บทที่ 534 สนับสนุน

บัลลังก์พญาหงส์

ถาวจวินหลันคิดไม่ถึงว่าไทเฮาจะหันมาถามนางด้วยความเป็นห่วง พอได้สติกลับมา ก็รีบยิ้มและตอบไทเฮาว่า “ภายในจวนเรียบร้อยดี ห่วงก็แต่ท่านอ๋องเท่านั้นเพคะ” 

 

 

 

 

 

เมื่อครู่นี้ไทเฮาถามนางเรื่องความเรียบร้อยภายในจวนตวนชินอ๋อง เมื่อไทเฮาได้รับคำตอบก็พยักหน้าพอใจ ก่อนถอนใจ “คนเก่งมักเหนื่อยหนักกว่าผู้อื่น เรื่องนี้เขาเก่งกว่าพี่น้องของเขามากนัก เขาไม่ลำบากแล้วใครจะลำบาก? แต่เกรงว่าสิ้นปีนี้อาจไม่ได้กลับมา เขาอยู่ข้างนอกตัวคนเดียวไร้ที่พึ่ง ไม่รู้ว่าได้ทานข้าวดีๆ บ้างหรือไม่ คิดดูแล้วย่าอย่างข้าก็สงสารยิ่งนัก” 

 

 

 

 

 

พอถาวจวินหลันได้ยินแบบนี้ ก็คิดว่าไทเฮาพูดเกินเหตุไปเล็กน้อย ตัวคนเดียวก็จริง แต่อย่างไรก็ยังมีเฉินฟู่และองค์ชายเจ็ดตามไปด้วย ส่วนเรื่องทานข้าวยิ่งเกินเหตุไปกันใหญ่ เกรงว่าที่ที่หลี่เย่ไป ต่อให้สภาพแวดล้อมจะรันทดเพียงใด สิ่งที่เขาได้กินก็จะต้องเป็นสิ่งที่ดีที่สุด 

 

 

 

 

 

แน่นอนว่านางเข้าใจนัยแฝงของไทเฮา นี่นับว่าตำหนิฮ่องเต้อยู่ ที่พูดเกินเหตุก็ด้วยอยากให้ดูน่าเห็นใจ ดังนั้นนางจึงก้มหน้าไม่พูดไม่จา คนอื่นเห็นแล้วก็นึกว่านางเสียใจ จึงถอนใจช้าๆ “จริงซี ตั้งแต่คลอดซวนเอ๋อร์ ท่านอ๋องก็ไม่ได้ฉลองปีใหม่ที่บ้านมาหลายปี ปีที่คลอดซวนเอ๋อร์ ท่านอ๋องก็กลับมาหลังจากผ่านปีใหม่ไปแล้ว” 

 

 

 

 

 

หยุดไปครู่หนึ่ง ก็รู้สึกได้ว่าบรรยากาศแปลกไป ถาวจวินหลันก็รีบพูดเสริมขึ้นมาว่า “แต่ท่านอ๋องเองก็ไม่เคยกล่าวโทษหรือน้อยใจเลยเพคะ แต่สายตาของภรรยาอย่างพวกเราช่างตื้นเขินยิ่งนัก รู้สึกเพียงแค่สงสารเขาเท่านั้นเองเพคะ” 

 

 

 

 

 

เมื่อนางพูดแบบนี้ แต่เดิมที่คิดว่าจวนตวนชินอ๋องตั้งใจกล่าวโทษฮ่องเต้ว่าไม่มีเหตุผล ฮ่องเต้ก็ไม่พูดอะไรต่ออีก เพียงแค่ยิ้มและพูดว่า “ตวนชินอ๋องต้องเหน็ดเหนื่อยเพื่อราชสำนัก ข้าไม่อาจเชื่อใจคนอื่นได้แล้วจริงๆ ทำได้แค่ให้เขาไปจัดการเรื่องเหนื่อยเท่านั้น พอเขากลับมา ข้าจะต้องชดเชยให้เขาอย่างงาม” 

 

 

 

 

 

ไทเฮาถลึงตามองฮ่องเต้ทีหนึ่ง ก่อนพูดพึมพำว่า “ก็มีแต่เจ้าที่ไม่สงสารลูกชายของตนเท่านั้น” ไม่เฮาไม่ได้พูดให้คนอื่นได้ยินก็นับว่าไว้หน้าแล้ว แต่ก็ทำให้ฮ่องเต้นั่งไม่ติดที่เช่นกัน 

 

 

 

 

 

พอสอนฮ่องเต้จบ ไทเฮาก็มองไปทางถาวจวินหลัน “ตวนชินอ๋องไม่อยู่ที่จวน เจ้าเองก็ต้องลำบากแล้ว แต่หากมีใครกล้ารังแกเจ้า เพียงแค่เข้าวังหลวงมาบอกข้า หญิงชราเช่นข้าคนนี้จะให้ความเป็นธรรมกับเจ้าเอง” 

 

 

 

 

 

ถาวจวินหลันจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าไทเฮากำลังจงใจให้การสนับสนุนนางอยู่? จึงแย้มยิ้มรับคำ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ หม่อมฉันก็ต้องขอบพระทัยไทเฮาแล้วเพคะ” 

 

 

 

 

 

ส่วนคนตาบอดที่ไหนกล้ามารังแกนาง เกรงว่าจะต้องใจกล้าบ้าบิ่นมากทีเดียว คนธรรมดานั้นไม่มีทางแกล้งนางได้ ส่วนฮองเฮาก็ได้ยินไทเฮาพูดแล้วไม่ใช่หรือว่าจะให้ความยุติธรรมกับนาง? สุดท้ายแล้วทำแบบนี้ก็เพื่อกันฮองเฮาไว้เท่านั้น 

 

 

 

 

 

ไทเฮากระทำเช่นนี้ ย่อมทำให้บรรยากาศในงานเลี้ยงอึมครึมไปหลายส่วน พอเห็นว่าเวลาผ่านไปพอสมควรแล้ว ฮ่องเต้ที่เริ่มทนไม่ไหวก็บอกว่าเย็นมากแล้วให้ทุกคนแยกย้าย 

 

 

 

 

 

ฮ่องเต้ตัดสินใจไปส่งไทเฮากลับวังด้วยตนเอง คนอื่นย่อมไม่อาจยื่นมือเข้าไปสอดได้ 

 

 

 

 

 

ถาวจวินหลันกำลังพาซวนเอ๋อร์ออกจากวังหลวงเพื่อกลับจวน แต่กลับบังเอิญสังเกตเห็นฮองเฮาที่เหลือบมองตนเองวูบหนึ่ง ทันใดนั้นพอนางคิดถึงคำพูดของอิงผินก็เริ่มตึงเครียด แอบคิดอยู่ในใจ หรือว่าจะเกิดเรื่องระหว่างเดินทางออกจากวังหลวง? 

 

 

 

 

 

เมื่อคิดเช่นนี้ หลังจากแยกย้ายแล้ว ถาวจวินหลันจึงได้หลบมุมไปรออยู่ครู่หนึ่ง พอองค์หญิงแปดและองค์หญิงเก้าออกมาแล้ว ถึงได้ยิ้มและพูดว่า “พวกเราสามคนอยู่ไม่ไกลกัน ไม่สู้กลับพร้อมกันดีกว่า แม้จะบอกว่าอยู่ในเมืองหลวง แต่ดึกเช่นนี้แล้วหากพบโจรเข้าก็ถือว่าไม่ใช่เรื่องดี” รถม้าของทั้งสามบ้านนั้นล้วนยิ่งใหญ่ เวลาเดินทางไปพร้อมกัน แค่เพียงบรรยากาศก็แลดูน่าเกรงขาม ทำให้คนหวาดกลัวไม่น้อย 

 

 

 

 

 

ไม่ต้องพูดถึงทหารยามของทั้งสามคนรวมกัน 

 

 

 

 

 

องค์หญิงแปดเข้าใจในความหมายของถาวจวินหลันทันที ก่อนพยักหน้าตอบ “เป็นเช่นนี้เหมาะสมที่สุด ท่านมีซวนเอ๋อร์อยู่ด้วยยิ่งต้องระวัง” 

 

 

 

 

 

องค์หญิงเก้าคิดขึ้นมาได้ ก็ตึงเครียดไปหมด “หรือว่าจะพบเรื่องลอบทำร้ายระหว่างทางอย่างนั้นหรือ?” เรื่องคราวที่แล้วก็ทำให้นางตกใจกลัวพอแล้ว 

 

 

 

 

 

พูดถึงเรื่องคราวที่แล้ว ยังจับคนร้ายไม่ได้ ก็ด้วยมีเรื่องปลดองค์รัชทายาทที่ใหญ่เกินไปมากดให้เรื่องนี้เป็นเรื่องเล็กลง 

 

 

 

 

 

ถาวจวินหลันเห็นท่าทีขององค์หญิงเก้าก็รู้ว่านางจะต้องตกใจกลัวอย่างแน่นอน จึงส่ายหัวปลอบประโลม “เพียงแค่พูดไปเท่านั้น ไฉนเลยจะบังเอิญพบอะไรได้? เพียงแค่ป้องกันเอาไว้ ทำให้สบายใจเท่านั้นเอง” 

 

 

 

 

 

องค์หญิงเก้ายังไม่สนิทใจที่จะพูดคุยกับถาวจวินหลัน อย่างไรคราวที่แล้วเป็นเช่นนั้น ในตอนนี้เมื่อคิดถาวจวินหลันที่ไม่มีความเกรงใจ นางก็ยังคงรู้สึกไม่พอใจ ใบหน้านั้นยังร้อนผ่าว อีกทั้งนางกับถาวจิ้งผิงก็ยังไม่คืนดีกัน ยิ่งทำให้นางรู้สึกไม่สบายใจ ไม่ต้องเห็นถาวจวินหลันอีกถึงจะดี  

 

 

 

 

 

แต่ถาวจวินหลันยังคงตีหน้าสนิทสนม พูดคุยกับนางอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ได้มีท่าทีเหินห่างแม้แต่น้อย องค์หญิงเก้าแปลกใจทันที เหมือนว่าตนเองจะคิดมากเกินไปกระมัง? 

 

 

 

 

 

ไม่ว่าในใจขององค์หญิงเก้าจะเป็นเช่นไร แต่ต่อหน้านั้นก็ไม่แสดงออกมาแม้แต่น้อย โดยเฉพาะมีองค์หญิงแปดอยู่ข้างๆ ทั้งสามคนจึงเดินออกจากวังหลวง แยกย้ายกันขึ้นรถม้าไป จากนั้นก็เรียงแถวกลับไปพร้อมกันหน้าหลัง 

 

 

 

 

 

ที่จริงแล้วแม้จะบอกว่าทั้งสามบ้านนั้นไม่ได้ห่างกันมากนัก อย่างไรก็เป็นพื้นที่เดียวกัน ไม่ว่าอย่างไรก็ใช้เวลาไม่เกินเวลาหนึ่งกาน้ำชา แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่ได้อยู่บ้านใกล้เรือนเคียงกัน ทว่าองค์หญิงแปดกลับบอกว่าจะส่งพวกนางแม่ลูกกลับจวนตวนชินอ๋องก่อน ถาวจวินหลันจึงซาบซึ้งใจยิ่งนัก 

 

 

 

 

 

และยิ่งมีความคิดมุ่งมั่นที่จะต้องผูกสัมพันธ์อันดีกับองค์หญิงแปดไว้ 

 

 

 

 

 

ตลอดทางกลับมายังจวนตวนชินอ๋องนั้นไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น กลายเป็นว่าถาวจวินหลันคิดมากไปเอง ถาวจวินหลันจึงพูดกับองค์หญิงแปด และองค์หญิงเก้าอย่างลุแก่โทษ “กลายเป็นข้าที่คิดมากไป ทำให้พวกเจ้าต้องมาเป็นกังวลและวุ่นวายไปด้วยเสียแล้ว” 

 

 

 

 

 

องค์หญิงแปดยิ้มบอกว่าไม่เป็นอะไร แต่กลับบอกให้ถาวจวินหลันระมัดระวังตัวอีกสักหน่อย “อย่างไรพี่รองก็ไม่อยู่ที่จวน ท่านระวังเอาไว้หน่อยก็ไม่เสียหายเจ้าค่ะ” 

 

 

 

 

 

ถาวจวินหลันยิ้มเอ่ยขอบคุณ ก่อนมองไปยังองค์หญิงเก้า แล้วพูดกำชับว่า “ช่วงนี้จิ้งผิงค่อนข้างยุ่ง เจ้าเตรียมของว่างยามดึกให้เขาบ้าง เขาชอบกินเส้นหมี่น้ำแกงไก่ ในน้ำแกงจะต้องมีหน่อไม้ถึงจะดี” 

 

 

 

 

 

องค์หญิงเก้ายังแอบตะขิดตะขวงใจ แต่ก็รู้ว่าถาวจวินหลันพยายามบอกวิธีคืนดีกับถาวจิ้งผิง จึงเอ่ยขอบคุณ แล้วขึ้นรถม้ากลับจวนไป 

 

 

 

 

 

ถาวจวินหลันตรงกลับเรือนเฉินเซียง ซวนเอ๋อร์หลับไปนานแล้ว นางอุ้มมาตลอดทาง ข้อศอกจึงปวดบวมมาก แล้วหันไปพูดเล่นกับปี้เจียวว่า “อีกสองปีข้าคงจะอุ้มซวนเอ๋อร์ไม่ไหวแล้ว” 

 

 

 

 

 

ปี้เจียวมองถาวจวินหลันอย่างกล่าวโทษ คำพูดแฝงคำตำหนิเอาไว้เป็นนัย “ร่างกายของชายารองยังต้องบำรุงอยู่ แล้วยังไม่รักตนเองเช่นนี้ คุณชายซวนเอ๋อร์นอนหลับไปแล้ว ก็ให้แม่นมหรือชุนฮุ่ยช่วยเหลือก็ได้มิใช่หรือเจ้าคะ?” 

 

 

 

 

 

ถาวจวินหลันหัวเราะอย่างไม่ใส่ใจนัก “อย่างไรเขาก็เป็นลูกของข้า ต้องใช้โอกาสตอนที่ยังอุ้มไหวรีบอุ้มไว้ก่อน มิเช่นนั้นต่อจากนี้อุ้มไม่ไหวแล้ว จะทำได้แค่นึกเสียดาย” 

 

 

 

 

 

เพราะว่าหลี่เย่ไม่อยู่บ้าน ดังนั้นนางจึงสั่งให้แม่นมพาซวนเอ๋อร์และหมิงจูมานอนกับตนเอง ถือว่าแม่ลูกสามคนจะได้ใกล้ชิดกันมากขึ้น อย่างไรแม่นมกับบ่าวรับใช้ก็อยู่เวรดึกด้านนอก ไม่ต้องกลัวว่ากลางดึกเด็กๆ จะตื่นมาวุ่นวาย 

 

 

 

 

 

พอจัดการพาหมิงจูกับซวนเอ๋อร์ไปนอนเข้าที่แล้ว ถาวจวินหลันถึงได้ออกไปกินน้ำแกงแกะหม้อไฟกับจิ้งหลิง พอคิดคำนวณดูแล้ว นางกลับมาเร็วกว่าเวลาที่คาดการณ์เอาไว้ตอนแรกเล็กน้อย 

 

 

 

 

 

ฤดูหนาวได้กินน้ำแกงแกะหม้อไฟนั้นช่างน่าพอใจเป็นที่สุด ทั้งสองคนยังอุ่นเหล้ากาหนึ่งอีกด้วย ค่อยๆ ดื่มไปพลางพูดคุยไปพลางเพื่อฆ่าเวลา 

 

 

 

 

 

“ข้าจำเรื่องสมัยอยู่ในวังเต๋ออันได้ เทศกาลฤดูหนาวชิงกูกูจะเคี่ยวน้ำแกงเนื้อแกะเอาไว้หม้อหนึ่ง แล้วก็กินพร้อมกันที่ห้องครัว ท่านอ๋องรู้เข้าก็ไม่ได้หงุดหงิด แต่กลับให้ห้องครัวเตรียมอาหารมาเพิ่ม สุดท้ายแล้วก็ให้ชิงกูกูเตรียมเอาไว้เป็นชุดเล็กๆ เพื่อเป็นของว่างยามดึก” ถาวจวินหลันมองหิมะที่ตกอยู่ด้านนอก อดย้อนคิดถึงเรื่องในอดีตไม่ได้ “คิดถึงตอนนั้น ช่างน่าอภิรมย์ยิ่งนัก” 

 

 

 

 

 

จิ้งหลิงจิบเหล้า กลอกตามองถาวจวินหลันทีหนึ่ง “เกรงว่าคงมีแต่ท่านที่อภิรมย์ ตอนนั้นท่านอ๋องมองท่านเป็นพิเศษ คิดว่าข้าไม่รู้หรืออย่างไร? ไปถามห้องเครื่องให้เตรียมอาหารเพิ่มก็จริง แต่ท่านลองคิดดูว่ามีอะไรบ้างที่ท่านไม่ชอบทาน? นั่นไม่ได้มีไว้เพื่อพวกเรา เขาทานของว่างยามดึก ก็เพียงเพราะต้องการเรียกท่านไปปรนนิบัติเท่านั้นเอง” 

 

 

 

 

 

จิ้งหลิงพูดออกมาตรงๆ เช่นนี้ ก็ให้ถาวจวินหลันใบหน้าร้อนผ่าว รีบกล่าวโทษ “รีบกินเถิด เรื่องเก่าแต่ก่อนเจ้าจำแม่นเสียจริง” 

 

 

 

 

 

“ไม่จำแม่นได้อย่างไร?” จิ้งหลิงหรี่ตาลงเหมือนกำลังหวนคิดถึงเรื่องในความทรงจำ “ตอนนั้นข้าคิดอยู่ทุกวัน ว่าท่านจะมาทดแทนที่ข้าไปเมื่อไรกันแน่? ในใจนั้นเหมือนมีมดไต่อยู่ทุกวัน ทรมานใจอย่างบอกไม่ถูก ที่จริงแล้วตอนนี้มานั่งคิดดู ก็ใช่ว่าจะชอบท่านอ๋องจริง แต่เพียงแค่ไม่พอใจและไม่ยอมแพ้เท่านั้นเอง ข้าอยู่ข้างกายท่านอ๋องมานานหลายปี แล้วทำไมจะสู้ท่านไม่ได้? อาจด้วยอายุน้อยเลือดร้อน นิสัยถูกบ่มเพาะมาเช่นนี้ ถึงได้กลายเป็นเช่นนี้ พอมาตอนนี้ถึงเพิ่งคิดได้” 

 

 

 

 

 

ถาวจวินหลันฟังจิ้งหลิงพูดอย่างน่าสงสาร ในใจก็อดรู้สึกรำพึงรำพันไม่ได้ 

 

 

 

 

 

“พูดไปแล้ว คนที่รู้จักในตอนนั้น ตอนนี้ก็เริ่มห่างเหินกันไปบ้างแล้ว ชิวจื่อไม่ต้องพูดถึง ตอนนี้ก็ยังอยู่ในจวน คนอื่นๆ ในตอนนี้ข้าเองก็แทบจะจำชื่อไม่ได้แล้ว แล้วยังมีตอนแรกที่ข้าอยู่หน่วยซักล้าง คนที่อาศัยอยู่ห้องเดียวกันนั้นก็เหลือเพียงไม่กี่คนแล้ว ล้วนมีชีวิตยากลำบากทั้งนั้น” ถาวจวินหลันหัวเราะขมขื่น ถอนหายใจ “พูดตรงๆ แล้วผู้หญิงในวังหลวงนั้นคงมีไม่กี่คนที่มีชีวิตสวยงาม” 

 

 

 

 

 

หลี่ว์หลิ่ว ฉ่ายยวน เหวินซิ่ง ในสามคนนี้ ตายไปแล้วสองคน ส่วนเหวินซิ่งนั้นในตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าไปประจำอยู่ที่ส่วนไหน 

 

 

 

 

 

“เอาเถิด ไม่พูดเรื่องเหล่านี้แล้ว” จิ้งหลิงรินเหล้าอีกจอกหนึ่ง พูดขัดความคิดของถาวจวินหลันอย่างไม่พอใจนัก “อยู่ดีๆ จะพูดเรื่องนี้ทำไมกัน” 

 

 

 

 

 

ถาวจวินหลันก็รู้สึกว่าวันนี้ตนเองดูจะอ่อนไหวเกินไปหน่อย จึงหัวเราะ ชนจอกเหล้ากับจิ้งหลิงก่อนดื่มเข้าไป 

 

 

 

 

 

ทั้งสองคนกินหม้อไฟไปพลาง ชมทิวทัศน์ท่ามกลางหิมะไปพลาง เพลิดเพลินเป็นอย่างยิ่ง 

 

 

 

 

 

เหล้านั้นร้อนกำลังพอดี ถาวจวินหลันได้ยินเสียงร้องดังออกมาจากด้านนอก จึงรีบถามว่า “ข้างนอกเกิดอะไรขึ้น?” 

 

 

 

 

 

ชุนฮุ่ยรีบวิ่งเข้ามาจากด้านนอก ใบหน้าดูไม่น่ามองนัก “ไม่ดีแล้วเจ้าค่ะ เกิดเพลิงไหม้แล้ว!”