หลังจากที่หาทั่วจวนตวนชินอ๋องแล้วนั้น ในที่สุดถาวจวินหลันก็มั่นใจว่าเซิ่นเอ๋อร์หายไปจริง แต่หายไปอย่างไรกลับไม่อาจรู้ได้ 

 

 

ถาวจวินหลันลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนพูดอย่างเด็ดเดี่ยว “ให้คนไปแจ้งเรื่องนี้ที่ศาลาว่าการ แล้วข้าจะเข้าวังหลวงเดี๋ยวนี้” 

 

 

และในขณะเดียวกัน ในใจของนางก็ไม่สงบสุขนัก กลัวว่าซวนเอ๋อร์กับหมิงจูจะพบเรื่องเช่นนี้เหมือนกัน จึงสั่งให้คนทั้งหมดในเรือนเฉินเซียงดูแลเด็กๆ ให้ดี อย่าให้คลาดสายตาโดยเด็ดขาด 

 

 

ไม่เพียงกำชับแค่เรือนเฉินเซียงเท่านั้น แม้ยังกำชับจิ้งหลิงด้วยเช่นกัน 

 

 

ในจวนตวนชินอ๋องมีเด็กอยู่ไม่กี่คน เซิ่นเอ๋อร์หายไปก็เป็นเรื่องใหญ่แล้ว หากคนอื่นเป็นอะไรไปอีก นางก็ทำได้เพียงเอาชีวิตเข้าแลกแล้ว 

 

 

ระหว่างทางเข้าไปในวังหลวง ถาวจวินหลันก็ครุ่นคิดอยู่ตลอดว่าทำไมเจียงอวี้เหลียนถึงมั่นใจนักว่านางเป็นคนขโมยเซิ่นเอ๋อร์ไป ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัวคล้ายจะระเบิด พูดตามตรงแล้วไม่ได้นอนทั้งคืน เมื่อนอนได้ไม่นานก็มีเรื่องนี้มารบกวน จนนางเริ่มมึนงงไปหมดแล้ว 

 

 

ถาวจวินหลันครุ่นคิดในใจ ว่าอย่างไรเรื่องนี้ก็ต้องผ่านทางไทเฮาก่อนเท่านั้น ดังนั้นจึงตรงไปวังหย่งโซ่วทันที 

 

 

ตอนนี้ไทเฮายังไม่ตื่นบรรทม ตามกฎของวังหลวงแล้ว ถาวจวินหลันจะต้องยืนรออยู่หน้าพระราชฐาน แต่ตอนนี้ไฉนเลยนางจะอดทนและมีใจรออีกเล่า? อีกทั้งนี่ยังเป็นเรื่องเร่งด่วนด้วย ดังนั้นถาวจวินหลันจึงไม่สนใจกฎเกณฑ์ รีบจับจางหมัวหมัวเอาไว้แล้วเล่าเหตุการณ์ให้ฟัง “เซิ่นเอ๋อร์หายตัวไป นี่เป็นเรื่องเร่งด่วนมาก ขอจางหมัวหมัวช่วยเข้าไปบอกไทเฮาด้วยเถิด หากเกิดเรื่องอะไรขึ้น ข้าขอรับผิดเอง!” 

 

 

จางหมัวหมัวได้ยินว่าเซิ่นเอ๋อร์หายตัวไป ก็ไม่กล้าล่าช้าอีก รีบเข้าไปเรียกไทเฮาในห้องบรรทม ถาวจวินหลันคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็ตัดสินใจเดินตามเข้าไปข้างใน 

 

 

ไทเฮาเพิ่งจะลืมตา ถาวจวินหลันก็นั่งคุกเข่าลงบนพื้น “ขอไทเฮาช่วยด้วยเถิดเพคะ!” 

 

 

ไทเฮาเห็นถาวจวินหลันก็ตกใจเช่นเดียวกัน “เกิดอะไรขึ้น? มาทำอะไรเช้าขนาดนี้?” 

 

 

แม้นถาวจวินหลันจะรู้อยู่ว่าหากพูดไปตรงๆ ไทเฮาอาจตกใจได้ แต่ไฉนเลยนางจะยังกังวลได้อีก? ได้แต่เพียงร้อนใจเล่าเรื่องราวทั้งหมด และบอกอีกว่า “ตอนนี้หม่อมฉันส่งคนไปแจ้งเรื่องไว้แล้ว แต่อย่างไรก็ยังต้องการความช่วยเหลือจากไทเฮาเพคะ” 

 

 

ไทเฮาเองก็แปลกใจเช่นเดียวกัน “อยู่ดีๆ ทำไมถึงหายไปเล่า? แม้ว่าคนอื่นจะอุ้มไป แต่เข้าๆ ออกๆ จะไม่มีคนสังเกตเห็นเลยหรือ? หรือยังมีประตูอื่นอีก?” 

 

 

ถาวจวินหลันหัวเราะขมขื่น “เพราะว่าไม่มีใครเห็น ถึงได้แปลกใจเพคะ ตอนนี้ชายารองเจียงเอาแต่โทษว่าหม่อมฉันเอาเซิ่นเอ๋อร์ไปแอบ จะให้หม่อมฉันเอาไปคืนเพคะ ไทเฮาว่านี่จะเป็นไปได้อย่างไรเพคะ?” 

 

 

ไทเฮานิ่งอยู่ในภวังค์ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดเนิบๆ “หากข้าเป็นเจียงอวี้เหลียน ข้าก็คงสงสัยเจ้า จะต้องรู้ว่าเด็กผู้ชายในจวนตวนอ๋องมีเพียงซวนเอ๋อร์กับเซิ่นเอ๋อร์สองคนเท่านั้น เป็นไปได้ว่าเจ้ากลัวเซิ่นเอ๋อร์จะคุกคามถึงฐานะของซวนเอ๋อร์ ไม่ใช่เพียงข้า เกรงว่าทุกคนคงคาดเดาเช่นนี้” 

 

 

ถาวจวินหลันใจกระตุกวูบ แล้วก็ไม่พอใจความเคลือบแคลงของไทเฮา แต่จากนั้นก็คิดย้อนกลับมาได้ ไทเฮากำลังเตือนตนเองอยู่ เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น คนแรกที่ถูกสงสัยสุดท้ายแล้วก็ยังเป็นถาวจวินหลัน 

 

 

ความคิดหนึ่งแวบผ่านเข้ามาในหัวถาวจวินหลันเหมือนสายฟ้าฟาด นางจึงพูดอย่างอึ้งตะลึง “จะเป็นไปได้หรือไม่ว่าคนลงมือจะพุ่งเป้ามาที่หม่อมฉัน หากต้องการจับคน ซวนเอ๋อร์ก็เหมาะกว่าเซิ่นเอ๋อร์หลายเท่านัก อย่างไรซวนเอ๋อร์ก็ถูกเลี้ยงอยู่ในวังหลวงมานาน ไม่ว่าจะเป็นพระองค์หรือฮ่องเต้ และท่านอ๋องเองก็เอ็นดูเขามากกว่า เขาจึงสำคัญกับจวนตวนชินอ๋องมาก…” เพราะอย่างไรแล้วซวนเอ๋อร์ก็เป็นลูกชายคนโต 

 

 

ไทเฮาเหลือบมองถาวจวินหลัน น้ำเสียงยังคงนิ่งเรียบ “ข้าไม่ได้พูดเช่นนั้น เพียงพูดถึงความเป็นไปได้เท่านั้น อีกอย่างเซิ่นเอ๋อร์ไม่สำคัญที่ไหนกัน? เด็กตัวน้อยๆ ยังไม่รู้เรื่องรู้ราว เหลือไว้เพียงหน่ออ่อนหน่อเดียว จะยังรอดหรือไม่ก็ยังไม่รู้? อีกอย่างวันนี้เซิ่นเอ๋อร์หายไปอย่างไร้ร่องรอย พรุ่งนี้ซวนเอ๋อร์ก็อาจหายไปได้เช่นเดียวกัน“ 

 

 

เงียบไปครู่หนึ่งไทเฮาก็พูดเสริมว่า “ไม่ว่าจะเป็นปฏิปักษ์ต่อเจ้าก็ดี หรือว่ามีเหตุผลอื่นก็ดี แต่ก็มั่นใจได้เรื่องหนึ่ง นั่นคือคนผู้นี้ต้องการเล่นงานจวนตวนชินอ๋อง” 

 

 

ไทเฮาพูดเช่นนี้ ถาวจวินหลันก็คิดถึงฮองเฮาขึ้นมาในฉับพลัน เหมือนว่านอกจากฮองเฮาแล้วก็ไม่มีใครอยากเล่นงานจวนตวนชินอ๋องเช่นนี้ 

 

 

บางทีอาจเป็นคนที่คอยหาเรื่องปล่อยข่าวลือความสัมพันธ์ระหว่างจวนตวนชินอ๋องและฮองเฮาอยู่ลับหลัง 

 

 

แต่ไม่ว่าจะเป็นฝีมือใคร ความสามารถของอีกฝ่ายก็น่าตื่นตะลึงเป็นที่ยิ่ง ถาวจวินหลันกล้าบอกว่าถึงแม้จวนตวนชินอ๋องจะไม่ได้เคร่งครัดเท่าวังหลวง แต่ก็ไม่ใช่สถานที่ที่ใครเข้าออกได้ง่าย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพาเด็กคนหนึ่งออกไปด้วยเลย 

 

 

ถาวจวินหลันถอนใจ แล้วยังปวดหัวยิ่งกว่าเดิม 

 

 

“เมื่อคืนนี้มีเรื่องอื่นอีกหรือไม่?” ไทเฮาครุ่นคิดอยู่นาน แล้วถามเช่นนี้ออกมาอีก 

 

 

ถาวจวินหลันพยักหน้า “เมื่อคืนนี้ยังเกิดเพลิงไหม้อีกที่เพคะ” พอไทเฮาถามเช่นนี้นางก็เข้าใจทันที นี่เป็นแผนล่อเสือออกจากถ้ำ เพลิงไหม้คือเรื่องที่เอาไว้ล่อ ส่วนพาเซิ่นเอ๋อร์ออกไปเป็นเป้าหมายหลัก 

 

 

นางพลันเย็นยะเยือกไปทั่วตัว เกรงว่านี่คงวางแผนไว้นานแล้วใช่หรือไม่? หากเมื่อวานนี้นางออกไปดูสถานการณ์ ตอนที่กลับมาซวนเอ๋อร์กับหมิงจูคงหายไปแล้วใช่หรือไม่? 

 

 

เมื่อคืนนางก็คิดว่าเรื่องเพลิงไหม้นั้นน่าสงสัยมาก พอวันนี้ถูกไทเฮาเตือนเช่นนี้อีก นางก็ยิ่งแปลกใจมากขึ้น 

 

 

แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาคิดเรื่องเหล่านี้ ถาวจวินหลันหัวเราะขมขื่น “ไทเฮาเพคะ พระองค์ช่วยหม่อมฉันคิดหาวิธีเถิดเพคะ ยามนี้จะพาตัวเซิ่นเอ๋อร์กลับมาอย่างไรดีเพคะ” 

 

 

ไทเฮาถอนใจ หัวเราะขมขื่นเช่นเดียวกัน “ข้าจะไปหาอย่างไร? เอาแบบนี้ ข้าให้จางหมัวหมัวพาเจ้าไปพบฮ่องเต้ ส่วนเจ้าไปขอร้องฮ่องเต้เอาเองแล้วกัน” 

 

 

นี่เป็นแผ่นดินของฮ่องเต้ หากเขาเอ่ยปากพูดแล้ว ย่อมดีกว่าอะไรทั้งสิ้น 

 

 

ถาวจวินหลันเข้าใจเรื่องนี้ดี ก็ไม่สนใจว่าทำไมไทเฮาถึงไม่ไปพูดกับฮ่องเต้ แต่ให้นางไปพบฮ่องเต้เอง เพียงแค่รีบขอบพระทัยไทเฮาแล้วเดินตามจางหมัวหมัวไป 

 

 

นางไม่กล้าล่าช้าแม้แต่น้อย มิเช่นนั้นหาซวนเอ๋อร์ไม่เจอแล้วนางจะรับผิดชอบอย่างไร? ทั้งหลี่เย่ ไทเฮา เจียงอวี้เหลียน ก็ไม่มีทางรับผิดชอบได้ แม้ว่าเรื่องนี้นางจะไม่เกี่ยวข้อง แล้วใครจะเชื่อ? เกรงว่าถึงแม้นางจะกระโดดลงแม่น้ำเหลืองไปก็ยังคงไม่มีคนเชื่อ 

 

 

พอคิดถึงภาพนั้น นางก็อดขมขื่นในใจไม่ได้ ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัวมาก 

 

 

เรื่องนี้ไม่ต้องพูดถึง นางเองก็ไม่หวังให้เซิ่นเอ๋อร์เป็นอะไรไป ไม่ว่านางจะไม่ชอบเจียงอวี้เหลียนอย่างไร หรือไม่ยอมให้เซิ่นเอ๋อร์มาคุกคามซวนเอ๋อร์ แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่เคยคิดให้เซิ่นเอ๋อร์ตายไปจริง เพราะไม่ว่าอย่างไรเซิ่นเอ๋อร์ก็ยังเป็นเด็กเล็กที่ยังต้องดื่มนมอยู่ หากนางคิดเช่นนั้นจริง นั่นก็ถือเป็นหญิงใจยักษ์ใจมารแล้ว 

 

 

นางก็มีลูกสองคนแล้ว ย่อมไม่โหดเ**้ยมขนาดนั้นแน่ 

 

 

ระหว่างทางไปตำหนักไท่เหอเพื่อเข้าเฝ้าฮ่องเต้ ถาวจวินหลันก็ไม่ได้หยุดพักเลยแม้แต่น้อย จนบนร่างนั้นมีเหงื่อไหลเต็มไปหมด แต่นางกลับไม่สนเรื่องเหล่านี้ ทว่ามีสมาธิจดจ่ออยู่กับการเข้าเฝ้าฮ่องเต้ว่านางควรพูดอย่างไร ควรขอความช่วยเหลือจากฮ่องเต้อย่างไร 

 

 

เห็นได้ชัดว่าฮ่องเต้อึดอัดใจจากการขอเข้าเฝ้าของถาวจวินหลัน โดยเฉพาะยังเช้าเช่นนี้ 

 

 

หลังจากถาวจวินหลันเข้าไปแล้วก็ค้อมทำความเคารพ ก่อนคุกเข่าลงพื้น แล้วเล่าเรื่องในจวนตวนชินอ๋องออกมา “เซิ่นเอ๋อร์บุตรชายของชายารองเจียงหายตัวไปเพคะ หาทั่วทั้งจวนแล้วก็ยังไม่พบ หม่อมฉันหมดสิ้นหนทางแล้ว จึงมาขอความช่วยเหลือจากฮ่องเต้เพคะ!” 

 

 

ฮ่องเต้ขมวดคิ้ว แล้วถามกลับว่า “ข้าจำได้ว่าเซิ่นเอ๋อร์เป็นเด็กเล็กยังไม่หย่านม” 

 

 

ถาวจวินหลันยิ้มขมขื่นพลางพยักหน้า “เพคะ เป็นเด็กที่ยังไม่หย่านม ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจวิ่งไปเองได้ ดังนั้นเรื่องนี้จึงแปลกมากเพคะ หม่อมฉันถามคนที่เฝ้าทุกคนแล้ว ต่างก็พูดว่าไม่เห็นคนพาเด็กออกไปเพคะ เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้ เด็กคงไม่มีปีกงอกแล้วบินไปได้เองหรอกกระมัง?” 

 

 

เงียบไปครู่หนึ่ง ถาวจวินหลันก็พูดเรื่องเพลิงไหม้อีก 

 

 

ฮ่องเต้ขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น จากนั้นก็เรียกขันทีเป่าฉวนเข้ามาใกล้ๆ “ขันทีเป่าฉวน เจ้าไปสืบมาว่าเกิดอะไรขึ้น!” 

 

 

ถาวจวินหลันหมอบอยู่กับพื้น พูดสะอึกสะอื้น “ขอให้ฮ่องเต้ตามเซิ่นเอ๋อร์กลับมาได้ด้วยเถิดเพคะ จวนตวนชินอ๋องมีเพียงต้นกล้าสองต้นนี้เท่านั้น ก่อนที่ท่านอ๋องจะเดินทางจากไปก็ยังกำชับว่าให้หม่อมฉันดูแลจวนให้ดี หากหาเซิ่นเอ๋อร์ไม่พบ หม่อมฉันก็ต้องเอาชีวิตชดใช้ความผิด ไม่มีหน้าไปพบท่านอ๋องได้อีกเพคะ! เป็นหม่อมฉันที่ทำผิดต่อท่านอ๋อง! ท่านอ๋องทนลำบากอยู่ด้านนอก แต่หม่อมฉันกลับดูแลไม่ได้แม้แต่เด็กเพียงคนเดียว!” 

 

 

ฮ่องเต้รู้สึกหงุดหงิด แต่เมื่อเห็นท่าทีสำนึกผิดของถาวจวินหลันก็ต้องข่มใจไว้ ก่อนพูดว่า “เอาเถิด เจ้ากลับไปก่อน เรื่องเกิดขึ้นใต้จมูกข้า ข้าไม่เชื่อว่าจะสืบหาไม่ได้!” 

 

 

ในขณะเดียวกัน ฮ่องเต้ก็ยังกริ้วโกรธ พูดตามจริงแล้ว หากหาเด็กไม่เจอ ไม่ต้องพูดถึงถาวจวินหลัน เขาเองก็ไม่มีทางชดใช้ให้ตวนชินอ๋องได้! อย่างไรตวนชินอ๋องก็ไปเสี่ยงอันตรายอยู่ข้างนอก เขามีลูกชายอยู่แค่สองคน แล้วยังหายไปคนหนึ่ง ตวนชินอ๋องจะคิดเช่นไร? เกรงว่าต่อจากนี้คงท้อแท้หมดกำลังใจเป็นแน่ 

 

 

แน่นอนว่าเพราะเขาเป็นฮ่องเต้จึงคิดมากกว่าคนอื่น เช่นทำไปเพื่ออะไร จุดประสงค์คืออะไร? เพียงเพื่อให้ตวนชินอ๋องไม่มีเชื้อสายสืบสกุล? ไม่ ไม่น่าใช่เหตุนี้ เกรงว่าจุดประสงค์ที่แท้จริงคือต้องการหาเรื่องเขาพ่อลูก ทำให้ตวนชินอ๋องท้อแท้หมดกำลังใจ ไม่ยอมทำเรื่องอะไรอีก หรืออาจมีเรื่องแค้น จึงใช้เด็กมาข่มขู่ตวนชินอ๋องให้ทำอะไรบางอย่าง หากเป็นเช่นนั้นหาเด็กพบก็จะไม่เป็นอะไร แต่หากหาไม่พบจะต้องเกิดปัญหาแน่ 

 

 

ฮ่องเต้ขมวดคิ้ว โยนฎีกาในมือทิ้งไปอย่างเบื่อหน่าย 

 

 

ถาวจวินหลันกลับไม่ได้คาดเดาความคิดและจิตใจของฮ่องเต้แม้แต่น้อย ตอนนี้นางกำลังรีบเร่งกลับไปยังจวนตวนชินอ๋องพร้อมกับขันทีเป่าฉวน 

 

 

ยามนี้จวนตวนชินอ๋องมีนายทหารของจวนอิ้งเทียนเฝ้าระวังเอาไว้ และยิ่งมีคนไม่น้อยเดินไปมาอยู่ในจวน 

 

 

แน่นอนว่าขันทีเป่าฉวนก็พาคนมาด้วยไม่น้อย แต่ตอนนี้ยังคงตามขันทีเป่าฉวนอย่างแนบชิด 

 

 

ขันทีเป่าฉวนเสนอว่าจะไปดูห้องของเซิ่นเอ๋อร์ ให้รู้ว่าจะสืบหาร่องรอยอะไรพบบ้างหรือไม่ ถาวจวินหลันย่อมไม่ขวางเอาไว้ รีบพาขันทีเป่าฉวนไปด้วยตนเองทันที 

 

 

ขันทีเป่าฉวนกลับถอนใจ “ชายารองถาวไปพักผ่อนเถิด ใบหน้าของท่านดูไม่สู้ดีนัก หากท่านป่วยไป ภายในจวนก็คงมีไม่กี่คนที่จัดการจวนได้แล้ว ท่านว่าจริงหรือไม่?”