บทที่ 537 แยบยล

บัลลังก์พญาหงส์

ขันทีเป่าฉวนพูดถูกต้อง ถาวจวินหลันนวดระหว่างคิ้วพลางแค่นหัวเราะเย็น “ทำให้กงกงต้องวุ่นวายแล้ว” หยุดไปครู่หนึ่ง ก็ทำสีหน้าลังเลพูดว่า “พูดไปแล้ว นางบอกว่าข้าเอาเซิ่นเอ๋อร์ไปซ่อน ไม่รู้ว่าคิดได้อย่างไร ไม่รู้ว่าช่วงนี้ข้าไปทำผิดต่อเทพองค์ใดกัน ถึงได้พบแต่เรื่องไม่ดีเหล่านี้ เรื่องเซิ่นเอ๋อร์ไม่ต้องพูดถึง หากหาเขาไม่พบ ต่อให้ข้ากระโดดลงแม่น้ำเหลืองก็ไม่อาจพ้นข้อกล่าวหานี้ได้ แล้วยังมีเรื่องถูกลอบทำร้ายระหว่างทางกลับจวนอีก ไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วเป็นใครต้องการทำร้ายข้า ถึงได้ลงมือกับข้าเช่นนี้ พูดไปแล้วท่านอ๋องเองก็เคยโดนลอบสังหารมาก่อน นับวันพวกนี้ก็ยิ่งเหิมเกริม คิดว่าตอนนี้วังหลวงคงปลอดภัยเพียงที่เดียวกระมัง?” 

 

 

ฟังเผินๆ เหมือนนางระบายความทุกข์ แต่พอฟังให้ดี ขันทีเป่าฉวนกลับเข้าใจความหมายแฝงของถาวจวินหลัน นี่เป็นการเตือนเขา และต้องการรื้อคดีเก่าออกมา อย่างไรแล้ว เรื่องปลดองค์รัชทายาท ก็ทำให้ถาวจวินหลันโดนลอบทำร้าย แต่ตอนนั้นฮ่องเต้กลับไม่สนใจ ในเมื่อฮ่องเต้ไม่ใส่ใจ เช่นนั้นคนที่สืบเรื่องย่อมไม่เอาจริงเอาจังนัก จนตอนนี้จึงยังจับคนร้ายไม่ได้ 

 

 

ขันทีเป่าฉวนหัวเราะทันที “คงเป็นเช่นนั้น บางทีอาจจะมีคนเกี่ยวข้องอยู่เบื้องหลัง ควรต้องสืบให้ดี” ในเมื่อถาวจวินหลันอยากรู้ เขาก็พูดไหลไปตามน้ำ 

 

 

อีกทั้ง…ถาวจวินหลันพูดถึงวังหลวงแล้ว ก็ให้คนรู้สึกหวาดกลัว เหมือนที่ถาวจวินหลันพูด ตอนนี้โจรลอบสังหารเหิมเกริมมากขึ้น สักวันวังหลวงก็อาจไม่ใช่ที่ปลอดภัยอีกแล้ว ไม่ได้ กลับไปเขาจะต้องส่งคนไปเฝ้ารักษาการณ์ฮ่องเต้ถึงจะดี 

 

 

ที่ขันทีเป่าฉวนไม่รู้ก็คือ วันนี้เขาตัดสินใจตามคำเตือนของถาวจวินหลัน บางทีอาจจะป้องกันเรื่องไม่คาดฝันในอนาคตได้ ด้วยเหตุนี้เขากับจวนตวนชินอ๋องจึงใกล้ชิดมากกว่าเดิม 

 

 

ในเมื่อขันทีเป่าฉวนพูดเช่นนี้แล้ว ถาวจวินหลันย่อมไม่ฝืนตัวเองต่อ จึงขอตัวกลับเรือนเฉินเซียงไปพักก่อน 

 

 

เมื่อกลับมายังเรือนเฉินเซียง สิ่งที่นางทำเป็นเรื่องแรกคือรีบไปดูซวนเอ๋อร์กับหมิงจู เห็นทั้งสองคนยังอยู่ดี นางก็สบายใจไปหลายส่วน ตอนนี้นางตกใจและหวาดกลัวเหลือเกิน หากไม่ดูให้ดี นางก็สงบใจไม่ได้ 

 

 

และเพราะเมื่อวานนี้ไม่ได้นอนทั้งคืน แถมยังเคร่งเครียดวิ่งไปมาตั้งหลายที่ พูดได้ว่าเหนื่อยทั้งกายและใจ ดังนั้นพอหัวถึงหมอน ถาวจวินหลันก็แทบจะนอนหลับไปเลย แล้วยังหลับลึกกว่าปกติอยู่หลายส่วน 

 

 

บรรดาบ่าวในเรือนเฉินเซียงเห็นนางเช่นนี้ก็สงสารเป็นที่ยิ่ง จึงค่อยๆ พากันถอยออกไป กลัวว่าพวกนางอยู่ก็จะรบกวนถาวจวินหลันเสียเปล่า 

 

 

ส่วนเจียงอวี้เหลียนก็แทบจะเป็นบ้าไปแล้ว หรือนางอาจเป็นบ้าไปแล้วก็ได้? อย่างไรเมื่อเช้าเกิดเรื่องวุ่นวายเช่นนั้น นางก็คงเหนื่อยมากเช่นกัน ร้องไห้หนักจนดวงตาทั้งสองข้างบวมแดงเหมือนลูกท้อ พอขันทีเป่าฉวนและกู่ลิ่งจือมาถามไถ่หาความ นางก็สติเลื่อนลอยไปเสียแล้ว มากกว่าครึ่งจึงเป็นบ่าวรับใช้ตอบแทนนาง 

 

 

ทั้งสองคนเห็นเจียงอวี้เหลียนมีท่าทีเช่นนี้ก็ไม่อาจใจร้ายได้อีก ขันทีเป่าฉวนแก่แล้วถึงได้ใจดีกว่าเล็กน้อย พูดปลอบประโลมนาง “ชายารองเจียงเอาแต่ร้องไห้ก็ไร้ประโยชน์ ไม่สู้ร่วมแรงช่วยกันหา บางทีอาจเจอเร็วขึ้นนะ” 

 

 

ตอนนี้ไม่ใช่เวลาพูดปลอบอย่างอื่นได้ มีเพียงการใช้เหตุผลนี้เท่านั้นเจียงอวี้เหลียนถึงได้สติ รออยู่เฉยๆ คงหาไม่พบ แต่เจียงอวี้เหลียนก็ตามหาเองมาหลายวันแล้ว นางย่อมรู้อยู่แก่ใจ และยิ่งยอมรับความเป็นจริงง่ายกว่าเดิม 

 

 

แต่ไม่ว่าอย่างไรขันทีเป่าฉวนก็คิดไม่ถึงว่าคำพูดของเขาไปแหย่รังแตนเข้าให้ เจียงอวี้เหลียนได้ยินก็เหมือนถูกแทงใจดำ กระชากเสื้อคลุมยาวของกู่ลิ่งจือเอาไว้แน่น พูดตะคอกออกมา “เป็นถาวซื่อคนเลวนั่น! จะต้องเป็นถาวซื่อคนเลวนั่นแน่นอน! เป็นนางที่ขโมยเซิ่นเอ๋อร์ไป! เป็นนาง! พวกเจ้ารีบช่วยข้าให้นางคืนเซิ่นเอ๋อร์มา!” 

 

 

กู่ลิ่งจือเป็นชายอื่น ถ้าไม่ใช่เพราะต้องสืบคดีเกรงว่าคงไม่ได้มาด้วยตนเองเป็นแน่ ตอนนี้เมื่อถูกเจียงอวี้เหลียนจับเอาไว้อย่างนี้ก็ตกใจมาก รีบดึงชายเสื้อคลุมออกอย่างรวดเร็ว ใบหน้าดูอึดอัดเป็นที่ยิ่ง มองไปทางขันทีเป่าฉวนอยู่บ่อยครั้ง 

 

 

ขันทีเป่าฉวนก็ขมวดคิ้วแน่น เขารู้ว่าเจียงอวี้เหลียนสติหลุดไปแล้ว 

 

 

ทันใดนั้นก็นึกถึงคำพูดน้อยอกน้อยใจกล่าวโทษขมขื่นของถาวจวินหลัน ขันทีเป่าฉวนก็ถอนใจแทนถาวจวินหลัน นางถูกเจียงอวี้เหลียนโวยวายใส่อยู่ทั้งวันเช่นนี้ แม้จะกระโดดลงแม่น้ำเหลืองก็ยังไม่อาจพ้นจากเรื่องนี้ได้?! 

 

 

“เจียงอวี้เหลียนเจ้าตั้งสติเสียหน่อย!” ขันทีเป่าฉวนไม่ได้ตามใจเจียงอวี้เหลียน แต่ไว้หน้าเจียงอวี้เหลียน ในความเป็นจริงแล้ว หากเขาไม่อยากไว้หน้า แม้แต่ลูกชายของฮ่องเต้ยังต้งเกรงกลัวเขา แล้วจะเอาอะไรกับเจียงอวี้เหลียนเล่า? 

 

 

ดังนั้นเจียงอวี้เหลียนถึงได้สงบลงเพราะการแสดงอำนาจของขันทีเป่าฉวน อย่างน้อยก็ไม่กล้าทำตัววุ่นวายอีก แต่ก็ยังไม่ยอมปล่อยมือ 

 

 

สายตาของขันทีเป่าฉวนหยุดมองมือของเจียงอวี้เหลียนครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มเย็น “ตอนนี้ยังไม่มีหลักฐาน ชายารองเจียงไม่อาจใส่ความคนอื่นเช่นนี้ได้ อีกทั้งชายารองเจียงไม่รู้จักมารยาทกฎเกณฑ์เช่นนี้ เกรงว่าหากไปถึงหูของฮ่องเต้ พระองค์คงไม่พอใจนัก ชายารองเจียงว่าจริงหรือไม่?” 

 

 

เจียงอวี้เหลียนถูกขันทีเป่าฉวนตำหนิ ก็รู้สึกมือร้อนจนสะดุ้งทันที จึงรีบชักมือกลับไป จากนั้นก็พูดไม่ออกอยู่นาน 

 

 

ขันทีเป่าฉวนมองไปทางกู่ลิ่งจือ “ท่านกู่ยังอยากไปดูที่อื่นอีกหรือไม่? ถ้าเช่นนั้นก็รีบไปเถิด หากยิ่งยื้อเวลาออกไปอีก คุณชายเซิ่นเอ๋อร์ก็ยิ่งอันตรายมากขึ้น” 

 

 

กู่ลิ่งจือรีบออกไป เพราะพูดเรื่องเซิ่นเอ๋อร์ขึ้นมา เจียงอวี้เหลียนถึงไม่มีกะจิตกะใจไปคิดเรื่องอื่นอีก ดวงตาแดงก่ำ น้ำตาเริ่มรินไหลลงมา พร้อมส่งเสียงร้องไห้ดังลั่น 

 

 

ขันทีเป่าฉวนไม่พูดอะไรอีก อย่างไรเหมือนที่เขาพูดไปเมื่อครู่นี้ หากล่าช้ากว่านี้ เกรงว่าความหวังในการหาตัวเซิ่นเอ๋อร์ก็ยิ่งริบหรี่ 

 

 

เจียงอวี้เหลียนเสียใจไปได้ครู่หนึ่ง ฉับพลันนั้นก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้กรุ่นโกรธอีก กดเสียงต่ำกัดฟันด่า แต่งึมงำไม่รู้ว่ากำลังด่าใคร 

 

 

บ่าวรับใช้เห็นเช่นนั้นก็รู้สึกเวทนามาก รีบพูดกล่อมว่า “ชายารองอย่าเป็นเช่นนี้เลยเจ้าค่ะ ท่านขันทีเป่าฉวนเป็นคนสนิทของฮ่องเต้ หากไม่ชอบแล้วไปพูดอะไรไม่ดีถึงท่านต่อหน้าฮ่องเต้ ท่านก็ได้ไม่คุ้มเสียนะเจ้าคะ” 

 

 

ถาวจวินหลันตื่นอีกทีก็เป็นช่วงบ่าย ถ้าไม่ใช่เพราะยังมีเรื่องอยู่ในใจ เกรงว่านางคงนอนต่อถึงดึก นางบิดตัวอยู่ครู่หนึ่งถึงได้ลุกขึ้นมาจากเตียง รินชาให้ตนเองก่อนจอกหนึ่ง แล้วส่งเสียงเรียกคนเข้ามา 

 

 

แน่นอนว่าเรื่องแรกที่ถามคือ “ตามหาเซิ่นเอ๋อร์เจอหรือไม่?” 

 

 

ปี้เจียวส่ายหน้าอย่างฝืดเคือง นางแอบคิดในใจว่าคงจะหาเซิ่นเอ๋อร์ไม่เจอแล้ว 

 

 

ถาวจวินหลันขมวดคิ้วทันใด จากนั้นก็ถามอีกเรื่อง “อย่างนั้นสืบอะไรได้บ้างหรือยัง?” 

 

 

ปี้เจียวเห็นว่าถาวจวินหลันร้อนใจมาก ก็รีบพูดว่า “สืบพบเล็กน้อยแล้วเจ้าค่ะ อย่างน้อยก็รู้ว่าคุณชายเซิ่นเอ๋อร์ถูกพาออกไปอย่างไร” 

 

 

นี่ถือว่าเป็นข่าวดีเช่นกัน ถาวจวินหลันเริ่มพอใจบ้าง จากนั้นก็รีบถามด้วยตกใจว่า “ถูกพาออกไปอย่างไรกัน? มีคนดูแลมากมายทำไมถึงได้ง่ายเช่นนี้? 

 

 

“เมื่อวานนี้หลังจากเกิดเหตุเพลิงไหม้ แม้ว่าภายในจวนจะมีบ่อน้ำและโอ่งน้ำ แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่พอใช้ ดังนั้นจึงสั่งให้คนออกไปเอาน้ำจากที่อื่นมาเจ้าค่ะ ทุกคนจึงออกไปพร้อมกับถังไม้ และใส่น้ำเต็มถังกลับมา ถังน้ำนั้นขนาดความสูงเท่าคน ใส่ไว้ในรถเข็นก็ไม่เห็นของข้างในเจ้าค่ะ” ปี้เจียวพูดกระชับได้ใจความ อธิบายให้ถาวจวินหลันฟัง 

 

 

เมื่อฟังมาถึงตรงนี้ถาวจวินหลันก็เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ “เซิ่นเอ๋อร์ถูกซ่อนอยู่ในถังไม้นั่นแล้วพาออกไป” ตอนที่พูด สีหน้าของนางก็เคร่งขรึมนัก ไม่น่ามองเป็นอย่างมาก  

 

 

นางคิดไม่ถึงว่าเซิ่นเอ๋อร์จะถูกพาออกไปใต้จมูกของตน ทั้งๆ ที่มีคนเยอะมากมาย ใช่แล้ว ถูกซ่อนเอาไว้ในถังไม้ เซิ่นเอ๋อร์อาจจะนอนหลับสนิท ดังนั้นจึงไม่ได้ส่งเสียงแม้แต่น้อย คนอื่นย่อมไม่รู้อยู่แล้ว 

 

 

เรื่องวิธีการออกจากจวนก็รู้แล้ว แต่ยังมีอย่างอื่นที่อธิบายไม่ได้ อย่างเช่น “เซิ่นเอ๋อร์ถูกคนซ่อนไว้ในถังไม้อย่างนั้นหรือ? เซิ่นเอ๋อร์หลับสนิทอยู่ในเรือนชิวอี๋ ข้างๆ ก็ยังมีแม่นมเฝ้าอยู่…แม่นม!” ถาวจวินหลันพูดมาครึ่งหนึ่งก็เหมือนฉุกคิดบางอย่างได้ จึงถอนใจหนักๆ ทั้งโกรธ ทั้งไม่พอใจ  

 

 

แม่นมกับเซิ่นเอ๋อร์หายไปพร้อมกัน ตอนนี้ก็อธิบายได้อย่างเดียวเท่านั้น นั่นก็คือแม่นมเป็นหนอนบ่อนไส้ตั้งแต่แรก! มีเพียงแค่แม่นมเท่านั้นที่แอบพาเซิ่นเอ๋อร์ออกไปจากเรือชิวอี๋ได้! เพราะว่าแม่นมนั้นอยู่ในเรือนทุกวัน ก็คงจะรู้อยู่แล้วว่าเวลาไหนมีคนมาเฝ้าประตู เวลาไหนไม่มี! และคงไม่ได้ออกไปทางประตู! แต่หากำแพงเตี้ยๆ ภายในจวนสักที่ หรือรูที่คนคนหนึ่งสามารถรอดผ่านออกไปได้ก็มากพอแล้ว 

 

 

ในตอนแรกเพราะว่าเจียงอวี้เหลียนไม่เชื่อใจนาง หลี่เย่ก็ไม่อยู่ในจวน ดังนั้นบรรดาแม่นมของเซิ่นเอ๋อร์จึงเป็นคนที่เจียงอวี้เหลียนหามาด้วยตนเอง มีที่ดึงมาจากภายในจวน และมีที่ซื้อมาจากด้านนอก สรุปว่าไม่มีคนไหนผ่านมือของนาง ดังนั้นนางไม่รู้ที่มาของแม่นมเหล่านี้ก็เป็นเรื่องปกติ 

 

 

ถาวจวินหลันหัวเราะขมขื่น นี่มันอะไรกัน? หากรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้นางควรขวางไว้แต่แรก นางคงไม่ยอมให้เจียงอวี้เหลียนเป็นคนตัดสินใจเองเด็ดขาด อย่างน้อยแม่นมของซวนเอ๋อร์กับหมิงจูก็คัดเลือกมาอย่างดี เรื่องความซื่อสัตย์ยิ่งไม่ต้องพูดถึง 

 

 

จะต้องรู้ว่านางเห็นสำคัญของแม่นมเหล่านี้ พวกนางถึงเป็นที่นับหน้าถือตา และมีคนเข้ามาประจบมากมาย  แต่นั่นก็เพราะบรรดาแม่นมเหล่านั้นรู้งานเป็นอย่างดี ของที่ไม่ควรเอาก็ไม่กล้าหยิบไปแม้แต่น้อย ก็เพราะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร 

 

 

“ถ้าเช่นนั้นเจียงอวี้เหลียนรู้เรื่องแล้วหรือยัง?” ถาวจวินหลันคิดในใจ หากเจียงอวี้เหลียนรู้เรื่องนี้ ก็จะยิ่งบ้าคลั่งกว่าเดิมอีกไม่ใช่หรือ? จะคิดใส่ร้ายนางอีกหรือไม่? คิดว่าคงไม่ใช่ เกรงว่าเจียงอวี้เหลียนคงจะคิดว่านางซื้อแม่นมคนนั้นมาเป็นสาย แล้วจัดฉากเรื่องนี้ 

 

 

ปี้เจียวหัวเราะขมขื่น แต่ไม่ได้ตอบอะไร 

 

 

ถาวจวินหลันรู้ว่าตนเองเดาถูก จึงส่ายหน้า พูดเย้ยหยันตัวเอง “ดูแล้วชายารองเจียงคงเห็นข้าเป็นศัตรู แต่นางคิดว่าข้ามีเวลาว่างขนาดนั้นเชียวหรือ?” 

 

 

แม้ว่านางจะคิดลงมือกับเซิ่นเอ๋อร์ แต่ก็คงไม่เลือกเวลานี้ เพราะแค่เรื่องปลดองค์รัชทายาท ก็ทำให้นางเหนื่อยจดหมดเรี่ยวแรงแล้ว แล้วยังจะมีใจไปวางแผนเรื่องเหล่านี้อีกได้อย่างไร อีกอย่างก็ยังไม่รู้ว่าหลี่เย่จะทำสำเร็จหรือไม่ นางวางแผนตอนนี้ก็เร็วเกินไปหน่อยมิใช่หรือ?