บทที่ 535 บ้าคลั่ง

บัลลังก์พญาหงส์

ถาวจวินหลันได้ยินว่าเพลิงไหม้ก็ตกใจทันที แต่จากนั้นก็ได้สติกลับมา ตอนนี้ทุกที่มีหิมะตก แล้วจะเกิดเพลิงไหม้ได้อย่างไร? หิมะกองหนาขนาดนี้ จะก่อไฟติดได้อย่างไร 

 

 

 

 

 

“รุนแรงมากหรือไม่?” เมื่อคิดเช่นนี้ นางก็กลับลงไปนั่งใหม่ เพียงแค่หันไปถามชุนฮุ่ย “เกิดเพลิงไหม้ที่ใด?” 

 

 

 

 

 

ชุนฮุ่ยหลบตาเล็กน้อย ผ่านไปครู่หนึ่งถึงพูดว่า “เป็นเรือนที่พระชายาเคยอาศัยอยู่ก่อนหน้านี้เจ้าค่ะ กำลังเพลิงนั้นค่อนข้างใหญ่ จึงมีคนพูดว่า…” 

 

 

 

 

 

ถาวจวินหลันแสดงสีหน้าเย้ยหยัน จากนั้นก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย เอ่ยคำที่ชุนฮุ่ยไม่กล้าบอกออกมา “พวกเขาบอกว่าผีหลอกอย่างนั้นหรือ? พระชายามีห่วง จึงกลับมาอย่างนั้นหรือ?” 

 

 

 

 

 

ชุนฮุ่ยสั่นสะท้านเล็กน้อย รีบก้มหน้าลงไปไม่กล้าพูดอะไรอีก คนที่ใกล้ชิดกับถาวจวินหลันล้วนรู้ดีว่าตอนที่นางไม่พอใจมักมีท่าทีเช่นนี้ ไม่ได้อาละวาด แต่ยิ้มเย็นแฝงไว้ด้วยความเย้ยหยัน 

 

 

 

 

 

จิ้งหลิงตกใจจนขนลุกชัน รีบบีบคลึงแขนตนเอง ขมวดคิ้วพูดว่า “อยู่ดีๆ จะพูดขึ้นมาทำไม น่าตกใจนัก ดึกดื่นเช่นนี้พูดเรื่องนี้ เจ้าไม่กลัวหรืออย่างไร?” 

 

 

 

 

 

ถาวจวินหลันมองไปทางจิ้งหลิง ยิ้มออกมาน้อยๆ “กลัวอะไร? หากมีผีสางจริง ถ้าเช่นนั้นก็คงไม่ใช่พระชายา อีกอย่าง หากวิญญาณของพระชายายังไม่ไปไหนจริง กลับมาก็คงไม่มาหาพวกเรา คนที่นางจะต้องไปหาย่อมต้องเป็นคนร้ายตัวจริงที่ทำให้นางตาย” 

 

 

 

 

 

ตอนที่หลิวซื่อตาย คนที่เกลียดมากที่สุดคือฮองเฮา ไม่ใช่นาง นางมีอะไรต้องกลัวกัน? อีกอย่างต่อให้หลิวซื่อเกลียดนางมากที่สุดแล้วจะทำไม? นางเคยทำเรื่องที่ไม่บริสุทธิ์ใจ แล้วเคยทำร้ายหลิวซื่อหรืออย่างไรกัน? แม้ว่าจะเคยทะเลาะกันบ้าง แต่นั่นก็ตอบแทนหวนกลับไปทุกครั้ง เป็นหลิวซื่อที่หาเรื่องเอง นางจะต้องกลัวอะไร? 

 

 

 

 

 

หากบนโลกมีผีสางวิญญาณจริง ฮองเฮาทำเรื่องมากมายเช่นนั้น ทำร้ายชีวิตคนไปมากมายเพียงใด ทำไมถึงไม่เห็นมีใครไปหานางบ้าง? 

 

 

 

 

 

หากบนโลกนี้มีผีสางวิญญาณจริง ทำไมไม่เห็นคนที่ฆ่าพ่อแม่ของตนถูกวิญญาณเอาตัวไปเล่า? 

 

 

 

 

 

หากโลกใบนี้มีผีสางวิญญาณจริง ถ้าเช่นนั้นทำไมบนโลกใบนี้ถึงมีเรื่องอยุติธรรมมากเพียงนี้? 

 

 

 

 

 

ดังนั้นนางจึงไม่เชื่อว่าบนโลกใบนี้มีผีสาง ดังนั้นย่อมไม่หวาดกลัว 

 

 

 

 

 

“ไป ไปสืบมาให้ดีว่าแท้จริงทำไมถึงเกิดเพลิงไหม้ อากาศหนาวเพียงนี้ หิมะก็ตก ที่แห่งนั้นไม่มีคนพักอาศัย แม้แต่เตาผิงสักอันก็ไม่มี ถ้าบอกว่าไฟไหม้เอง ข้าไม่เชื่อ” ถาวจวินหลันหัวเราะเสียงเย็นเอ่ยเสียงสั่งชุนฮุ่ย ด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “อย่าเอาเรื่องผีสางมาหลอกข้าอีก! แล้วบอกคนอื่นด้วยว่าคนที่พูดเลอะเทอะ จักต้องถูกโบยยี่สิบที! มีเวลามาพูดเรื่องเหล่านี้ ไม่สู้ไปดับไฟจะดีกว่า!” 

 

 

 

 

 

เรื่องดับไฟนั้นนางกลับไม่เป็นกังวล แม้ว่าจะดับไม่ได้ ก็เพียงแค่เรือนนั้นโดนเผาไปหมดเท่านั้นเอง ที่อื่นไม่ได้โดนผลกระทบไปด้วย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงแต่ละเรือนยังมีโอ่งน้ำใหญ่อยู่หลายใบ ปกติแล้วเอาไว้ปลูกบัวเลี้ยงปลา แต่ประโยชน์ที่แท้จริงนั้นคือการเก็บน้ำไว้ดับไฟ 

 

 

 

 

 

จิ้งหลิงลังเลไปครู่หนึ่ง และพูดว่า “ถ้าเช่นนั้นพวกเราก็ไปดูกันดีหรือไม่?” เกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้ขึ้น ก็ควรที่จะมีคนไปคุมสถานการณ์ 

 

 

 

 

 

ถาวจวินหลันส่ายหน้า “มีอะไรน่าดูกัน? อีกอย่าง ถ้าหากแค่นี้ยังจัดการไม่ได้ เจอเรื่องอะไรก็ตื่นตกใจ ไม่รู้จะทำอะไร ต่อจากนี้ไปก็ไม่ต้องเลี้ยงพวกเขาเอาไว้แล้ว” 

 

 

 

 

 

แต่สุดท้ายแล้วในใจก็ไม่สงบเท่าไรนัก “แจ้งทุกที่ให้ทราบทั่วกัน ให้ระวังไว้หน่อย สังเกตถ่านไฟ เตาผิงต่างๆ” มีที่แห่งเดียวเกิดเพลิงไหม้ก็พอแล้ว หากมีที่อื่น นั่นก็เกินไปแล้ว อีกทั้งเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นในวันอย่างนี้ คนอื่นจะพากันคิดว่าเป็นโชคร้าย ไม่เป็นมงคล 

 

 

 

 

 

แล้วจะเอาอะไรกับคำเตือนของอิงผินในวันนี้ แต่เดิมนางก็รู้สึกไม่สงบใจอยู่แล้ว ย่อมไม่ยอมให้เกิดเรื่องอะไรขึ้นอีก 

 

 

 

 

 

“ข้ากลับไปดูกั่วเจี่ยเอ๋อร์ดีกว่า คนอื่นจะได้ไม่ทำให้นางตกใจ” จิ้งหลิงนับถือความสงบนิ่งของถาวจวินหลัน แต่นางกลับคิดมากเกินไป ดังนั้นจึงนั่งต่อไปไม่ไหว ด้านนอกเสียงดังอึกทึกเช่นนี้ กั่วเจี่ยเอ๋อร์ตกใจคงไม่ดี อีกทั้งเพิ่งเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น นางเองก็ไม่มีใจจะกินอะไรต่อแล้ว 

 

 

 

 

 

ที่จริงแล้วถาวจวินหลันก็หมดสนุกเช่นกัน เกิดเรื่องแบบนี้ ก็ไม่อยากอาหารจริงๆ พยักหน้าพลางพูดว่า “กลับไปให้ห้องครัวเตรียมบะหมี่เอาไว้เสียหน่อย” เพิ่งจะกินไปเท่านี้ เกรงว่าจะทนไม่ถึงพรุ่งนี้เช้า 

 

 

 

 

 

อีกทั้งเรื่องกลางดึกวันนี้ ก็ยังไม่รู้ว่าจะต้องวุ่นวายไปจนถึงเมื่อไร 

 

 

 

 

 

แต่คำพูดของจิ้งหลิงก็เตือนสตินาง นางจึงรีบลุกเดินกลับห้องนอนเพื่อดูซวนเอ๋อร์กับหมิงจู เห็นว่าทั้งสองคนหลับลึก ไม่ได้ถูกรบกวนแม้แต่น้อย นางก็ถอนใจ มองแม่นมพลางพูดว่า “เฝ้าดูให้ดี อย่าให้ตกใจไป” 

 

 

 

 

 

แม่นมรับคำเสียงเบา 

 

 

 

 

 

ถาวจวินหลันยังคงนั่งรอข่าวอยู่ด้านนอก หม้อไฟนางไม่กินแล้ว จึงให้ปี้เจียวไปทำบะหมี่มาต้มในหม้อแล้วแบ่งเป็นถ้วยเล็กให้นาง ที่เหลือก็ให้ปี้เจียว และบรรดาบ่าวรับใช้แบ่งกันกินต่อไป 

 

 

 

 

 

แม้จะบอกว่าไม่คิดจะไปดู แต่ถ้าจะพูดว่าไม่กังวลเลยก็ไม่ใช่ ที่จริงแล้วนางก็ร้อนใจเช่นเดียวกัน ดังนั้นนางจึงอดไปยืนมองอยู่ข้างหน้าต่างไม่ได้ แล้วนางก็ได้เห็นท้องฟ้าทางฝั่งนั้นเป็นสีแดงฉาน ก็ให้ตกใจมาก “ทำไมเพลิงถึงได้ใหญ่เช่นนั้น?” 

 

 

 

 

 

เพราะว่าเพลิงลุกไหม้แรงเกินไป ดังนั้นคืนนี้จึงวุ่นวายไปจนท้องฟ้าเริ่มมีแสงสว่างให้เห็น เพลิงถึงได้มอดดับลงไปบ้าง 

 

 

 

 

 

แม้ว่าถาวจวินหลันจะไม่ได้ไปดูด้วยตนเอง แต่ก็อยู่รอฟังข่าวว่าควบคุมเพลิงได้พอสมควรแล้วถึงไปพักผ่อน แต่ก็ยังคงนอนไม่หลับ ตราบจนได้ยินว่าไฟดับแล้ว ถึงได้สบายใจไปเปลาะหนึ่ง รู้สึกว่าทั้งร่างล้าเป็นอย่างมาก ถึงได้หลับตานอนลงไป  

 

 

 

 

 

แต่นอนไปได้ไม่นาน ถาวจวินหลันก็ได้ยินเสียงร้องไห้จากข้างนอก ไม่ใช่แค่นางเท่านั้นที่สะดุ้งตื่น แม้แต่ซวนเอ๋อร์ก็ตื่นขึ้นมาเพราะเสียงดังเช่นกัน 

 

 

 

 

 

ถาวจวินหลันที่เพิ่งนอนต้องสะดุ้งตื่นย่อมต้องหงุดหงิดเล็กน้อย และเห็นซวนเอ๋อร์ที่สะดุ้งตื่น ยังทีท่าทีสะลึมสะลือทรมานเป็นอย่างมากนั้น ไฟโกรธของนางก็ยิ่งพุ่งสูงขึ้น เหลือบมองบ่าวรับใช้ที่อยู่หน้าประตูด้วยสายตาเย็นเยียบ พูดว่า “เรือนเฉินเซียงของพวกเราไม่มีคนแล้วหรืออย่างไร? ทำไมไม่ว่าเรื่องอะไรก็ต้องวิ่งมาร้องไห้ส่งเสียงดัง? ชุนฮุ่ยเล่า?” 

 

 

 

 

 

บ่าวรับใช้เห็นว่าถาวจวินหลันตื่นขึ้นมา ก็ตอบอย่างกล้าๆ กลัวๆ “พวกพี่ชุนฮุ่ยกำลังขวางอยู่ด้านนอกเจ้าค่ะ แต่คนที่มาคือชายารองเจียง ไม่ว่าอย่างไรก็ขวางเอาไว้ไม่ไหวเจ้าค่ะ” 

 

 

 

 

 

เจียงอวี้เหลียนอีกแล้ว! ถาวจวินหลันปวดหัวจนต้องนวดระหว่างคิ้วตนเอง กดไฟโกรธของตนเองและลุกขึ้นมาจากเตียง นางอยากจะถามเจียงอวี้เหลียน ว่าแท้จริงแล้วเห็นเรือนของนางเป็นที่ใดกัน? ตลาดหรือว่าสวนดอกไม้อย่างนั้นหรือ? อยากจะมาก็มา อยากจะไปก็ไปตามใจชอบได้อย่างนั้นหรือ? อยากจะเสียงดังก็ทำได้ตามใจชอบอย่างนั้นหรือ? 

 

 

 

 

 

สำหรับซวนเอ๋อร์นั้น นางก็ทำได้แค่ส่งให้แม่นมไปกล่อม 

 

 

 

 

 

เพราะว่ารู้สึกไม่สบายใจ จึงไม่สนใจสวมเสื้อคลุมอะไรไปๆ มาๆ อีก จึงหยิบเสื้อนวมมาคลุมเอาไว้ง่ายๆ แล้วเดินออกไป ไม่ว่าอย่างไรก็มีเตาผิงอยู่ ไม่จำเป็นต้องกลัวหนาวแม้แต่น้อย 

 

 

 

 

 

แต่เมื่อเห็นเจียงอวี้เหลียน นางกลับต้องตกใจไป เพราะเจียงอวี้เหลียนนั้นไม่ได้แตกต่างจากนางมากนัก ไม่ได้สวมเสื้อคลุมตัวใหญ่ด้านนอกเหมือนกัน แม้กระทั่งชุดนอนก็ยังไม่ทันเปลี่ยนด้วยซ้ำไป 

 

 

 

 

 

เมื่อเห็นถาวจวินหลัน เจียงอวี้เหลียนก็เหมือนพบผู้ช่วยชีวิตอย่างไรอย่างนั้น ไม่สนว่าข้างกายยังมีคนอื่นดึงนางอยู่ พุ่งเข้ามาหาในทันใด ปิ่นปักผมสีทองก็หลุดลุ่ยออกมา สภาพเช่นนั้นดูแล้วเหมือนกับหญิงคลุ้มคลั่งอย่างไรอย่างนั้น 

 

 

 

 

 

ถาวจวินหลันเห็นเจียงอวี้เหลียนเป็นเช่นนี้ ก็ถอยหลังตามสัญชาตญาณ จากนั้นเมื่อตั้งสติได้ก็แทบหลุดหัวเราะด้วยความโมโห สูดลมหายใจลึกกดความโกรธเอาไว้ พูดต่อว่า “เจ้าคิดจะทำอะไรกัน? ลองก้มหน้าดูว่าตอนนี้เจ้าเป็นเช่นไร ไฉนเลยยังจะมีสภาพเหมือนกับชายารองตวนอ๋องอยู่อีก? แตกต่างอะไรกับหญิงคลุ้มคลั่งด้านนอกเล่า? อย่าบอกข้าว่าเจ้าสวมใส่ชุดนอนเช่นนี้ตรงมาจากเรือนของเจ้า!” 

 

 

 

 

 

เพราะว่าเรื่องไฟไหม้เมื่อคืนนี้ ถาวจวินหลันย่อมรู้ดีว่าด้านนอกนั้นมีคนเดินไปมาไม่น้อย หากเจียงอวี้เหลียนออกมาทั้งสภาพเช่นนี้ ตลอดทั้งทางก็ไม่รู้ว่าต้องเจอกับเสียงขบขันของคนมากมายเท่าไร เพียงแค่คิดเท่านี้นางก็ปวดหัวแล้ว 

 

 

 

 

 

เป็นเจ้านายแล้วทำตัวให้เสียเกียรติต่อหน้าบ่าวไพร่ ต่อจากนี้ไปจะยังดูแลคนได้อย่างไร ใครจะเชื่อถือ? ที่สำคัญคือเจียงอวี้เหลียน ขายขี้หน้าคนเดียวยังไม่เป็นอะไร แต่นี่ต่อหน้าคนอื่นมากมาย ยากที่จะรับปากว่าจะไม่ถูกแพร่งพรายออกไป ถึงตอนนั้นคนที่ขายขี้หน้าก็ไม่ใช่เจียงอวี้เหลียนคนเดียวแล้ว! 

 

 

 

 

 

เพียงแค่คิดเท่านี้ ถาวจวินหลันก็ยิ่งรู้สึกปวดหัวมากกว่าเดิม แน่นอนว่านางเองก็แปลกใจว่าแท้จริงแล้วเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ถึงทำให้เจียงอวี้เหลียนยอมเสียหน้าแบบนี้? 

 

 

 

 

 

เจียงอวี้เหลียนเหมือนไม่รับรู้อะไรอีก เพียงแค่ตะโกนร้องจนเสียงแหบแห้งไปทางถาวจวินหลัน “คืนลูกชายของข้ามา!” 

 

 

 

 

 

เพราะว่าทุกคนไม่กล้าปล่อยมือ ดังนั้นจึงทำได้แค่ดิ้นรน ไม่ได้พุ่งเข้าไปจริง แต่ดูท่าทีของนางเช่นนั้นกลับดูน่าหวาดกลัวอยู่ไม่น้อย ทำเอาคนที่เห็นพากันตึงเครียด 

 

 

 

 

 

ถาวจวินหลันอึ้งไป พูดออกมาตามสัญชาตญาณ “เซิ่นเอ๋อร์เป็นอะไรไป?” อยู่ดีๆ ทำไมเจียงอวี้เหลียนถึงมาบอกให้นางคืนลูกชาย? 

 

 

 

 

 

บ่าวรับใช้ของเจียงอวี้เหลียนเปิดปากพูดออกมา ดึงเจียงอวี้เหลียนเอาไว้ แล้วพูดด้วยเสียงสะอึกสะอื้น “คุณชายเซิ่นเอ๋อร์หายไปเจ้าค่ะ!” 

 

 

 

 

 

ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนี้ก็หัวขาวโพลนไปหมด ผ่านไปครู่ใหญ่ก็ยังเรียกสติกลับมาไม่ได้ เหมือนว่าภายในหัวนั้นถูกอัดแน่นไปด้วยแป้งเปียก แม้กระทั่งนางยังรู้สึกว่าทั้งร่างเหมือนจะเป็นลมลงไปเสียอย่างนั้น 

 

 

 

 

 

“นี่เป็นไปได้อย่างไร?” ถาวจวินหลันตะโกนถาม “อยู่ดีๆ จะหายไปไหนได้? แม่นมอุ้มไปเล่นที่อื่นหรือไม่?” 

 

 

 

 

 

เจียงอวี้เหลียนถ่มน้ำลายลงพื้นอย่างแรงทีหนึ่ง ดวงตาแดงก่ำมองไปยังถาวจวินหลันนิ่ง “เป็นเจ้า! จะต้องเป็นเจ้าแน่! เจ้าอย่ามาเสแสร้งหน่อยเลย! เจ้ารีบคืนลูกข้ามา! มิเช่นนั้นข้าจะฆ่าลูกชายของเจ้า!” 

 

 

 

 

 

ตอนที่เจียงอวี้เหลียนพูดออกมา ทั้งดวงตา และใบหน้านั้นก็เต็มไปด้วยความบ้าคลั่ง ไม่ต้องสงสัยเลยว่านางกล้าทำเรื่องนี้จริง 

 

 

 

 

 

สีหน้าของถาวจวินหลันขรึมลง เบนหน้าไปมองประตูห้องนอนตามสัญชาตญาณ เห็นว่าถูกปิดอย่างแน่นหนาก็รู้สึกสงบขึ้นมาเล็กน้อย จากนั้นก็เริ่มหงุดหงิด สูดลมหายใจเข้าลึก นางสั่งเสียงเรียบว่า “ดูท่าทางชายารองเจียงจะยังไม่ได้สติดี ไปเอาหิมะข้างนอกมาตบนางสักที! ดูสิว่าจะได้สติกลับมาหรือไม่!” 

 

 

 

 

 

จากนั้นก็มองไปยังบ่าวของเจียงอวี้เหลียน “เจ้าตอบมา พูด ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?” 

 

 

 

 

 

พวกปี้เจียวไม่พอใจที่เจียงอวี้เหลียนมาหาเรื่องเสียงดังโหวกเหวกโวยวายตั้งนานแล้ว เมื่อได้ยินเจียงอวี้เหลียนพูดจาโหดเ**้ยมเช่นนี้ก็ยิ่งไม่พอใจ รีบให้คนไปขุดเอาหิมะเข้ามาเพื่อช่วยให้เจียงอวี้เหลียน ‘ใจเย็น’ ลงจริง 

 

 

 

 

 

บ่าวรับใช้ของเจียงอวี้เหลียนไม่มีใครกล้าส่งเสียงห้ามแม้แต่คนเดียว กลัวว่าจะถูกพาลทำโทษไปด้วย บ่าวที่ถูกชี้ตัวนั้นกลับรีบโขกหัวลงอย่างเร็ว “เมื่อคืนนี้ก่อนที่จะหลับก็ยังดีอยู่เจ้าค่ะ แต่เมื่อเช้าพวกบ่าวกลับพบว่าคุณชายเซิ่นเอ๋อร์ไม่อยู่แล้วเจ้าค่ะ! แล้วแม่นมยังหายไปด้วยเจ้าค่ะ!” 

 

 

 

 

 

”ได้ไปที่อื่นหรือไม่?” ถาวจวินหลันขมวดคิ้วถาม 

 

 

 

 

 

บ่าวรับใช้ส่ายหน้า “ไม่มีทางเจ้าค่ะ พวกบ่าวหาจนทั่วเรือนชิวอี๋แล้วเจ้าค่ะ!” 

 

 

 

 

 

“แต่ถ้าแม่นมออกไปจริง พวกเจ้าจะไม่มีใครจับสังเกตได้เลยอย่างนั้นหรือ?” ถาวจวินหลันได้แต่รู้สึกว่าไม่น่าเชื่อเท่าไรนัก