บทที่ 574: การทดสอบหัวข้อที่สอง 2

Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน

บทที่ 574: การทดสอบหัวข้อที่สอง 2

 

ยามเมื่อเวลาสิบนาที่ได้ผ่านพ้น ซูหยางก็ได้ยื่นส่งกระดาษอีกแผ่นหนึ่งให้กับทุกคนภายในห้อง และกล่าวว่า “ก็เหมือนกับการทดสอบแรก ม้วนคัมภีร์นี้จักบันทึกความคิดของพวกเจ้าโดยอัตโนมัติ และมันก็จะมิยอมให้พวกเจ้าเดาคําตอบ ดังนั้นถ้าหากว่าพวกเจ้ามิมีความมั่นใจในคําตอบ ม้วนคัมภีร์นี้ก็จะทําเหมือนกับว่าพวกเจ้ามิได้ตอบไว้”

 

ถึงแม้ว่าเขาจะพูดไปแบบนั้นแต่ก็ไม่มีคนไหนในห้องต้องการที่จะออกจากห้องไป ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่มีความมั่นใจในคําตอบ พวกเขาก็ยังต้องพยายาม

 

หลังจากนั้นเมื่อทุกคนภายในห้องได้ผลลัพธ์ของตนเองแล้ว ซูหยางก็พูดขึ้นว่า “ถ้าม้วนคัมภีร์ของเจ้านั้นว่างเปล่า เจ้าได้ล้มเหลวในการทดสอบนี้แล้ว และเจ้าก็ควรจากไปได้”

 

ทันใดนั้นหลังจากที่เขากล่าวถ้อยคําเหล่านั้นแล้ว คนในห้องเกือบทั้งหมดก็ได้ยืนขึ้นและออกไปจากห้องนั้น

 

สองสามนาทีให้หลัง ก็มีคนเหลืออยู่ไม่ถึงหนึ่งร้อยคนในห้องนั้น

 

“ตอนนี้ ถ้าหากว่าม้วนคัมภีร์ของเจ้านั้นมีจํานวนเลขต่ํากว่าสาม เจ้าก็ควรจะจากห้องนี้ไปด้วยเช่นเดียวกัน”

 

คนที่มีเลขอยู่หนึ่งหรือสองในม้วนคัมภีร์ของตนเองนั้นก็พลันถอนหายใจ ก่อนที่จะออกจากห้องไป

 

“ถ้าหากว่าเจ้ามีเลขเท่ากับสามในม้วนคัมภีร์ของเจ้า นั่นหมายความว่าเจ้าได้ผ่านการทดสอบนี้อย่างฉิวเฉียดจากการได้สามจํานวนจากห้าคําตอบที่ถูกต้อง ถ้าเจ้ามีเลขสี่นั่นหมายความว่าเจ้ามีจมูกที่ยอดเยี่ยม ถ้าเจ้าสามารถจําแนกวัตถุดิบทั้งห้าออกมาจากส่วนผสมแล้ว นั่นหมายความว่า เจ้ามีจมูกที่พิเศษเฉพาะที่เหมาะกับการปรุงยา ในเมื่อมีเพียงหนึ่งในสิบล้านคนที่เกิดขึ้นมาพร้อมกับจมูกที่สามารถดมกลิ่นทั้งห้าจากส่วนผสมนี้ได้” ซูหยางพูดกับคนที่หลงเหลืออยู่ยี่สิบคนในห้อง

 

“ด-เดี๋ยวก่อน ผู้อาวุโส ท่านพูดว่ามีเพียงคนจํานวนหนึ่งเท่านั้นที่มีจมูกพิเศษที่สามารถที่จะดมกลิ่นทั้งห้าได้มิว่าจะเป็นอย่างไรก็ตาม เช่นนั้นจะมีประโยชน์อะไรที่ให้แต่ละคนด้วยกลิ่นพิเศษเฉพาะ” ผู้อาวุโสเจิ้งถามเขา ในเมื่อเขาเพียงแค่สามารถที่จะเดาได้สามในห้ากลิ่น ผ่านการทดสอบที่สองนี้อย่างฉิวเฉียด แม้ว่าจะได้รับอันดับที่สูงในการทดสอบครั้งแรก

 

ซูหยางยิ้มและกล่าวว่า “จริงแล้วทุกคนนั้นได้รับส่วนผสมเดียวกันในขวดแก้วของพวกเขา อย่างไรก็ตามส่วนผสมเองนั้นมีความเฉพาะตัวเป็นอย่างยิ่ง และมันก็จะได้กลิ่นแตกต่างกันไปตามแต่ละคน ดังนั้นทําข้าจึงกล่าวว่าทุกขวดนั้นมีกลิ่นเฉพาะตัว ส่วนสําหรับวัตถุดิบนั้น พวกมันล้วนให้กําเนิดกลิ่นที่เป็นไปได้ทุกกลิ่นในส่วนผสมนั้น”

 

“ส่วนผสมที่ข้าให้กับพวกเจ้านั้นเรียกว่า “น้ําหอมปรวนแปร” ซึ่งจะขึ้นกับว่าเจ้านั้นมีประสาทรับกลิ่นที่แหลมคมเพียงใด ซึ่งเจ้าสามารถเพียงได้รับกลิ่นในสิ่งที่มันยอมให้เจ้าเท่านั้น”

 

“และหากว่าเจ้ามิสามารถที่จะดมกลิ่นตั้งแต่สามหรือมากกว่านั้นจากน้ําหอมปรวนแปรแล้ว โดยปกติแล้วนั่นก็หมายความว่าเจ้ามิได้มีจมูกที่จะสามารถเรียนรู้วิชาที่ข้าจักสอนศิษย์ข้าได้”

 

จากนั้นซูหยางก็กล่าวขึ้นว่า “แสดงผลลัพธ์ให้ข้าเห็น ถ้าผลลัพธ์ของเจ้านั้นเท่ากับสาม ข้าจักให้คะแนนเจ้าสิบแต้ม และถ้าผลลัพธ์นั้นเป็นสี่ ข้าก็จักให้กับเจ้ายี่สิบห้าแต้ม และถ้าเจ้าได้ผลลัพธ์เต็ม ข้าก็จักให้เจ้าห้าสิบแต้ม”

 

เวลาหลังจากนั้นซูหยางก็เริ่มเรียกชื่อแต่ละคนตามที่มีผลลัพธ์เดียวกัน

 

“หงอวี้เอ๋อร์ ซูซุน ผู้อาวุโสเฟิง… สิบแต้ม”

 

“อะไรกัน หงอวี้เอ๋อร์ก็เพียงผ่านได้อย่างฉิวเฉียดนรี”

 

ผู้คนที่นั่นต่างพากันมองเธอด้วยสายตาประหลาดใจ

 

“ฮีม ร่างกายนี้มิได้เกิดขึ้นมาพร้อมกับพรสวรรค์ใดๆสําหรับการปรุงยา ดังนั้นจึงเป็นเหตุที่ทําไมข้าจึงเพียงสามารถดมกลิ่นได้เพียงสามจากห้า นี่เป็นอะไรที่กระทั่งตัวข้าเองก็มิอาจเปลี่ยนแปลงได้ ส่วนในการทดสอบแรกนั้น ถ้ามิใช่ข้ามีพลังจิตที่แข็งแกร่งคอยช่วยร่างนี้อยู่ มันก็คงเป็นไปมิได้สําหรับหงอวี้เอ๋อร์ที่จะจดจําวัตถุดิบทั้งหมดแสนชนิดนั้นได้” ถังหลิงซีคิดในใจ

 

“ไปลี่ฮัว โหลวอี้เชียว หวังชูเหริน ยี่สิบห้าแต้ม”

 

หลังจากที่เรียกชื่อทุกคนในห้องนี้หมดแล้วยกเว้นคนเพียงคนเดียว จากนั้นซูหยางก็หันไปหาหญิงสาวที่ได้ปิดขวดของตนเองสี่นาทีในการทดสอบ

 

“เจ้าเป็นเพียงคนเพียงคนเดียวที่สามารถดมกลิ่นทั้งหมดห้ากลิ่นจากส่วนผสมได้ เจ้าชื่ออะไร” ซูหยางถามเธอ

 

หญิงสาวนั้นลุกขึ้นยืนและโค้งคํานับเขาอย่างสง่างามก่อนที่จะพูดขึ้นว่า “ผู้เยาว์คนนี้เรียกว่า ไค่เอียน ลูกสาวคนเล็กของตระกูลไค่”

 

เขาพยักหน้าและกล่าวต่อว่า “ถ้าเจ้าสามารถผ่านการทดสอบสุดท้ายและกลายเป็นศิษย์ของข้า ข้ามีวิชาที่จักเสริมความแข็งแกร่งในการรับรู้กลิ่นของเจ้ายิ่งขึ้น เมื่อเชี่ยวชาญแล้ว เจ้าจักสามารถดมกลิ่นสิ่งต่างๆที่ห่างออกไปหลายกิโลเมตรได้”

 

“ผู้เยาว์คนนี้จักพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อจักมิได้ทําให้ท่านผู้อาวุโสผิดหวัง” ไค่เอียนคํานับเขาอีกครั้งก่อนที่จะกลับคืนไปยังที่นั่งของเธอ

 

สองสามอึดใจให้หลัง ซูหยางก็มองไปยังคนที่เหลืออยู่แล้วกล่าวกับพวกเขาว่า “นี่จักเป็นการทดสอบสุดท้าย แต่ก่อนที่ข้าจักปล่อยให้พวกเจ้าเข้ารับการทดสอบนั้น ข้าต้องเตือนเจ้าก่อนว่าในการเข้าร่วมการทดสอบนี้ เจ้าอาจได้รับอันตรายต่อจิตใจได้ ดังนั้นข้าจึงจักให้เวลาพวกเจ้าทุกคนสองสามนาทีเพื่อที่จะคิดทบทวนตนเองอีกครั้ง”

 

“พวกเราอาจจะได้รับอันตรายทางจิตใจงั้น นี่เป็นการทดสอบประเภทไหนกัน” ผู้อาวุโสเจิ้งถามเขา

 

“นั่นอาจจะเป็นการเสียอรรถรสหากว่าข้าบอกพวกเจ้าเกี่ยวกับเรื่องนี้ล่วงหน้า” ซูหยางส่ายหน้าและกล่าวต่อไปอีกว่า “ข้าสามารถบอกเจ้าได้ แต่เจ้าจักต้องถอนตัวจากการทดสอบนี้”

 

ผู้เข้าร่วมการทดสอบต่างพากันสบสายตากัน สีหน้าพวกเขาเต็มไปด้วยความลังเลสงสัย

 

อย่างไรก็ตามแม้ว่าจะได้รับการบอกว่าพวกเขาอาจจะได้รับอันตรายต่อจิตใจ แต่ก็ไม่มีใครยอมแพ้ในเมื่อพวกเขาได้ดําเนินการมาไกลเกินกว่าจะยอมแพ้แล้วในตอนนี้ ยิ่งไปกว่านั้นถึงแม้ว่ามันจะเสี่ยง พวกเขาก็เชื่อว่ามันคุ้มค่าเป็นอย่างมากถ้าพวกเขาสามารถเป็นศิษย์ของตัวตนผู้ยิ่งใหญ่อย่างซูหยาง

 

“มิมีใครยอมถอยรี ดี” ซูหยางยิ้มเบื้องหลังหน้ากาก

 

เขากล่าวต่อไปอีกว่า “หวังชูเหริน หงอวี้เอ๋อร์ มิมีความจําเป็นสําหรับพวกเจ้าสองคนที่จะเข้าร่วมในการทดสอบนี้”

 

หวังซูเหรินแอบถอนหายใจโล่งอก หลังจากที่ได้ยินคําพูดของเขา ในเมื่อเธอเองก็ไม่ต้องการที่จะได้รับประสบการณ์โดดเดี่ยวเช่นนั้นอีกครั้ง ไม่เช่นนั้นเธออาจะกลายเป็นบ้าไปจริงๆ

 

ส่วนสําหรับถังหลิงซีนั้น ไม่มีความหมายที่จะให้เธอเข้าร่วมในการทดสอบนี้ ในเมื่อเธอนั้นไม่ได้พยายามที่จะเป็นศิษย์เขาจริงๆแต่อย่างใด และในฐานะเชียนเช่นเดียวกัน ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เธอนั้นก็ได้รับประกันว่าต้องผ่านการทดสอบนี้

 

“ส่วนคนที่เหลือทุกคน ข้าต้องการให้พวกเจ้ามานั่งขัดสมาธิรวมกันที่นี่และหลับตาของพวกเจ้าลง” ซูหยางกล่าวกับพวกเขา