ตอนที่ 1906 พายุกำลังมา (3)
ผู้อาวุโสอิ่งมองสถานการณ์ในห้อง เขามั่นใจแล้วว่าการประชุมสุดยอดสิบสองวิหารในวันพรุ่งนี้จะต้องเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นอย่างแน่นอน!
ถ้าเขาไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเอง เขาคงไม่นึกไม่ฝันว่าเด็กสาวอายุน้อยอย่างจวินอู๋เสียจะมีเส้นสายที่กว้างขวางขนาดนี้ ผู้เยาว์พวกนั้นล้วนแทรกซึมเข้าไปในวิหารต่างๆแล้ว
ผู้อาวุโสอิ่งพลันนึกขึ้นได้ว่าความโกลาหลภายในสิบสองวิหารดูเหมือนจะเริ่มจากช่วงเวลาที่ผู้เยาว์จากงานชุมนุมเทพยุทธ์กลุ่มนี้ออกจากสำนักธาราเมฆ ตั้งแต่ตอนอยู่ที่วิหารจิงหง สถานการณ์ภายในสิบสองวิหารก็ตึงเครียดอย่างมาก
นับตามลำดับเวลาเหตุการณ์และรวมเข้ากับการต่อสู้ระหว่างวิหารต่างๆ ผู้อาวุโสอิ่งก็ค้นพบอย่างรวดเร็วว่าความขัดแย้งที่เพิ่มขึ้นดูเหมือนจะเกิดในวิหารที่ผู้เยาว์พวกนี้อยู่ ช่วงเวลาของเหตุการณ์ก็ตรงกับเวลาที่พวกเขาเข้าไปในวิหารต่างๆด้วย!
การคาดเดาที่น่ากลัวผุดขึ้นในใจของผู้อาวุโสอิ่ง เขามองเหล่าผู้เยาว์ที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวาในห้อง สุดท้ายก็มองไปยังร่างเล็กๆของจวินอู๋เสีย
อย่าบอกนะว่า……พวกเขาจัดการเรื่องทั้งหมดนี้มาตั้งแต่ต้นแล้ว?!
พอความคิดนั้นผุดขึ้นมา ผู้อาวุโสอิ่งก็อดตัวสั่นและเย็นวาบไปทั่วร่างไม่ได้ เขามองจวินอู๋เสียที่นั่งสงบนิ่งอยู่ที่โต๊ะ รู้สึกเหมือนหัวใจของเขาอยู่ภายใต้ความกดดันอย่างมาก
เขาไม่กล้าคิดอะไรต่อแล้ว!
เมื่อไม่ได้คำตอบจากจวินชิง เฉียวฉู่ก็หันไปหาฉูหลิงเย่ แต่……
ฉูหลิงเย่ไม่มองมาที่เขาเลย เอาแต่สนใจถ้วยชาของจวินอู๋เสีย และคอยเติมให้อย่างเงียบๆเมื่อเห็นว่ามันว่างเปล่า
เฉียวฉู่เลยยอมแพ้
“พวกเจ้าชนะ! ข้า……ข้าไม่ถามแล้วก็ได้” เฉียวฉู่นั่งงอนอยู่ด้านข้าง
ในห้องเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะอีกครั้ง
เสียงหยอกล้อและหัวเราะอย่างมีความสุขในช่วงเวลานี้ทำให้บรรยากาศมีชีวิตชีวามากขึ้น
เยว่เย่ยืนอยู่ข้างเยว่อี้ มองดูคนที่อยู่รอบตัวจวินอู๋เสียอย่างเงียบๆ พลางกัดเล็บอย่างประหม่า
“ท่านพี่ อาจารย์มีเพื่อนเยอะขนาดนี้เลยหรือ?” เยว่เย่เงยหน้าถาม รู้สึกว่าไม่สามารถชินกับมันได้ ตอนอยู่ในวิหารเงาจันทรา อาจารย์มีแค่นางอยู่ข้างกายเท่านั้น และดูเหมือนว่าอาจารย์ของนางจะตัดขาดจากโลกอย่างสิ้นเชิง
“ดูเหมือนจะเป็นแบบนั้นนะ” เยว่อี้ก็ไม่แน่ใจเช่นกัน จวินอู๋เสียมีนิสัยเย็นชาอย่างยิ่ง เขาไม่คิดว่านิสัยอย่างจวินอู๋เสียจะมีเพื่อนมากมายอยู่รอบๆตัว จากบทสนทนาของพวกเขา ดูเหมือนจะสนิทกันมากทีเดียว
ซึ่งนั่นทำให้คนรู้สึกอิจฉา
จวินอู๋เสียมองดูเพื่อนๆของนางหยอกล้อกัน ทันใดนั้นนางก็เหลือบไปเห็นสองพี่น้องเยว่อี้กับเยว่เย่ยืนอยู่ที่มุมหนึ่ง จึงกวักมือเรียกเยว่เย่
เยว่เย่เดินเข้าไปด้วยความประหม่าเล็กน้อย
เพื่อนทุกคนของอาจารย์ดูโดดเด่นมากจนนางรู้สึกว่าตัวเองด้อยกว่า คนอย่างนางมีคุณสมบัติที่จะรับจวินอู๋เสียเป็นอาจารย์จริงๆหรือ?
เยว่เย่อาจดูเหมือนเป็นยัยเด็กตัวร้าย แต่ในใจนางซ่อนปมด้อยที่หนักหนาเอาไว้ นั่นเป็นเหตุผลที่นางยังไม่ยอมรับผู้อาวุโสอิ่ง เด็กๆนั้นจิตใจยังเปราะบาง และปมด้อยของนางก็ทำให้นางไม่กล้าแตะต้องอะไรที่สวยงาม
นางรู้สึกว่าตัวเองไม่คู่ควร
จวินอู๋เสียลุกขึ้นจับมือเล็กๆของเยว่เย่พาเดินมายืนตรงหน้าเยี่ยนปู้กุย
“อาจารย์ นี่คือศิษย์ของข้า” จวินอู๋เสียเอ่ยขึ้น
เยว่เย่ถึงกับผงะ ไหล่เล็กๆของนางเริ่มสั่น นางไม่คิดว่าจวินอู๋เสียจะแนะนำกับอาจารย์ของตนในลักษณะนี้ เพราะนางรู้สึกมาตลอดว่านางกับจวินอู๋เสียแตกต่างกันมากเกินไป
เยี่ยนปู้กุยมองเยว่เย่ที่กำลังตัวสั่นอยู่ และพูดพลางหัวเราะว่า “ข้ามีศิษย์หลานแล้วรึเนี่ย? ดีๆ ยัยหนู เจ้าไม่ต้องกลัว ข้าแค่ดูน่ากลัวไปบ้าง แต่ไม่ทำร้ายเจ้าหรอก”
ตอนที่ 1907 พายุกำลังมา (4)
เยว่เย่หดคอ ดูท่าทางจะอายมาก
เฉียวฉู่กระโจนเข้ามาทันที
“เสี่ยวเย่จื่อ ไม่ต้องกลัว ถึงอาจารย์เราจะดูน่าเกลียด แต่เขาใจดีมากนะ โอ๊ย!” พอคำพูดออกจากปาก เฉียวฉู่ก็โดนเยี่ยนปู้กุยเตะกระเด็นไปกองกับพื้น
“เรื่องอะไรมาว่าข้าน่าเกลียด!” เยี่ยนปู้กุยตะคอกพร้อมถลึงตาจ้องอย่างน่ากลัว [เขาจะน่าเกลียดได้ยังไง!?]
“ใช่ๆๆ! อาจารย์เราดูมาดแมนจะตาย เจ้าจะรู้อะไร?” เฟยเหยียนช่วยกระพือไฟอย่างกระตือรือร้น
เฉียวฉู่ลูบบั้นท้ายที่ปวดแปลบๆของตัวเองแล้วตวัดสายตามองเฟยเหยียนอย่างดุร้าย
“อา……อาจารย์ปู่……” เยว่เย่กล่าวอย่างขลาดกลัว
เยี่ยนปู้กุยไม่เคยเห็นเด็กหญิงตัวน้อยน่ารักแบบนี้ เสียงอ่อนๆเบาๆนั้นทำให้ใจเขาพองโตด้วยความสุข ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าใบหน้าเขายิ้มแย้มอย่างดีใจแค่ไหน
“ดีๆๆ เด็กดีจริงๆ”
[นี่สิ เด็กผู้หญิงควรเป็นแบบนี้ แล้วดูศิษย์ผู้หญิงสองคนของเขาสิ]
จวินอู๋เสีย……ยังเด็กมากแต่มีจิตใจที่หนักแน่นมั่นคงแล้ว ทำให้เยี่ยนปู้กุยรู้สึกเสมอว่าเขาได้ศิษย์มาฟรีๆโดยไม่ต้องทำอะไรสักอย่างเดียว
แล้วหันมาดูหรงรั่ว……เยี่ยนปู้กุยถึงกับเอามือกุมหน้าอก
ตอนแรกที่เพิ่งพานางเข้ามา นางยังเป็นเด็กผู้หญิงที่น่ารักและเชื่อฟัง แล้วนี่นางกลายเป็นแบบนี้ได้ยังไง……
เขาศิษย์ผู้หญิงสองคนแล้ว แต่หลังจากได้เห็นเยว่เย่ เยี่ยนปู้กุยก็เข้าใจอย่างแจ่มแจ้งแล้วว่าศิษย์ผู้หญิงควรเป็นอย่างไร
เยว่เย่ยังประหม่าอยู่เล็กน้อย แต่ไม่นานเฉียวฉู่กับเฟยเหยียนก็คว้าตัวนางไปกล่อมให้เรียกพวกเขาว่าอาจารย์อา เพื่อหลอกล่อให้เด็กน้อยเรียกพวกเขาว่าอาจารย์อา ทั้งสองได้เอาของดีๆออกมามากมาย แล้วยัดกองสมบัติขนาดย่อมๆใส่มือเยว่เย่
เยว่เย่คิดไม่ถึงว่าจะได้รับการต้อนรับอย่างกระตือรือร้นเช่นนี้ นางหันไปมองพี่ชายอย่างมึนงงเล็กน้อย เยว่อี้พยักหน้าให้นาง แววตายิ้มแย้มปลอบใจ
“ตอนอยู่ที่วิหารเงาจันทราข้าไม่ได้ให้อะไรเจ้า ในเมื่อเจ้าเป็นศิษย์ของอู๋เสีย ข้าก็ต้องแสดงน้ำใจบ้างเหมือนกัน” จวินชิงที่ยิ้มอยู่ตลอดเวลาพลันเอ่ยปากขึ้นมา เยว่เย่กระพริบตาปริบๆ แล้วเดินเข้าไปหาจวินชิงพร้อมของขวัญเต็มอ้อมแขน
หน้าตาของจวินชิงคล้ายคลึงกับจวินอู๋เสีย หล่อเหลาอ่อนโยน ไม่ทำให้คนรู้สึกประหม่า เขายิ้มอย่างมีเสน่ห์ซึ่งช่วยปลอบประโลมใจของเยว่เย่ได้
จวินชิงหยิบจี้หยกออกมาและวางไว้ในมือของเยว่เย่
“เดิมทีสิ่งนี้เตรียมเอาไว้ให้อาจารย์ของเจ้า แต่ดูท่าทางแล้วข้าว่านางไม่ต้องใช้มันแล้วล่ะ ได้ให้เจ้าพอดีเลย” จวินชิงพูดด้วยรอยยิ้ม
รอยยิ้มนั้นทำให้เยว่เย่ถึงกับเหม่อ
หน้าตาของคนตระกูลจวินนั้นดูดีอย่างไม่มีใครเทียบได้ ไม่เช่นนั้นจวินอู๋เสียคงไม่งามล่มบ้านล่มเมืองเช่นนี้ จวินชิงเองก็ย่อมไม่ต่างกัน
กว่าทุกคนจะให้ของขวัญนางเสร็จ ก็ไม่สามารถยัดอะไรใส่เข้าไปในอ้อมแขนเยว่เย่ได้อีกแล้ว นางไม่มีทางเลือกนอกจากให้เยว่อี้ช่วยถือส่วนหนึ่ง
ตกดึก ทุกคนกลับไปพักผ่อนที่ห้องของตัวเอง พวกเขารู้ว่าการต่อสู้ครั้งใหญ่กำลังรอพวกเขาอยู่ในเช้าวันรุ่งขึ้น จึงจำเป็นต้องเก็บแรงเอาไว้ให้ดี
หลังจากที่ทุกคนกลับไปและนอนหลับอย่างสงบสุขแล้ว ยังมีคนสองคนที่ไม่สามารถพักผ่อนอย่างสงบได้
ในห้องของประมุขวิหารมังกรคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นคาวเลือด เขานั่งอยู่บนเก้าอี้ ในมือมีเหล้าอย่างแรง ดวงตาแดงก่ำหรี่มองร่างโชกเลือดที่ถูกมัดอยู่บนราว
กู่อิ่งถูกถอดเสื้อและมัดไว้กับราวขึง หน้าอกเขาเต็มไปด้วยบาดแผลใหม่ เลือดสีแดงสดไหลออกจากบาดแผลเหล่านั้นไม่หยุด
แค่ไม่กี่ชั่วโมง เขาก็ดูต่างไปจากตอนที่ถูกพาตัวออกไปจากงานเลี้ยงอย่างสิ้นเชิง เสื้อผ้าหรูหราถูกแทนที่ด้วยบาดแผลน่ากลัวซึ่งเต็มไปด้วยเลือด
ตอนที่ 1908 พายุกำลังมา (5)
“หยุด!” ประมุขวิหารมังกรยกมือขึ้นเล็กน้อย ศิษย์ที่ทำการทรมานวางเครื่องมือทรมานลงและยืนอยู่ด้านข้าง
ใบหน้าหล่อเหลาของกู่อิ่งเต็มไปด้วยบาดแผล บนตัวเขาแทบจะไม่มีตรงไหนที่ยังสมบูรณ์ดีอยู่เลย ยากที่จะจินตนาการได้ว่าในช่วงเวลาสั้นๆเช่นนี้ ประมุขวิหารมังกรจะทรมานเขาจนถึงขนาดนี้ แต่ถึงกระนั้น ใบหน้าของกู่อิ่งก็ยังมีรอยยิ้มเยาะเย้ย
“เจ้ายังหัวเราะได้อีกหรือ?” ประมุขวิหารมังกรมองรอยยิ้มเยาะเย้ยของกู่อิ่งอย่างเย็นชา เป็นรอยยิ้มที่ขัดตาเขาอย่างมาก
“ทำได้แค่นี้เองหรือ? ไม่พอหรอก ถ้าคิดวิธีทรมานอื่นๆไม่ออกล่ะก็ ข้าจะหลับแล้วนะ” มุมปากของกู่อิ่งโค้งขึ้น เขาเชิดหน้าพูดอย่างหยิ่งผยอง ไม่แสดงให้เห็นถึงความน่าสมเพชเวทนาอย่างคนที่ถูกจับตัวไว้เลย
ประมุขวิหารมังกรขบกรามมองกู่อิ่ง แล้วหันไปหยิบเหยือกเหล้าบนโต๊ะมาราดลงบนบาดแผลของกู่อิ่ง
ความเจ็บปวดอย่างรุนแรงกระจายไปทั่วร่างเขาทันที กู่อิ่งหน้าซีดลงเล็กน้อย แต่ยังคงยิ้มได้อยู่
“ที่นี่เราไม่มีอุปกรณ์ครบชุด เจ้ารอก่อนเถอะ พอกลับไปที่วิหารมังกรแล้ว ข้าจะให้เจ้าได้ลิ้มรสความทรมานทุกแบบที่มีบนโลกนี้ รับรองว่าเจ้าไม่ง่วงแน่” ประมุขวิหารมังกรใช้พวยของเหยือกที่ยาวและบางกดเข้าไปในแผลตรงท้องของกู่อิ่ง พวยเหยือกแทงทะลุผิวหนังเข้าไปในเนื้อ ประมุขวิหารมังกรจงใจพลิกเหยือก แล้วเลือดก็ไหลออกจากแผลเป็นจำนวนมาก
“ข้าจะตั้งตารอเลย” กู่อิ่งกัดฟันอดทนต่อความเจ็บปวด แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม
ประมุขวิหารมังกรหัวเราะเย้ยหยัน
“ไอ้ลูกสำส่อนไร้ยางอาย ข้าเห็นบาดแผลมากมายบนร่างเจ้า วันเวลาในวิหารมารโลหิตของเจ้าไม่ค่อยดีนักใช่ไหมล่ะ? ก็ต้องอย่างนั้นล่ะนะ เจ้าสารเลวกู่อี้จะยอมให้ลูกสำส่อนอย่างเจ้ามีชีวิตที่ดีได้ยังไง เจ้าทำเพื่อวิหารมารโลหิตมาตั้งเท่าไร? เขายังส่งเจ้าให้ข้าเหมือนหมาตัวนึง น่าสงสารจริงๆ”
กู่อิ่งหรี่ตา
ประมุขวิหารมังกรส่งเสียงฮึเย้ยหยันแล้วพูดว่า “วันเวลาต่อจากนี้ของเจ้าก็จะไม่ดีเช่นกัน ข้าจะไม่ฆ่าเจ้าเร็วนักหรอก แต่เจ้าต้องมีชีวิตอยู่อย่างเจ็บปวดทรมานตลอดไป เจ้ารอได้เลย!”
พูดจบเขาก็หันไปพูดกับศิษย์ที่ทำการทรมานทั้งสองคนว่า “เจ้าสองคน “รับใช้” นายน้อยใหญ่ของวิหารมารโลหิตให้ดีๆล่ะ อย่าทำให้เขาเบื่อ”
“ขอรับ”
แล้วประมุขวิหารมังกรก็ออกจากห้อง ไม่อยู่ที่นั่นอีกต่อไป
เสียงการทรมานดังขึ้นในห้องนั้นอีกครั้ง กู่อิ่งแหงนหน้ามองเพดาน ปล่อยให้การทรมานที่โหดร้ายทั้งหมดถูกนำมาใช้กับร่างกายของเขาโดยไม่แสดงสีหน้าอะไรแม้แต่นิดเดียว
สองชั่วโมงผ่านไป และมันเป็นเวลาดึกมากแล้ว
ศิษย์ที่ทำการทรมานทั้งสองคนแขนชาไปหมดขณะที่ยืนหอบอย่างหนักอยู่ด้านข้าง พวกเขาทำหน้าที่ทรมานในวิหารมังกร ทำให้ศิษย์ที่ไม่ปฏิบัติตามกฎเสียชีวิตไปมากมาย ทั้งคู่เคยชินกับการเห็นผู้คนอ้อนวอนและขอร้องด้วยความเจ็บปวด แต่นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาเจอคนอย่างกู่อิ่งที่ไม่ยอมจำนนต่อสิ่งที่พวกเขาทำ พวกเขาเหนื่อยแทบตายแต่กู่อิ่งกลับไม่ส่งเสียงร้องสักแอะ ราวกับไม่รู้สึกเจ็บปวดเลยแม้แต่น้อย
“พวกเจ้าไม่ทำต่อแล้วหรือ?” กู่อิ่งมองศิษย์ทั้งสองคน ดวงตายิ้มแย้มของเขาทำให้ทั้งสองรู้สึกขนลุกไปทั้งร่าง
ก่อนที่ทั้งสองจะได้อ้าปาก เงาร่างสีดำก็พุ่งเข้ามาทางหน้าต่าง ศิษย์ทั้งสองไม่ทันเห็นด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายหน้าตาเป็นอย่างไร คอของพวกเขาก็ถูกปาด ทั้งสองล้มลงบนกองเลือดของตัวเอง
“คุณชาย! ท่านทนทรมานมากเกินไปแล้ว” ชายชุดดำแก้มัดกู่อิ่งทันที และคุกเข่าลงพูด