บทที่ 538 ทอดแห

บัลลังก์พญาหงส์

ถาวจวินหลันกลัวว่าถ้าพบเจียงอวี้เหลียนอีกก็จะปะทะกันอีก ดังนั้นจึงหลบเลี่ยงเจียงอวี้เหลียน แต่กลับแอบไปพบขันทีเป่าฉวนและกู่ลิ่งจือ 

 

 

ตอนนี้ทั้งสองคนกำลังดื่มชาทานของว่าง พูดจริงๆ แล้วสืบเรื่องมาทั้งวันก็เหนื่อยไม่น้อยเลยทีเดียว สีหน้าของทั้งสองคนจึงก็ไม่ค่อยสู้ดีนัก ยุ่งวุ่นวายมาทั้งวันแต่สืบได้เพียงวิธีพาเซิ่นเอ๋อร์ออกจากจวนเท่านั้น แต่ยังสืบไม่ได้ว่าสุดท้ายแล้วเซิ่นเอ๋อร์ถูกพาไปที่ไหนกันแน่ 

 

 

ตอนที่ถาวจวินหลันเข้ามาก็เห็นภาพนี้ ขันทีเป่าฉวนนั่งอยู่ตรงข้ามกับกู่ลิ่งจือ แต่ทั้งสองคนต่างก็หน้านิ่วคิ้วขมวด 

 

 

“เรื่องราวมีความคืบหน้าก็ถือว่าเป็นสัญญาณดีแล้ว ในตอนนี้เริ่มไต่สวนคนที่บังคับรถม้าออกจากจวนไปเมื่อคืน คิดว่าจะต้องได้ผลโดยเร็วเป็นแน่” ถาวจวินหลันอมยิ้มน้อยๆ ก่อนรินชาให้ทั้งสองคนด้วยตนเอง แล้วถึงพูดให้กำลังใจ 

 

 

ขันทีเป่าฉวนมองไปทางถาวจวินหลันวูบหนึ่ง ก่อนส่ายหน้าน้อยๆ “คนบังคับรถม้าคนนั้นไม่รู้เรื่องจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นการลงโทษแบบไหนก็ใช้มาหมดแล้ว แต่ก็ไม่ยอมเปิดปากพูดสักนิด คนเช่นนี้ถ้าไม่ได้ถูกใส่ร้าย ทรมานให้ตายอย่างไรก็ไม่ยอมเปิดปาก เป็นสายที่คนอื่นเลี้ยงดูสั่งสอนมาเป็นอย่างดี” 

 

 

ถาวจวินหลันครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ในเมื่อง้างปากไม่ได้ แต่เขายังมีครอบครัวและเพื่อน ภายในจวนนั้นก็พอมีคนที่สนิทอยู่บ้าง ไล่ถามตามนี้ก็ได้แล้ว อย่างไรคงจะมีสักคนที่พอรู้อะไรบ้าง หากเขาเป็นสายสืบจริงก็คงต้องมีพิรุธอยู่บ้าง อย่างเช่นพบเจอใคร พูดคุยอะไร ไล่ถามทีละคน สืบทีละอย่าง ย่อมต้องเข้าใจเป็นแน่” 

 

 

หยุดไปครู่หนึ่งถาวจวินหลันก็พูดอีกว่า “ไม่เพียงเท่านั้น พวกเรายังลงมือจากอีกทางได้ ในเมื่อไปเอาน้ำมาจากบ้านอื่น ถ้าเช่นนั้นคิดว่าคงไม่ได้หยุดตลอดทางแน่นอน นอกจากถึงหน้าประตู หรือตอนที่เตรียมจะตักน้ำ ไม่ว่าจะเป็นหน้าประตูหรือเข้าไปในจวน ในตอนนั้นหากเซิ่นเอ๋อร์กับแม่นมต้องการออกไป ก็ไม่มีทางไม่มีคนรู้เรื่องเป็นแน่ ถังสูงเช่นนั้น แม่นมคนเดียวจะปีนออกมาได้อย่างนั้นหรือ? แล้วยังมีซวนเอ๋อร์อีกด้วย” 

 

 

กู่ลิ่งจือเริ่มคิดตาม แล้วรับคำต่อทันที “บางทีในจวนนั้นคงมีคนรับช่วงต่อ หรือว่าเจ้านายของจวนนั้นก็เป็นคนพวกเดียวกันกับคนที่อยู่เบื้องหลัง” 

 

 

ถาวจวินหลันพยักหน้า “ไม่ว่าจะใช่หรือไม่ พวกเราก็ต้องสงสัยไว้ก่อน อย่างไรการตามหาเซิ่นเอ๋อร์ก็สำคัญที่สุด หากฝ่ายตรงข้ามจะเอาความ ความรับผิดชอบทั้งหมดจวนตวนชินอ๋องจะเป็นคนรับเอาไว้เอง พวกท่านทั้งสองโปรดลงมืออย่างสบายใจ” พวกนางต้องลงแรงกันตามหาเซิ่นเอ๋อร์ ต่อให้หาไม่เจอแต่ก็ต้องไม่รู้สึกผิดและเสียดายภายหลัง 

 

 

เมื่อเทียบกับทำผิดแล้วมีคนเอาไปนินทาแล้ว ชีวิตของเซิ่นเอ๋อร์กลับสำคัญกว่ามาก 

 

 

“พูดไปแล้วคนที่อยู่เบื้องหลังก็แปลกยิ่งนัก อย่างไรเซิ่นเอ๋อร์ก็เป็นลูกชายคนรอง ต้องวางแผนพาออกมารอบคอบเช่นนี้เลยหรือ?” ถาวจวินหลันหรี่ตาลง พูดสิ่งที่ตนเองคิด “อีกทั้งการลักพาตัวออกไปอย่างรอบคอบเช่นนี้ คิดว่าน่าจะมีจุดประสงค์อยู่ คงไม่ทำร้ายเซิ่นเอ๋อร์เป็นแน่” 

 

 

ที่จริงแล้วขันทีเป่าฉวนอยากพูดแบบนี้นานแล้ว แต่เพราะเขาเป็นคนนอก จึงไม่เหมาะที่จะพูดออกไป มิเช่นนั้นคนอื่นจะคิดว่าเขาไม่อยากช่วยตามหา และเห็นว่าเป็นเพียงข้ออ้าง 

 

 

แม้กระทั่งกู่ลิ่งจือเองก็คิดเช่นเดียวกัน แต่ไม่ดีที่จะพูดออกมาเท่านั้นเอง 

 

 

ถาวจวินหลันมองใบชาที่ลอยอยู่ในแก้วน้ำชา เป่าเบาๆ พลางจิบคำหนึ่ง นางรู้สึกหงุดหงิดใจมาก ก่อนหน้านี้นางยังคิดว่าภายในจวนแข็งแกร่งมั่นคงดั่งกำแพงเมือง ยากที่กำลังภายนอกจะโจมตีเข้ามาได้ และอยู่ในจวนได้อย่างสงบสุข แต่ฉับพลันเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นก็ให้นางเข้าใจได้ว่า ใต้หล้านี้คงไม่มีที่ใดปลอดภัยอย่างถึงที่สุด ไม่ต้องพูดถึงจวนตวนชินอ๋อง แม้แต่ข้างกายฮ่องเต้เองก็อาจจะมีหนอนบ่อนไส้เช่นเดียวกัน 

 

 

ที่จริงแล้วหากฝ่ายตรงข้ามจัดคนเข้ามาเพียงเพื่อสืบข่าวเท่านั้นก็แล้วไป แต่กล้าเหิมเกริมแบบนี้ แล้วนางจะทนได้อย่างไร วินาทีนี้นางกำลังวางแผนต่างๆ อยู่ในใจ ไม่ว่าจะสืบหาหนอนบ่อนไส้คนนี้ได้หรือไม่ นางก็จะต้องตรวจสอบจวนตวนชินอ๋องให้ละเอียดแล้ว 

 

 

อย่างไรวันนี้กล้าเผาเรือนหลังหนึ่ง พรุ่งนี้ก็คงกล้าเผาเรือนเฉินเซียง และเล่นงานซวนเอ๋อร์กับหมิงจูอย่างนั้นหรือ? 

 

 

“หลายวันนี้ ขอให้ชายารองถาวดูแลคุณชายซวนเอ๋อร์ให้ดีนะขอรับ” ที่จริงแล้วขันทีเป่าฉวนห่วงเรื่องนี้ที่สุด “หากฝ่ายตรงข้ามเริ่มเปลี่ยนมาเล่นงานคุณชายซวนเอ๋อร์ เพื่อใช้ลูกชายเพียงคนเดียวมาข่มขู่ตวนชินอ๋อง เช่นนั้นก็ไม่ดีแล้ว” แต่เพราะซวนเอ๋อร์มีคนจับตาดูอย่างเคร่งครัด จึงไม่ได้ถูกลักพาตัวไปโดยง่าย ดังนั้นฝ่ายตรงข้ามจึงถอยออกมาเอาสิ่งที่อยู่ถัดไป เบนสายตามายังเซิ่นเอ๋อร์ ตอนนี้ยังไม่ได้ชี้ขาดฐานะของเซิ่นเอ๋อร์ หากจะทำร้ายซวนเอ๋อร์แล้วยกฐานะของเซิ่นเอ๋อร์ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ 

 

 

แม้นลักพาตัวไปเป็นเรื่องยาก แต่อย่างไรฆ่าให้ตายก็เป็นเรื่องง่ายนิดเดียว 

 

 

ถาวจวินหลันก็ตระหนักถึงเรื่องนี้ จึงรีบขอบคุณขันทีเป่าฉวนที่เตือนตนเอง “ขอบพระคุณกงกงที่ช่วยเตือน” 

 

 

กู่ลิ่งจือลองวิเคราะห์ เขาพอมีความเห็นอยู่บ้างแล้ว จึงลุกขึ้นมาและพูดว่า “เรื่องในจวนขอส่งต่อให้กงกง ข้ารับผิดชอบด้านนอกเป็นอย่างไร? การแบ่งกำลังออกเป็นสองทาง ก็จะเร็วขึ้นอีกหน่อย” 

 

 

อีกอย่างทั้งสองคนก็ไม่ต้องยุ่งวุ่นวายกัน อย่างไรต่างฝ่ายต่างก็นำคนของตนเองมาเบียดเสียดอยู่ที่เดียวกันเช่นนี้ สุดท้ายแล้วก็ดูสิ้นเปลืองไปเสียหน่อย อีกทั้งยังรบกวนกันอีกต่างหาก ถึงเวลานั้นอาจทำให้เสียเรื่องได้ 

 

 

ขันทีเป่าฉวนได้ยินเช่นนี้ก็เข้าใจความคิดของกู่ลิ่งจือทันที รีบยิ้มรับคำ นี่ถือเป็นวิธีที่ดี 

 

 

ถาวจวินหลันมองดูทั้งสองคนพลางยิ้มอย่างลุแก่โทษ “เรื่องนี้ต้องลำบากท่านทั้งสองแล้ว” 

 

 

กู่ลิ่งจือพูดถ่อมตนอีกเล็กน้อยก็รีบพาคนออกไป ส่วนขันทีเป่าฉวนก็เรียกคนสนิทเข้ามากำชับอีกหน่อย แต่ตนเองกลับไม่ได้ขยับไปไหน อย่างไรเขาก็เพียงแค่นั่งประจำการ เป็นตัวแทนว่าฮ่องเต้ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ ทว่าเขาไม่มีทางลงมือไปทำเองทุกอย่างแน่นอน 

 

 

“โจวอี้ตามตวนชินอ๋องออกไปด้วยหรือไม่?” ฉับพลันนั้นขันทีเป่าฉวนก็ถามเรื่องนี้ 

 

 

ถาวจวินหลันมึนงงว่าทำไมขันทีเป่าฉวนถึงถามถึงโจวอี้กะทันหัน แม้ว่านางจะแอบสงสัยในใจ แต่ก็ตอบกลับไป “ตามไปด้วยเจ้าค่ะ คิดไม่ถึงว่ากงกงจะรู้จักโจวอี้ด้วย” 

 

 

ขันทีเป่าฉวนหัวเราะน้อยๆ “โจวอี้เป็นลูกศิษย์ของข้า ข้าจะไม่รู้จักเขาได้อย่างไร? ตอนนั้นฮ่องเต้อยากส่งคนไปดูแลข้างกายตวนอ๋อง ข้าจึงแนะนำโจวอี้ไป แต่เดิมคิดว่าตวนชินอ๋องนิสัยดี เด็กคนนั้นก็คงเล่นสนุกได้บ้าง แต่คิดไม่ถึงว่าตวนชินอ๋องกลับมีแผนการใหญ่ในใจ” 

 

 

ถาวจวินหลันไม่รู้เรื่องนี้ ถึงได้รู้สึกแปลกใจมากพอนางตั้งสติได้แล้ว ก็นั่งครุ่นคิดเรื่องนี้ในใจทันที 

 

 

ขันทีเป่าฉวนพูดเรื่องนี้ขึ้นมากะทันหัน คงไม่ได้พูดไปอย่างนั้น หรือจะบอกว่าขันทีเป่าฉวนกำลังสานสัมพันธ์? อยากที่จะแสดงความเป็นมิตรกับจวนตวนชินอ๋อง บอกนางว่าที่จริงแล้วเขากับพวกนางใกล้ชิดกันมาก 

 

 

เมื่อคิดได้เช่นนี้ ถาวจวินหลันก็อมยิ้มน้อยๆ “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ พอคิดดูแล้ว กงกงกับจวนตวนชินอ๋องของพวกเราก็เกี่ยวข้องกันนี่เอง ถ้าเช่นนั้นข้าจะไม่ถือว่ากงกงเป็นคนนอก กงกงเองก็เช่นกัน ท่านอยู่ในจวนนี้ก็ทำตัวตามสบายเถิด โจวอี้รับใช้ท่านอ๋อง หลายปีมานี้สร้างผลงานไว้มากมาย เหน็ดเหนื่อยเพื่อท่านอ๋องก็มาก ท่านเป็นอาจารย์ของเขา เรื่องอื่นไม่ต้องพูดถึง ข้าต้องขอบคุณท่านแทนท่านอ๋องถึงจะถูก ถ้าไม่ใช่เพราะท่าสั่งสอนลูกศิษย์ดีขนาดนี้ ท่านอ๋องจะมีผู้ช่วยมากฝีมืออย่างโจวอี้ได้อย่างไร?”  

 

 

โจวอี้เป็นคนเก่ง เรื่องนี้ไม่มีใครปฏิเสธได้ หวังหรูกับโจวอี้ดูไม่ต่างกันนัก แต่พอมีเรื่องใหญ่ทีไร สุดท้ายแล้วนางกับหลี่เย่ก็จะหันไปพึ่งโจวอี้มากกว่าเล็กน้อย ใครใช้ให้หวังหรูขี้ตระหนกจนดูพึ่งพาไม่ค่อยได้เล่า? 

 

 

ขันทีเป่าฉวนยิ้มแล้วส่ายหน้า “ชายารองถาวพูดเช่นนี้ คนแก่อย่างข้าก็ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ใดแล้ว” 

 

 

พวกนางพูดเรื่องทั่วไปอีกครู่หนึ่ง ขันทีเป่าฉวนก็บอกว่า “ที่จริงท่านอ๋องออกไปสืบเรื่องทุจริตครั้งนี้ แต่เดิมไม่ใช่ความตั้งใจของฮ่องเต้ แต่เพราะมีคนไปปลุกปั่น” 

 

 

ถาวจวินหลันอึ้งไป จากนั้นก็รีบซักถามทันที “เป็นใครหรือ?” 

 

 

ขันทีเป่าฉวนกดเสียงเบา พูดชื่อของคนหนึ่งออกมา “อี๋เฟย มารดาขององค์ชายเก้า” 

 

 

ถาวจวินหลันใจกระตุกวูบ นางพลันรู้สึกโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ อี๋เฟย อี๋เฟยนี่เอง กล้าเล่นงานหลี่เย่เช่นนี้! 

 

 

ฉับพลันนั้นนางก็คิดได้ว่า อี๋เฟยทำเรื่องนี้คงด้วยเป็นความตั้งใจของฮองเฮา ทำไมฮองเฮาถึงอยากให้หลี่เย่ออกจากวังหลวงไปสืบเรื่องนี้ สุดท้ายแล้วเพื่ออะไรกัน? คงไม่ใช่เพราะอยากให้หลี่เย่ไปเจอความลำบากเพียงอย่างเดียวแน่นอน 

 

 

บางทีฮองเฮาคงวางกับดักบางอย่างไว้ให้หลี่เย่อย่างนั้นหรือ? หรือให้หลี่ออกไป ก็ด้วยคิดจะรั้งให้หลี่เย่อยู่ที่นั่นตลอดไป และกลับมาเมืองหลวงไม่ได้… 

 

 

ถาวจวินหลันตัวสั่นสะท้านทันที รู้สึกว่าเย็นเยียบไปทั้งร่าง ตอนแรกพวกเขาคิดว่าเป็นความตั้งใจของฮ่องเต้ เพราะไม่ยินยอมให้หลี่เย่เข้ามาเกี่ยวข้องเรื่องปลดองค์รัชทายาท ไม่ยินยอมให้คนอื่นแบ่งอำนาจไป ดังนั้นพวกเขาถึงไม่ได้รู้สึกถึงอันตราย แต่ตอนนี้รู้ความจริงแล้ว ก็ไม่อาจนิ่งดูดายได้อีก 

 

 

ถาวจวินหลันมีสีหน้าไม่ค่อยสู้ดีนัก ขันทีเป่าฉวนก็รู้ว่านางรับรู้ถึงเรื่องที่ตนเองอยากเตือนแล้ว ดังนั้นจึงกระแอมเบาๆ “ชายารองก็ควรคิดหาวิธีเตือนท่านอ๋องด้วย” เพราะวันที่เกิดเรื่องอยู่ต่อหน้าฮ่องเต้ เขาถึงไม่อาจเตือนได้ หลังจากนั้นก็หาโอกาสให้คนไปถ่ายทอดคำพูดไม่ได้อีก พอให้คนไปตาม ก็ไล่ตามไม่ทันอีก 

 

 

พูดตามจริงแล้ว ต่อให้ไม่ได้ทำเพื่อหลี่เย่ แต่เพื่อลูกศิษย์ของตนเอง เขาเองก็ไม่ยอมให้เกิดเรื่องขึ้นกับหลี่เย่ ความกตัญญูและเคารพของโจวอี้หลายปีมานี้ เขาเห็นอยู่กับตา เขายังคาดหวังให้โจวอี้กลับมาเลี้ยงดูตอนเขาแก่ชรา 

 

 

ถาวจวินหลันได้สติกลับมา ก็รีบพยักหน้า จากนั้นก็ขอตัวอออกไป รีบเรียกหลิวเอินเข้ามาในจวนอย่างร้อนรนเหมือนไฟรน เพื่อเตรียมปรึกษาเรื่องนี้กับหลิวเอิน 

 

 

หลิวเอินมีวิธีติดต่อกับหลี่เย่ อีกทั้งหลิวเอินยังรับผิดชอบเรื่องการส่งสินค้าและทรัพย์สิน และยังเป็นตัวเลือกเดียวที่จะจัดการกับเรื่องนี้ แน่นอนว่าคนที่พึ่งพาได้มากที่สุดข้างกายนางก็มีเพียงหลิวเอินเท่านั้น 

 

 

อีกทั้งไม่เพียงแค่เรื่องที่ตกหลุมพรางเท่านั้น แล้วยังมีเรื่องเซิ่นเอ๋อร์ นางเองก็ไม่คิดจะปิดบังหลี่เย่ 

 

 

อย่างไรหากฝ่ายตรงข้ามคิดใช้เซิ่นเอ๋อร์มาขมขู่หลี่เย่เล่า? จะต้องเตรียมป้องกันเอาไว้ก่อนถึงจะดี 

 

 

เมื่อหลิวเอินเข้ามาในจวน ถาวจวินหลันก็คิดไปเยอะแล้ว นางคิดว่าคนที่เอาเซิ่นเอ๋อร์ไป จะต้องเป็นฮองเฮาอย่างแน่นอน คิดได้แบบนั้น เรื่องทั้งหมดก็เชื่อมโยงกันได้สมบูรณ์ จะพบเห็นความสัมพันธ์ที่ยุ่งยากซับซ้อนอยู่ข้างใน ความสัมพันธ์เหล่านี้นั้นโยงไปมาเหมือนแหปากใหญ่ ล้อมพวกเขาเอาไว้ข้างใน! ตั้งใจกวาดเรียบไม่เหลือ!