บทที่ 539 กล่าวเท็จ

บัลลังก์พญาหงส์

หลังจากที่ถาวจวินหลันพบหลิวเอินแล้ว ก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้หลิวเอินฟัง หลิวเอินพลันมีท่าทีเคร่งขรึมเช่นเดียวกัน “ถ้าเช่นนั้นเกรงว่าท่านอ๋องจะตกอยู่ในอันตรายแล้ว” 

 

 

ถาวจวินหลันก็กังวลเช่นกัน “ตอนนี้ไปบอกข่าวท่านอ๋องให้เตรียมพร้อมเอาไว้ก่อน คิดหาวิธีช่วยท่านอ๋องก็ถือว่าเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เมื่อเทียบกับกระจายข่าวออกไปแล้ว ข้าคิดว่าส่งกำลังช่วยเหลือสำคัญที่สุด” 

 

 

แน่นอนว่าหลิวเอินย่อมต้องเข้าใจความหมายของถาวจวินหลัน แต่ว่า…เขาแค่นหัวเราะออกมา พลางมองถาวจวินหลันด้วยสีหน้าลำบากใจ “แต่พวกเราจะเอาอะไรไปช่วยเหลือท่านอ๋องเล่าขอรับ? ที่จริงจะพูดให้ละเอียดแล้ว ตอนนี้พื้นที่ด้านนอกถือเป็นแผ่นดินขององค์รัชทายาท เขาอยากให้คนตายที่นั่นเงียบๆ ก็เป็นเรื่องง่ายดายมาก” 

 

 

ถาวจวินหลันนิ่งไป ในหัวพลันขาวโพลน แทบจะยืนไม่ไหวอีกต่อไป ตอนนี้นางเต็มไปด้วยความผิดหวัง นางไม่ควรยอมให้หลี่เย่ออกจากเมืองหลวงไปจริงๆ รู้อยู่แล้วว่าหลี่เย่อยู่ในเมืองหลวงปลอดภัยที่สุด แต่ทำไมนางถึงไม่รั้งเขาเอาไว้เล่า? 

 

 

จะถูกสงสัย หรือการแสดงความกตัญญูอะไรก็ตามแต่ ตอนนี้ดูแล้วช่างน่าดูแคลนยิ่งนัก! 

 

 

“กำลังทหารที่อยู่ใกล้ที่แห่งนั้นที่สุดคือที่ไหน? เป็นคนของใคร?” ถาวจวินหลันคิดอยู่นาน แล้วจึงเอ่ยปากถาม 

 

 

หลิวเอินตกใจ เอ่ยปากปฏิเสธทันที “เรื่องนี้คิดว่าเป็นไปไม่ได้ จะต้องรู้ว่ากำลังทหารใช่ว่าจะย้ายกำลังออกจากฐานทัพได้โดยง่าย อีกทั้งไม่มีตราเสือ แล้วจะสั่งย้ายได้อย่างไรขอรับ?” 

 

 

ถาวจวินหลันหัวเราะขมขื่น ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร ความจริงแล้ว นางพูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว 

 

 

ความแค้น ความเสียดาย ถูกโยนทิ้งออกไปชั่วคราว สุดท้ายแล้วก็ไม่อาจสู้ความร้อนอกร้อนใจได้ นางแทบจะตะคอกถามหลิวเอิน “แล้วตอนนี้ต้องทำอย่างไร? ยังมีวิธีใดอีก?”  

 

 

หลิวเอินย่อมไม่รู้วิธีเช่นกัน แต่เมื่อถาวจวินหลันถามเขา เขาก็จำต้องเอ่ยปากพูด “คงทำได้แค่เดินไปพลางดูไปพลาง ทำทีละขั้นตอนขอรับ” 

 

 

“ลองคำนวณวันเวลาดูแล้ว อีกไม่กี่วันองค์รัชทายาทก็น่าจะกลับมา หากเลยเวลาไปแล้วยังไม่กลับ ก็ให้กระจายข่าวออกไปเรื่องหนึ่ง ว่าองค์รัชทายาทมีใจคิดกบฏ จึงตัดสินใจติดต่อขุนนางเหล่านั้นมาโดยตลอด เพื่อแต่งตั้งตนเองขึ้นเป็นกษัตริย์!” ดวงตาของถาวจวินหลันเป็นประกาย ในใจนั้นมีความเ**้ยมโหดเกิดขึ้น 

 

 

หลิวเอินสะอึกไปทันที “นี่…” 

 

 

“เรื่องนี้ไว้ก่อน ข้าอยากหาวิธีไปสืบดูว่าพรรคพวกของฮองเฮาต้องการทำอะไรกันแน่” ถาวจวินหลันหลุบตาลงก่อนถอนใจ 

 

 

หลิวเอินถึงได้ถอนใจโล่งอก เขากลัวจริงๆ ว่าถาวจวินหลันจะให้เขาทำจริง จะต้องรู้ว่านี่ถือเป็นฐานกล่าวเท็จปิดบัง อีกทั้งยังเสี่ยงอันตรายเกินไป ต่อให้ทำเช่นนั้นจริง ฮ่องเต้ก็ใช่ว่าจะเชื่อ 

 

 

ถาวจวินหลันนวดหว่างคิ้ว แล้วหัวเราะเสียงเย็น “ตอนนี้ก็รอดูว่าฝ่ายตรงข้ามยอมลงทุนลงแรงพาเซิ่นเอ๋อร์ออกไปเช่นนี้ แท้จริงแล้วหวังอะไรอยู่กันแน่?” 

 

 

ส่งหลิวเอินกลับไป ถาวจวินหลันก็หันไปสั่งว่า “พรุ่งนี้เช้าข้าจะเข้าวัง ปี้เจียว เจ้าไปบอกหงหลัวว่าข้าอยากเข้าวังไปพบหยวนฉงหวา บอกให้นางไปบอกหยวนฉงหวาด้วย” 

 

 

ปี้เจียวพยักหน้ารับคำ แล้วก็เริ่มลังเลเล็กน้อย “ตอนนี้มีเรื่องเกิดขึ้นภายในจวนมากมาย พวกเราออกจากจวนตามใจเช่นนี้ เกรงว่าคนอื่นจะนินทาเอาได้นะเจ้าคะ” 

 

 

เรื่องนี้เป็นจริง ถือว่าเป็นการคิดคำนึงถึงตัวนางที่แท้จริง ถาวจวินหลันนิ่งอยู่ในภวังค์ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ถอนใจ “เจียงอวี้เหลียนร้อนใจจนสติเลอะเลือนไม่ใช่หรือ? ถ้าเช่นนั้นข้าจะเข้าวังหลวงไปขอยา” อย่างแรกเป็นข้ออ้าง อย่างที่สองคือสั่งสมชื่อเสียงด้านดีให้กับตนเอง อย่างไรแล้วก็ไม่รู้ว่ามีคนมากมายเพียงใดสงสัยว่านางเป็นคนเอาเซิ่นเอ๋อร์ไป 

 

 

ต่อให้ไม่ได้แสดงความบริสุทธิ์ใจ และอาจทำให้คนสงสัยได้ แต่อย่างน้อยก็ทำให้หยุดพูดเรื่องนี้ไปก่อนใช่หรือไม่? 

 

 

แน่นอนว่าอาจมีคนอื่นที่พูดว่านางเสแสร้งแกล้งทำ แต่มันจะสำคัญอะไร ขอเพียงแค่บรรลุจุดประสงค์ก็พอแล้ว 

 

 

ตกดึกคืนนั้นเจียงอวี้เหลียนก็เริ่มวุ่นวายอีกครั้ง แต่ทุกคนก็เข้าใจว่านางร้อนใจเพราะสูญเสียลูกชาย จึงไม่ได้ไปเอาเรื่องเอาความอะไร แต่ก็เริ่มหงุดหงิดบ้างเล็กน้อย เจียงอวี้เหลียนเอาแต่งร้องไห้ ส่งเสียงโวยวาย และขู่แขวนคอก็เท่านั้นเอง 

 

 

ยังดีที่เจียงอวี้เหลียนไม่ได้สิ้นสติขนาดมาวุ่นวายที่เรือนเฉินเซียง เพียงแค่ร้องไห้ปาดน้ำตาอยู่ที่เรือน 

 

 

ถาวจวินหลันก็ไม่ได้ไปดู เพียงแค่ตบเบี้ยหวัดให้บ่าวรับใช้ที่ดูแลปรนนิบัติเจียงอวี้เหลียนเพิ่มขึ้นหนึ่งเดือน เพราะตอนที่เจียงอวี้เหลียนอารมณ์ไม่ดี บรรดาบ่าวรับใช้ก็พลอยเจ็บตัวไปด้วย 

 

 

อีกทั้งหลายวันมานี้ที่ปรนนิบัติและเกลี้ยกล่อมเจียงอวี้เหลียนอย่างไม่รู้วันรู้คืนก็เหน็ดเหนื่อยมาก 

 

 

พอเห็นว่าใกล้ถึงเวลานอนแล้ว ได้ยินว่าเจียงอวี้เหลียนยังคงไม่ยอมหยุด ถาวจวินหลันก็หัวเราะขมขื่นพูดว่า “ปล่อยให้นางวุ่นวายไปเถิด แต่อย่าให้นางมาที่เรือนเฉินเซียง และยิ่งไม่ให้ไปรบกวนพวกกั่วเจี่ยเอ๋อร์ด้วย อยู่ในเรือนตัวเองคิดจะวุ่นวายอย่างไรก็ปล่อยไป ไม่ต้องสนใจนาง” 

 

 

จากนั้นถาวจวินหลันก็ไม่ไปคิดเรื่องเหล่านี้อีก เตรียมพร้อมเข้านอน  

 

 

ตอนนี้เป็นช่วงใบไม้ร่วงที่เรื่องเยอะนัก ไม่ว่านางจะเป็นอย่างไรก็ต้องบำรุงรักษาร่างกายให้ดี ถึงจะรับมือกับเรื่องเหล่านี้ได้หมด 

 

 

เพื่อจวนตวนชินอ๋องและหลี่เย่แล้ว ถาวจวินหลันก็ไม่ได้เก็บเจียงอวี้เหลียนมาใส่ใจ ถ้าไม่ใช่เพราะตนเองสงสารเจียงอวี้เหลียนในฐานะเป็นแม่คน นางก็คงจะไม่ทนให้เจียงอวี้เหลียนได้ถึงขั้นนี้แน่นอน 

 

 

แต่ความอดทนของนางก็ขีดอยู่แค่ไม่สนใจเท่านั้นเอง แต่หากเจียงอวี้เหลียนยังไม่เข้าใจ แล้วมาหาเรื่องวุ่นวายกับนาง นางก็ไม่เกรงใจเป็นแน่  

 

 

ถาวจวินหลันเพิ่งล้มตัวนอนบนเตียง กู่อวี้จือก็มาขอเข้าพบ 

 

 

ถาวจวินหลันได้ยินคำรายงาน ดวงตาก็เป็นประกายวูบวาบ “นางจะมาทำไมเวลานี้?” แต่นางก็ให้เข้าพบ ทว่าคร้านจะลุกขึ้นมาใส่เสื้อผ้าอีก นางจึงให้คนพากู่อวี้จือเข้ามาด้านในห้อง 

 

 

ตอนที่กู่อวี้จือเพิ่งเข้าจวนมาสองปีแรกก็ยังมีแรงหาเรื่องวุ่นวายอยู่ เมื่อเวลาผ่านไปนานก็ยิ่งสงบเงียบเชื่อฟังมากขึ้น บางทีอาจด้วยเข้าใจจิตใจของหลี่เย่ดีแล้ว รู้ว่าตนเองวางแผนอะไรไปก็ชนะใจเขาไม่ได้ หรือบางทีอาจด้วยรู้ตัวว่าตัวเองสู้ไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นเหตุผลใดก็ตาม ช่วงนี้ถาวจวินหลันก็รู้สึกพอใจกับท่าทีของกู่อวี้จือมาก 

 

 

กู่อวี้จือเข้ามาเห็นว่าถาวจวินหลันเอนตัวนอนแล้ว หลังจากทำความเคารพก็กล่าวขอโทษ “เป็นข้าเองที่เสียมารยาท รบกวนเวลาการพักผ่อนของชายารองแล้วเจ้าค่ะ” 

 

 

ถาวจวินไม่อยากอ้อมค้อม จึงถามตรงๆ ขวานผ่าซาก “มาดึกเช่นนี้ มีเรื่องอะไรหรือ?” 

 

 

กู่อวี้จือลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ถึงพูดว่า “ข้าได้ยินเรื่องที่เซิ่นเอ๋อร์ถูกลักตัวไป ข้ารู้ดีแก่ใจว่าจวนอื่นส่งหนอนบ่อนไส้เข้ามา ข้าจึงฉุกคิดเรื่องหนึ่งได้ ไม่รู้ว่าควรจะพูดดีหรือไม่เจ้าค่ะ” 

 

 

ถาวจวินหลันเริ่มเหลืออด “ในเมื่อไม่ควรพูด ถ้าเช่นนั้นก็ไม่ต้องพูดหรอก” 

 

 

กู่อวี้จือชะงักขลาดกลัวในทันใด รีบเอ่ยปากพูดว่า “จิ้งหลิงเจ้าค่ะ ก่อนหน้านี้จิ้งหลิงกับชิวจื่อพบหน้ากันมาบ้าง ทั้งคู่มีท่าทีลับลมคมใน ไม่รู้ว่าพูดอะไรกัน อีกทั้งข้ายังเห็นบ่าวชายภายในจวน และเห็นจิ้งหลิงมีท่าทางหลบๆ ซ่อนๆ ไม่รู้ว่าพูดอะไรเจ้าค่ะ” 

 

 

ถาวจวินหลันเลิกคิ้วเล็กน้อย นางไม่ค่อยเชื่อนัก แต่กู่อวี้จือพูดเหมือนจริงเช่นนี้ ก็ทำให้นางเริ่มเขว  

 

 

“เจ้าอาจจะเดาผิดไป” ถาวจวินหลันพูดเรียบๆ ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ที่จิ้งหลิงยังเกลียดนาง จะทำเรื่องเช่นนี้ก็ไม่น่าแปลกใจเหมือนกัน แต่ตอนนี้จิ้งหลิงสงบไปเยอะแล้ว อีกทั้งนางยังมีกั่วเจี่ยเอ๋อร์ ย่อมไม่เห็นนางเป็นศัตรูอีก ดังนั้นนางจึงไม่ค่อยเชื่อเรื่องนี้นัก 

 

 

อีกอย่างนางจะเชื่อเพียงเพราะคำพูดด้านเดียวของกู่อวี้จืออย่างนั้นหรือ คิดว่าจิ้งหลิงมีปัญหาอย่างนั้นหรือ? เช่นนั้นก็ดูจะตัดสินด้วยอำนาจไปหน่อยแล้ว 

 

 

“ข้ายังได้ยินว่า เมื่อวานนี้ก่อนเกิดเหตุเพลิงไหม้ มีคนเห็นบ่าวรับใช้ของนางเดินอยู่ใกล้บริเวณนั้น อีกทั้งเหมือนว่าข่าวที่พระชายากลับมาแก้แค้นก็เริ่มกระจายมาจากเรือนของนาง…“ กู่อวี่จือเห็นถาวจวินหลันไม่เชื่อ จึงพูดเสริมอีก 

 

 

คราวนี้ยิ่งดูน่าเชื่อมากไปอีก ขาดแต่เพียงพูดตรงๆ ว่าจิ้งหลิงวางแผนเรื่องนี้ 

 

 

“อย่างนั้นหรือ? แล้วเจ้าคิดว่าจิ้งหลิงทำไปทำไม?” ถาวจวินหลันเลิกคิ้ว ทำหน้าไม่เชื่อ “ข้าดีกับจิ้งหลิงมาก คิดว่านางคงไม่ถึงขั้นทำกับข้าเช่นนี้หรอกกระมัง? อีกทั้งนางเองก็มีกั่วเจี่ยเอ๋อร์ ทำไมนางถึงยังไม่พอใจอีก?” 

 

 

“กั่วเจี่ยเอ๋อร์เป็นสตรี วันข้างหน้าก็ต้องออกเรือนไป นางจะพอใจได้อย่างไรเจ้าคะ?” กู่อวี้จือพูดอย่างเด็ดเดี่ยว ท่าทางมั่นใจแล้วว่าเรื่องทั้งหมดนี้เป็นแผนของจิ้งหลิง “อีกอย่าง ในตอนนั้นนางเป็นคนที่ปรนนิบัติท่านอ๋องมานานที่สุด แต่ว่าสุดท้ายแล้วชายารองกลับแย่งตำแหน่งนั้นไปครองก่อน  นางย่อมมิอาจทำใจได้ ก่อนหน้านี้นางก็เคยอาละวาดมิใช่หรือเจ้าคะ? จากที่ข้าลองคิด นางเพียงแค่จงใจแสร้งเป็นสงบนิ่ง เพื่อใช้ตบตาท่านเท่านั้น” 

 

 

ถาวจวินหลันมองกู่อวี้จือนิ่งงัน จากนั้นก็ถามนางว่า “แต่เจ้าไปรู้ข่าวคราวพวกนี้มาได้อย่างไรกัน?” 

 

 

ฉับพลันนั้นกู่อวี้จือก็พูดไม่ออก ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงพูดอย่างกระอักกระอ่วน “ข้าเองโชคไม่ค่อยดีมาตลอด อาศัยแค่ข้าเกิดมามีชาติกำเนิดสูงกว่าจิ้งหลิง แต่ท่านกลับส่งกั่วเจี่ยเอ๋อร์ไปให้นางเลี้ยงดู ดังนั้นข้าจึงตั้งใจจับตามองเจ้าค่ะ” 

 

 

“ยังมีอะไรจะพูดอีกหรือไม่?” ถาวจวินหลันถามอีก 

 

 

กู่อวี้จือส่ายหน้าบอกว่าไม่มีแล้ว 

 

 

ถาวจวินหลันมองชุนฮุ่ยทีหนึ่ง ชุนฮุ่ยก็รีบเชิญกู่อวี้จือออกไปอย่างรู้งาน 

 

 

พอกู่อวี้จือออกไปแล้ว ถาวจวินหลันถึงมองไปทางปี้เจียว “เรื่องนี้มอบให้เจ้าไปสืบต่อ” นางไม่มีเรี่ยวแรงและเวลามาจัดการเรื่องนี้ อีกทั้งเทียบกับเรื่องนี้แล้วสิ่งที่สำคัญที่สุดไม่ใช่เรื่องนี้ ดังนั้นจึงปล่อยให้คนอื่นไปจัดการแทน 

 

 

“แล้วก็ไปสืบดูว่ากู่อวี้จือต้องการทำอะไรกันแน่ และนางมีพิรุธอะไรหรือไม่” ถาวจวินหลันหัวเราะเสียงเย็น กู่อวี้จือวิ่งมาฟ้องเรื่องจิ้งหลิงเช่นนี้ แท้จริงแล้วตั้งใจทำอะไรกันแน่? คงไม่ได้หวังดีต่อจวนตวนอ๋องหรอกใช่หรือไม่? 

 

 

ถาวจวินหลันถอนใจ รู้สึกเหนื่อยใจเป็นที่ยิ่ง คนที่อยู่ในครอบครัวเดียวกันนี้ แต่ละคนล้วนไม่ทำให้สบายใจ หากวันข้างหน้าเซิ่นเอ๋อร์แต่งงาน นางจะต้องเลือกคนให้ดีและรอบคอบ แน่นอนว่าสิ่งสำคัญที่สุดคือ พยายามเลี่ยงผู้หญิงให้มีน้อยที่สุด มิเช่นนั้นคงเอาแต่ปัดแข้งปัดขากัน ดูแล้วน่าเหนื่อยใจเป็นยิ่งนัก 

 

 

แม้ว่าจะถูกกู่อวี้จือเข้ามาขัดจังหวะจนความง่วงหายไปไม่น้อย แต่ถาวจวินหลันก็ยังคงนอนพักสายตาอยู่บนเตียง พลางคิดเรื่องอย่างละเอียดรอบคอบ แล้วจัดการเรียบเรียงเรื่องราววุ่นวายในหัว 

 

 

พอถาวจวินหลันหลับไปแล้ว ปี้เจียวก็ค่อยๆ ถอยออกมา พูดกับชุนฮุ่ยที่อยู่ข้างนอกด้วยเสียงเบา “ต่อจากนี้หากมีคนมาขอพบตอนกลางดึก นอกจากมีเรื่องสำคัญแล้ว นอกนั้นอย่าเข้ามารายงาน จะมาเมื่อไรไม่มา แต่ทำไมต้องมาเวลานี้พอดี? ท่าทางมีลับลมคมในยิ่งนัก”