทุกขนาดใหญ่ แต่กลับเดินไปทางรถบัสที่ได้รับความเสียหายที่อยู่ในสายตา ต้องบอกว่ารถบัสได้เสียหายอย่างรุนแรงมาก ทั้งคันรถถูกชนจนพลิกคว่ำ สี่ล้อหงายฟ้าอยู่บนพื้นดิน กระจกแก้วถูกทุบแตกหมด ตำแหน่งจุดที่ถูกชนนั้นบุ๋มลึกเข้าไป

ไม่เพียงแค่นี้ ใต้รถบัส ถึงกลับยังมีสองขาโผล่ออกมา ไม่รู้ว่าคนไหนที่กำลังข้ามถนนโชคร้ายถูกรถทับเข้า ดูจากเลือดที่กระจายออกมาคาดว่าเนื้อหนังคงเละแน่เลย

แต่ ที่ทำให้หดหู่ใจก็คือ ถึงแม้ว่ารอบๆรถบัสจะมีผู้คนมุงดูอยู่เยอะแยะ แต่พวกเขากลับยืนชี้โน้นชี้นี่ไปที่รถบัส และแม้กระทั่งหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาถ่ายรูป ก้าวออกมาเพื่อช่วยเหลือมีไม่กี่คน

ก้าวออกมาช่วยเหลือมีแค่หนุ่มน้อยสองคนเท่านั้น ในเวลานี้พวกเขาปีนผ่านหน้าต่างที่ใหญ่ที่สุดสองบาน ช่วยให้ผู้โดยสารบาดเจ็บออกจากรถบัส

“ฉันขอร้องช่วยฉันด้วย! ลูกสาวของฉันยังอยู่ในนั้น! ฮือฮือ … ”

ในรถบัสที่ไม่ไกล ซึ่งเป็นหญิงวัยกลางคนอายุประมาณสี่สิบ ทั้งตัวเต็มไปด้วยเลือดและร้องขอความช่วยเหลือจากผู้คน

แต่ มีเพียงหญิงชราผมขาวยอมใจอ่อนแต่ถูกผู้คนรอบตัวเธอขัดขวางห้ามไว้

ราวกับเกรงว่าเรื่องจะส่งผลกระทบเดือดร้อนต่อพวกเขาอย่างนั้น

แล้วมองดูผู้ชมที่ล้อมรอบอีกที และไม่มีการเคลื่อนไหว แต่ละคนก็แค่ยืนมอง และความเห็นแก่ตัวของมนุษย์ปรากฏออกมาอย่างเต็มที่!

ถึงแม้ว่าส่วนที่เหลือบางคน แววตาอาจแสดงความสงสารเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เดินออกมาช่วยเหลือตามเคย

“ไอ้พวกคนเลือดเย็น! แต่ละคนยังยืนมองอยู่ที่นั่นทำไมนะ? ยังไม่รีบช่วยคนอีก!”

สถานการณ์เช่นนี้ แม้แต่เย่เทียนที่เป็นคนเงียบสงบเสมอ ก็อดไม่ได้ที่จะด่าผู้คนที่มองเฉยๆด้วยความโมโห

ในระหว่างพูด เย่เทียนถอดเสื้อโค้ตออกมาและปิดขาสองข้างของผู้โชคร้ายที่ถูกรถบัสทับไว้

“ไอ้เด็ก ปากแม่งพูดจาให้มันดีๆหน่อย พูดว่าใครเลือดเย็น!”

“ใครจะไม่อยากเดินหน้าไปช่วยล่ะ แต่ถ้าไม่ระวังทำให้คนตายขึ้นมา ความรับผิดชอบก็ต้องตกมาอยู่ที่เรา”

“สมัยนี้มีจิตใจที่จะช่วยเหลือคน แต่กลับถูกเขาทำให้เสียหายก็มีเยอะแยะ?”

ชายวัยกลางคนที่สวมชุดสูทและเนกไทนั้นด่ากลับมาอย่างไม่พอใจ ไม่มีการปิดบังแววตาที่เฉยเมยและเย็นชาแม้แต่น้อย

เย่เทียนได้ยินเช่นนี้ ขมวดคิ้วเล็กน้อย ทันใดนั้นก็หันตัวพุ่งไปที่ด้านหน้าของคนใส่ชุดสูท และกำหมัดต่อยไปที่แก้มของเขาอย่างไม่ลังเล

ตุ้บ!

ชายในชุดสูทคงคิดไม่ถึงว่าเย่เทียนจะลงมือจริงๆ ดังนั้นเขาจึงถูกต่อยหน้าอย่างแรงโดยไม่ทันตั้งตัว อดไม่ได้ที่จะส่งเสียงคร่ำครวญอันเจ็บปวดออกจากปากของเขา

เมื่อถูกโจมตี เย่เทียนกลับไม่ได้ปล่อยเขาไปแบบนี้ และทันใดนั้นก็เตะชายในชุดสูทไปที่คอ ทำให้เขาล้มลงกับพื้น

“ผมพอเข้าใจความคิดของคุณที่จะไม่มีส่วนร่วมในการช่วยชีวิต แต่ถ้าคุณชี้แนะให้ทุกคนเข้าใจในทางที่ผิดๆอีก ก็อย่าโทษที่ผมไม่เกรงใจ!”

เย่เทียน หึ อย่างเย็นชา เตะชายในชุดสูทเข้าที่แก้ม และตำหนิด้วยเสียงดุดัน!

“ผมรู้ว่าทุกคนกังวลเรื่องอะไร ผมไม่ปฏิเสธว่าโลกนี้มีเดรัจฉานที่เนรคุณอยู่จริง แต่ผมชื่อว่าในโลกนี้ก็มีคนดีๆอยู่เยอะกว่า !”

“การช่วยชีวิตคนดีกว่าสร้างเจดีย์เจ็ดชั้น ถ้าทุกคนเป็นห่วงจริงๆ ทุกคนสามารถถ่ายวิดีโอหรืออะไรก็ได้ ผมขอให้ทุกคนช่วยๆกันหน่อย!”

เย่เทียนไม่แม้แต่จะมองชายในชุดสูทที่ถูกเหยียบอยู่ใต้เท้าของเขา ดวงตาสีเข้มของเขาจ้องมองตรงไปยังกลุ่มคนที่กำลังจ้องมองด้วยสายตาที่เย็นชา

ไม่รู้ว่าเพราะถูกสายตาของเย่เทียนบังคับหรือหวั่นไหวด้วยคำพูดเหล่านี้ ทุกคนต่างมองหน้ากัน ในที่สุดก็มีคนเดินออกมาเข้าร่วมทีมกู้ภัย…