งานนิทรรศการจัดแสดงสินค้าหยกจัดขึ้นวันที่ห้าถึงวันทีแปดเดือนพฤศจิกายน เพราะว่าราคาของอัญมณีประเมินค่าไม่ได้ หน้าที่ของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยจึงต้องเคร่งครัด ซีเหมินจินเหลียนและจ่านป๋ายปรึกษากัน การจัดแสดงเครื่องประดับอัญมณีธรรมดาก็ช่างมันเถอะ นำไปวางไว้ที่ตู้เซฟของคลับก็ได้แล้ว ส่วนหยกชั้นดีเหล่านั้นนำกลับมาที่คฤหาสน์ของซีเหมินจินเหลียนน่าจะดีกว่า มีแต่บ้านของตัวเองเท่านั้นที่ซีเเหมินจินเหลียนถึงรู้สึกปลอดภัย
สำหรับหยกราชางูนั้น ซีเหมินจินเหลียนตัดสินใจครั้งสุดท้ายว่าจะนำมาจัดแสดงแค่หนึ่งวัน มีความสุขคนเดียวสู้มีความสุขกันหลายๆ คนไม่ได้ นอกจากนั้นเธออยากจะไขความลับของราชางู และยังมีราชาหยกที่พูดถึงกันในตำนานก้อนนั้นอีก
แม้ว่าเธอจะซื้อหุ้นบริษัทหลินซื่อจิวเวอรี่ได้สำเร็จ แต่สิ่งที่เหนือความคาดหมายก็คือ แม้หลินเสวียนหลานจะค้นหาบันทึกของสมัยก่อนมาดู แต่ก็ไม่พบเค้ามูลบันทึกเรื่องราวของราชาหยกสักนิดเลย
ส่วนราชาหยกก้อนนั้น ได้ยินมาว่าเป็นแค่หินหยกก้อนหนึ่ง จากที่ได้ยินมาก็ไม่ใช่หินหยกขนาดใหญ่มาก เป็นหินหยกที่ยังไม่ได้เปิดเจียระไนออกมา แล้วจะเรียกว่าราชาหยกได้อย่างไร ซีเหมินจินเหลียนไม่รู้ เธอรู้แค่หินหยกก้อนนั่นจะต้องมีความสัมพันธ์กับหยกราชางู แต่ไม่รู้ว่าคนที่รู้ดีอย่างผู้อาวุโสหูหายตัวไปไหน
เธอและจ่านป๋ายลองหาข้อมูลดูแล้ว แต่สุดท้ายก็ยังหาคำตอบไม่ได้ ทุกครั้งที่มองไปก็เห็นดวงตากลมโตในหยกราชางูคู่นั้นเบิกตาขึ้นกว้าง แสดงท่าทางไม่รู้ประสา ดูราวกับงูที่มีชีวิต ซีเหมินจินเหลียนก็มีความรู้สึกแปลกๆ ที่พูดออกมาไม่ออก
หลินเสวียนหลานจัดการวางแผนเรื่องคลับหยกหมดทุกอย่าง เพราะฉะนั้นเมื่อถึงวันนั้น ซีเหมินจินเหลียนก็แค่นำเครื่องประดับหยกที่เตรียมไว้ รวมไปถึงหยกราชางูนั่นพกไปด้วยกันก็พอแล้ว
เวลาเก้าโมงเช้าเริ่มพิธีเปิดนิทรรศการอย่างเป็นทางการ ประมาณแปดโมงครึ่ง ทุกอย่างจะต้องเตรียมไว้อย่างเรียบร้อย ซีเหมินจินเหลียนมองไปที่ตู้กระจกกันขโมยที่มีเครื่องประดับอยู่ข้างใน ภายใต้แสงไฟ ยิ่งส่องแสงเป็นประกรายแพรวพราวมากขึ้น ไม่นานจิตใจเธอก็แจ่มใสอย่างไม่รู้ตัว
เวลาเก้าโมงตรงพอดี เริ่มมีแขกเหรื่อเข้ามาอย่างสนอกสนใจ ซีเหมินจินเหลียนนำเรื่องทั้งหมดมอบให้หลินเสวียนหลานเป็นคนจัดการดูแล นี่เป็นผลลัพธ์ของผู้ชายหล่อ งานจัดแสดงสินค้าอัญมณีเพิ่งเริ่ม ตู้กระจกจัดแสดงสินค้าของบริษัทจินเหลียนต่างมีแขกผู้เยี่ยมชมรวมตัวกันอยู่ข้างหน้า สะใภ้คนรวยอายุน้อยใหญ่ให้ความสนใจอย่างมากไปที่เครื่องประดับหยกประกายดาวระยิบระยับ
ซีเหมินจินเหลียนและจ่านป๋ายเจรจากันในเรื่องรายละเอียดของการเดิมพันหิน เพราะว่าการเดิมพันหินใหญ่จะจัดขึ้นในตอนกลางคืน โดยปกติแล้วการเดิมพันหินใหญ่มักจะเป็นคนที่เข้าใจในสายนี้ แขกธรรมดาไม่สามารถมาเยี่ยมชมตามอำเภอใจได้ แน่นอนถ้ามีคนคุ้นเคยแนะนำพาเข้าไป ก็สามารถไปชมดูได้ และไม่แน่ยังสามารถเดิมพันได้ด้วย
จ่านป๋ายนั่งพิงเข้ากับเก้าอี้ของโต๊ะทำงาน ทำความเข้าใจกับข้อความในแฟกซ์ที่อยู่ตรงหน้าแล้วขมวดคิ้ว “จินเหลียน การเดิมพันสี เดิมพันชนิดก็เหมือนกับพนันลูกเต๋าสูงต่ำหรือเปล่าครับ”
งานจัดแสดงอัญมณีเช่นนี้ นอกจากห้องจัดแสดงข้างหน้าแล้ว ด้านหลังก็มีห้องทำงานให้เช่าอย่างเหมาะสม เตรียมไว้สำหรับพักผ่อนหรือลูกค้าที่สนใจในอัญมณี อยากจะพูดคุยเจรจาเรื่องธุรกิจ
ร้านค้าที่มาจัดงานนิทรรศการแสดงสินค้าแต่ละแห่งล้วนเช่าห้อง จนถึงตอนนี้ซีเหมินจินเหลียนและจ่านป๋ายก็นั่งอยู่ด้านหลังข้างในห้องทำงาน
“เหมือนกัน” ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้า “สิ่งที่ไม่เหมือนกันก็คือลูกเต๋าพนันสูงต่ำ แต่นี่เป็นการเดิมพันสีกับแหล่งที่มา”
“ถ้าอย่างนั้นการเดิมพันหินใหญ่ตอนหลัง พวกเรายังจะเข้าร่วมอีกหรือเปล่า” จ่านป๋ายถาม
“ฉันขอคิดดูก่อนแล้วกัน” ซีเหมินจินเหลียนถอนหายใจ
การเดิมพันหินใหญ่ ความจริงแล้วก็เป็นการเตรียมหินหยกของแต่ล่ะร้านค้าทั้งหมดในครั้งนี้ จากนั้นค่อยเปิดต่อหน้า ลักษณะหินของใครดีสุด คนคนนั้นก็เป็นผู้ชนะในที่สุด
และในระหว่างนั้น ร้านค้าต่างๆ ก็สามารถลงของเดิมพันได้ ฝ่ายจัดงานจะทำตามร้านค้าที่พูดถึงลักษณะของผิวหิน แล้วเริ่มจำแนกชนิดเดิมพัน อันนี้เป็นเดิมพันลูกบอล เดิมพันม้าอะไรก็เถอะ ไม่มีอะไรแตกต่าง
แต่สิ่งที่ไม่เหมือนกันคือผิวหยกของใครลักษณะดีที่สุดก็จะสามารถชนะในของเดิมพันที่ผู้เข้าร่วมงานทุ่มลงมา รวมไปถึงหินหยกนี่เป็นการเดิมพันที่มีคลาสอย่างแท้จริง
กติกาเดียวที่เล่นก็คือ หินหยกของผู้ร่วมเข้างานทั้งหมดจะต้องเป็นหินหยกที่เดิมพันทั้งตัว น้ำหนักไม่สามารถเกินสามสิบกิโลกรัม ไม่สามารถเปิดผิวเปลือกออกมาได้ เมื่อเป็นอย่างนี้ก็ยิ่งเพิ่มความยากเข้าไปอีก ร้านค้าทุกร้านหรือทุกคนที่เล่นการเดิมพันหินใหญ่ต้องเตรียมเงินหนึ่งล้านเป็นของเดิมพัน
ตอนที่จ่านป๋ายเห็นกติกานี้ก็ด่าไฟแล่บออกมาไม่หยุด นี่มันเหมือนเดิมพันทรัพย์สินแล้ว ไม่ใช่เดิมพันหินหยกที่ง่ายๆ เลย
“ได้ยินว่าทางเจียหยางนั้น สไตล์การเล่นแบบนี้เป็นที่นิยมแพร่หลาย” ซีเหมินจินเหลียนพูดอธิบาย
“การเดิมพันผีบ้าแบบนี้ ยังไงก็ไม่มีทางชนะแน่!” จ่านป๋ายถอนหายใจ
ซีเหมินจินเหลียนถอนหายใจออกมา ไม่เพียงแต่หัวเราะแห้งออกมา แต่ในตอนนี้เธอถือว่าเล่นพนันเก่งมาก
“คืนนี้พวกเราไปวางพนัน ไม่ต้องพาหินหยกไปเข้าร่วมเดิมพันหินใหญ่ วันสุดท้ายค่อยเข้าร่วม เพราะอย่างไรก็มีตั้งสามวัน เดิมพันหินก็จัดสามรอบ ลักษณะหินหยกที่ดูดีในมือตอนนี้ก็เหลือแค่ก้อนเดียว” ซีเหมินจินเหลียนพูด หินหยกสีแดงกุหลาบก้อนนั้นก็ถูกเธอเปิดออกมาแล้ว ทำเป็นเครื่องประดับออกมาร่วมจัดแสดงในนิทรรศการ ดังนั้นที่เหลือที่พอจะเข้าร่วมการเดิมพันหินใหญ่นั้น มีแค่หยกขนาดความใหญ่แค่ไข่ไก่เพียงก้อนเดียวเท่านั้น
เหตุผลที่ซีเหมินจินเหลียนลังเลก็คือ เธอยอมเห็นแก่ตัว ไม่อยากให้หยกก้อนนั้นเปิดตัวต่อหน้าใคร
“รอเดี๋ยวพวกเราไปดูเครื่องประดับอัญมณีของคนอื่นกัน!” ซีเหมินจินเหลียนพูด “ไปเรียนรู้อะไรสักหน่อย!”
“แน่นอนอยู่แล้ว รออีกเดี๋ยวค่อยไปดู ตอนนี้ยังเร็วเกินไป” จ่านป๋ายมองเวลา นี่เพิ่งประมาณสิบโมง
บนโต๊ะของห้องทำงาน จู่ๆ มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น จ่านป๋ายรีบวิ่งไปรับ เสียงของหลินเสวียนหลานฟังดูค่อนข้างลำบากใจ “คุณจ่าน ให้จินเหลียนมารับโทรศัพท์หน่อย”
“เกิดอะไรขึ้น” จ่านป๋ายถามอย่างไม่เข้าใจ
“มีคุณนายท่านหนึ่ง เขาสนใจอยากจะซื้อหยกประกายดาว” หลินเสวียนหลานอธิบาย
จ่านป๋ายขมวดคิ้วไม่คลาย นอกจากราชางู หินหยกทั้งหมดที่จัดแสดงครั้งนี้นั้น มีเพียงหยกประกายดาวที่ไม่ขาย แต่กำไลประกายดาวระยิบระยับครั้งนี้ก็จัดแสดงแค่หนึ่งชิ้นเท่านั้น ยังมีอีกชิ้นที่ซีเหมินจินเหลียนสวมใส่ไว้ในข้อมือจนถึงตอนนี้ นี่เป็นเครื่องประดับส่วนตัวของเธอ ถ้าอยากจะได้เนื้อหยกก็ต้องสั่งจอง
เห็นได้ชัดว่าคุณนายท่านนี้ไม่ยินยอมซื้อเนื้อหยกประกายดาว ไม่เช่นนั้นหลินเสวียนหลานคงจัดการไม่ได้แบบนี้
“ผมจะลองออกไปดูก่อน บางทีอาจจะแค่มีคนตั้งใจมาสร้างความวุ่นวาย” จ่านป๋ายพูด
“มีคนอยากจะซื้อกำไลหยกประกายดาวเหรอคะ” ซีเหมินจินเหลียนแอบได้ยินนิดหน่อยและขมวดคิ้วถาม
“ครับ” จ่านป๋ายพูดพลางเดินออกไปข้างนอก
“ฉันไปด้วย!” ซีเหมินจินเหลียนลุกขึ้นยืนเดินออกไปที่งานนิทรรศการข้างนอกด้วยกัน เป็นอย่างที่คิดไว้ ด้านหน้านิทรรศการของบริษัทจินเหลียนจิวเวอรี่มีผู้คนมากมายรุมล้อม พนักงานที่สุภาพเรียบร้อยของบริษัทจินเหลียนจิวเวอรี่ทำตัวไม่ถูกจนไม่รู้จะทำยังไง ส่วนหลินเสวียนหลานก็กำลังพูดอธิบายแก่ผู้หญิงวัยกลางคนคนหนึ่ง
จ่านป๋ายจูงมือซีเหมินจินเหลียน พยายามแหวกว่ายข้ามผ่านฝูงคนที่เบียดเสียดกัน
“คุณเป็นประธานของบริษัท ทำไมพูดคำไหนไม่เป็นคำนั้น ถ้าอย่างนั้นก็หาคนมีความรับผิดชอบได้มา!” ผู้หญิงวัยกลางคนพูดด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว ซีเหมินจินเหลียนสงสัย นี่ไม่ใช่คนฮ่องกงแต่เป็นคนไต้หวัน
ข้างๆ ของผู้หญิงวัยกลางคนคนนั้นยังมีผู้ชายวัยกลางคนอยู่ด้วย ดูแล้วทั้งสองคนน่าจะมาด้วยกัน
“อีกอย่างสินค้าที่พวกคุณไม่ได้ขาย ทำไมถึงต้องเอามาจัดแสดง ในเมื่อจัดแสดง ถ้าอย่างนั้นก็เพื่อต้องการจะขายไม่ใช่เหรอ” ผู้หญิงวัยกลางคนพูดด้วยวาจาเสียดสี ดูถูกคน
หลินเสวียนหลานยิ้มอย่างขมขื่น “คุณผู้หญิงครับ นี่เป็นกำไลประกายดาวที่ประธานใหญ่ของบริษัทพวกเราเก็บเป็นของสะสมส่วนตัว เพราะอยากจะนำมาแสดงเลยจัดงานนิทรรศการขึ้น ถ้าหากคุณอยากได้เป็นเนื้อหินหยกประกายดาว พวกเราก็สามารถทำตามความต้องการ จัดทำสินค้าให้คุณได้”
“ถ้าอย่างนั้นคุณก็เรียกประธานใหญ่ของบริษัทมาสิ พวกเราไม่ได้จะมาสร้างความวุ่นวาย แค่ชอบกำไลประกายดาวนี้จริงๆ จึงอยากจะซื้อก็เท่านั้น” ชายวัยกลางคนที่อารมณ์ดีหน่อยยิ้มพูดกับหลินเสวียนหลาน “ในเมื่อทำธุรกิจกัน เรื่องเงินก็ไม่เป็นปัญหา ทุกคนก็เจรจาดีๆ กันได้ อย่าเอาประโยคนี้มาทำให้ไม่มีค่าเลย”
“เกิดอะไรขึ้น” จ่านป๋ายเบียดฝูงชนเดินเข้ามาถาม
ชายหญิงวัยกลางคนทั้งสองคนหันมามองจ่านป๋ายแวบหนึ่ง แล้วคิดว่าเขาเป็นเจ้าของบริษัทจินเหลียนจิวเวอรี่ กำลังคิดจะพูดขึ้นแต่สายตาหันไปมองที่ร่างของซีเหมินจินเหลียนเข้าเสียก่อน บนข้อมือของเธอกำลังสวมใส่กำไลประกายดาวอยู่วงหนึ่ง มัดผมรวบขึ้นและมีปิ่นปักผมชนิดเนื้อแก้วสีเขียวสด คอยส่องแสงเป็นเครื่องประดับบนหัว ทำให้เปิดเผยลำคอที่ขาวกระจ่างใส หยกที่สมบูรณ์แบบ ในเวลานี้ถูกแสดงออกมาอย่างเต็มความสามารถที่สุด
ชายหญิงวัยกลางคนเดิมทีคิดว่ากำไลประกายดาวอาจจะมีแค่หนึ่งวง เพราะหยกแบบนี้เจอได้แต่สั่งทำไม่ได้ มีเศษหยกที่เหลือถูกเจียระไนเป็นเนื้อหยกฝังแหวนขาย แถมกำไลก็กลายเป็นของเก็บสะสมส่วนตัว เขาเข้าใจคนที่รักหยก แน่นอนรู้ว่ามูลค่าของกำไลประกายดาวนี่เป็นสิ่งที่สามารถเป็นมรดกตกทอดได้
จนถึงตอนนี้ กำไลประกายดาวมีเป็นหนึ่งคู่ นี่ก็เป็นเรื่องที่เพอร์เฟ็คมาก
“คุณผู้หญิงท่านนี้คือ?” ชายวัยกลางคนถามหยั่งเชิง
“สวัสดีค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้าโปรยยิ้ม “ทั้งสองท่านดูเหมือนจะเป็นคนรักหยกสินะคะ ถ้าอย่างนั้นลองเข้าไปดื่มชาแล้วค่อยๆ เจรจากันเถอะค่ะ”
หญิงวัยกลางคนมองไปสามีแล้วพยักหน้า “ตกลงค่ะ!”
จ่านป๋ายพาทั้งสองท่านเดินมาที่ห้องทำงานด้านหลัง เสิร์ฟชาให้เสร็จสรรพแล้วแบ่งที่นั่งแยกเป็นผู้ซื้อผู้ชาย หญิงวัยกลางคนเป็นคนเอ่ยปากพูดขึ้นก่อน “ขอถามคุณผู้หญิงหน่อยได้หรือไม่ คุณเป็นเจ้าของบริษัทจินเหลียนจิวเวอรี่ใช่หรือไม่”
“เรียกอย่างนั้นก็ได้ค่ะ!” ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้า
“เรื่องเป็นแบบนี้ คือพวกเราทั้งสองคนสามีภรรยาเป็นคนไต้หวัน งานอดิเรกทั่วไปก็คือสะสมหยก งานนิทรรศการที่สามปีมีหนึ่งครั้ง พวกเรามักจะมาเยี่ยมชมทุกครั้ง ครั้งนี้พวกเราสองสามีภรรยาอยากที่จะซื้อกำไลแสงดาวของบริษัทของคุณ”
ซีเหมินจินเหลียนยิ้ม “ทั้งสองคงจะรู้แล้วว่ากำไลประกายดาวนี้เป็นกำไลที่ฉันสวมใส่เป็นประจำ ไม่ได้นำออกมาขาย ทั้งสองท่านก็ไม่สนใจชิ้นอื่นเลยหรือคะ ทางบริษัทเรายังมีหยกสีเลือด หยกสีแดงดอกกุหลาบ หยกสีเหลือง หยกสีฟ้า หรือถ้าอยากจะสั่งทำแบบพิเศษก็สามารถสั่งจองได้ หยกแสงดาวนอกจากกำไล สามารถสั่งจองเป็นจี้แหวน”
สายตาของผู้หญิงวัยกลางคน เห็นได้ชัดว่าผิดหวังมาก ซีเหมินจินเหลียนเป็นผู้หญิง แถมยังเป็นเด็กสาวที่หน้าตาสะสวย ถ้าหากเป็นของสะสมของผู้ชายแค่เจียระไนอีกสักหน่อนราคาคงจะสูงขึ้น บางทีอาจจะซื้อไว้ แต่สำหรับเครื่องประดับของผู้หญิงสวย ถ้าอยากจะซื้อก็ง่าย แถมเธอยังดูออกว่า กำไลประกายดาววงนี้ ซีเหมินจินเหลียนคงไม่มีทางขายเป็นแน่ ถ้าเป็นเธอ เธอก็คงไม่อยากขายเช่นกัน นอกเสียจากวันไหนที่หิวจนไม่มีข้าวจะกิน…