บทที่ 575 : โอสถรุกลําวิญญาณ

Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน

บทที่ 575 : โอสถรุกลําวิญญาณ

 

หลังจากได้รับการแนะนําของซูหยางแล้ว ผู้เข้าร่วมทุกคนต่างก็พากันมารวมตัวกันที่กลางห้องและนั่งขัดสมาธิก่อนที่จะหลับตาลง

 

“การทดสอบนี้จะกินเวลาเพียงหนึ่งชั่วโมง แต่มันอาจจะรู้สึกค่อนข้างนานกว่าเดิมขึ้นกับความแข็งแกร่งทางจิตใจของพวกเจ้าขอให้โชคดี” ซูหยางกล่าวกับพวกเขาก่อนที่จะนําเอาโอสถกาลนิรันดร์ออกมาขยี้

 

หลังจากที่โปรยฝุ่นผงจากเม็ดยาเข้าไปสู่อากาศเหนือผู้เข้าร่วมการทดสอบ ทั้งห้องก็พลันตกอยู่ในความเงียบสงัด

 

“หนึ่งชั่วโมง เช่นนั้นก็หมายความว่าพวกเขาจะต้องทนอยู่ในความเดียวดายสิบปีสินะ” หวังซูเหรินถามเขาหลังจากที่เห็นว่าไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองจากผู้เข้าร่วมการทดสอบอีก

 

ถ้าเธอได้รับประสบการณ์หนึ่งร้อยปีของการอยู่อย่างโดดเดี่ยวในเวลาสิบชั่วโมงของโลกจริง นั่นย่อมเป็นเหตุเป็นผลที่ว่าหนึ่งชั่วโมงควรจะหมายถึงสิบปีของการอยู่อย่างโดดเดี่ยว

 

อย่างไรก็ตาม ซูหยางส่ายหน้าของเขาและกล่าวว่า “แม้ว่ามันจะเป็นจริงที่ว่าพวกเขาต้องทนอยู่ในความเดียวดายเป็นเวลาอย่างต่ําสิบปีขึ้นกับความแข็งแกร่งทางจิตใจของพวกเขา มันก็อาจจะเพิ่มขึ้นมาอีกสองสามปีได้ ยกตัวอย่างเช่น เม็ดยาจะมีผลต่อผู้ที่มีจิตใจอ่อนแอ และถ้าเจ้าหวาดกลัวกับการอยู่คนเดียว สิบปีนั้นก็อาจจะกลายเป็นสิบเอ็ดปี สิบสองปี และบางทีก็อาจจะนานยิ่งกว่านั้น”

 

หวังชูเหรินมองไปยังผู้ที่เข้าร่วมการแข่งขันด้วยสีหน้าเป็นกังวล และเธอก็ถามเขาต่อว่า “ท่านจะทําอย่างไรถ้าจิตใจของพวกเขานั้นได้รับบาดเจ็บจากกระบวนการนี้จริงๆ พวกเขาล้วนเป็นคนที่มีอํานาจอิทธิพลหนุนหลังที่ลึกล้ํา ถ้าพวกเขามาที่นี่ด้วยจิตใจที่เป็นปกติสมบูรณ์แต่กลับบ้านไปอย่างคนปัญญาอ่อน ข้ามิต้องการที่จะจินตนาการว่าพวกของเขานั้นคิดจะทําอะไรต่อไป…”

 

ซูหยางหัวเราะเบาๆและกล่าวว่า “อย่ากังวล ข้าเพียงกล่าวว่านั่นอาจจะส่งผลกระทบต่อจิตใจของพวกเขาเพื่อเพิ่มผลของเม็ดยาต่อพวกเขา แน่นอนว่าข้าจักปลุกเขาขึ้นมาก่อนที่พวกเขาจะกลายเป็นบ้า”

 

“เม็ดยานี้แน่นอนว่าจักต้องนําความทรงจําที่ไม่พึงใจกลับมาด้วย…” ถังหลิงซีพลันกล่าวขึ้นด้วยเสียงที่หวนรําลึก จนทําให้หวังซูเหรินมองไปที่เธอด้วยความสนใจ

 

“ในเมื่อเจ้าก็เป็นศิษย์ของเขาเช่นกัน เจ้าควรจะรู้ถึงตัวตนของท่านอาจารย์ละสิ ใช่ไหม” เธอถามถึงหลิงซีผู้ซึ่งยังคงยึดครองร่างมนุษย์ของหงอวี้เอ๋อร์

 

“ศิษย์งั้นรี ในเมื่อเจ้ายังมิรู้ถึงสถานการณ์ ข้าก็จักมิกล่าวโทษเจ้าให้มากนัก แต่เจ้าอย่ากล้าลดสถานะของข้าไปเป็นเพียงแค่ศิษย์ ข้ามิได้เป็นศิษย์ของเขา ข้าเป็นภรรยาของเขาต่างหาก” ถังหลิงซีตอบกลับด้วยสายตาเย็นเยียบ ส่งความหนาวเย็นไปทั่วทั้งหลังของหวังชูเหริน

 

“โอ… ใช่. เจ้าหมั้นกับซูหยางอยู่นี่นา ข้าเกือบลืมไป ข้าต้องขอโทษด้วย…” หวังซูเหรินกล่าวหลังจากนั้นชั่วขณะ

 

เมื่อเห็นถังหลิงซีหรี่ตาของเธอ หวังซูเหรินก็รีบถามด้วยสีหน้าสับสน “ข้าพูดผิดอย่างงั้นรี”

 

“ไม่ เจ้ามิได้พูดผิด ข้าเป็นคู่หมั้นของเขา แต่ข้าก็มิได้เป็นเช่นกัน”

 

เมื่อได้ยินคําพูดที่ชวนสับสนของถังหลิงซี หวังชูเหรินก็เอียงคอของเธอพร้อมกับเลิกคิ้ว

 

“เธอปลอดภัยหรือเปล่า” ถังหลิงซึมองไปดูซูหยางแล้วถามเขา

 

เขาพยักหน้า “ข้าได้บอกเธอไปเรียบร้อยแล้วเกี่ยวกับความเป็นมาที่แท้จริงของข้า”

 

“ฟังให้ดีศิษย์ของซูหยาง เจ้าอาจจะกําลังมองดูหงอวี้เอ๋อร์อยู่ในตอนนี้ แต่ข้านั้นไม่ใช่หงอวี้เอ๋อร์ อย่างน้อยก็ไม่ใช่จิตใจที่อยู่ด้านในนี้ ชื่อของข้าคือถังหลิงซี และข้าในตอนนี้ก็กําลังยืมร่างมนุษย์ของหงอวี้เอ๋อร์ ด้วยความช่วยเหลือของโอสถรุกล้ําวิญญาณ”

 

เมื่อได้ยินคําพูดที่คล้ายกับเป็นความบ้าของถังหลิงซี กรามของหวังเหรินก็ตกลงไปถึงพื้น

 

“อย่ากังวลไป ข้าได้รับสิทธิ์จากหงอวี้เอ๋อร์ให้ใช้ร่างของเธอ ไม่ว่าอย่างไรก็ตามร่างที่แท้จริงของข้านั้นตอนนี้อยู่ที่สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่ ที่ซึ่งเป็นที่มาของซูหยาง” ถังหลิงซีอธิบายให้เธอฟังต่อ

 

“สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่ เช่นนั้นท่านก็เป็นเซียนเช่นกันละสิ”

 

ถังหลิงซีพยักหน้าและกล่าวว่า “แต่ข้ามิใช่เป็นเพียงแค่เซียนธรรมดาทั่วไป ข้ามาจากเผ่าเทพอาชูร่า หนึ่งในกองกําลังที่น่าหวาดกลัวที่สุดทั่วทั้งจักรวาล”

 

“ว้าว…”

 

แม้ว่าหวังซูเหรินจะไม่เข้าใจแม้แต่น้อยกับพลังอํานาจและชื่อเสียงทั้งหมดของเผ่าเทพอาชูร่า เธอก็อดที่จะชื่นชมในกระแสพลังเหนือโลกที่ปลดปล่อยออกมาจากร่างของถังหลิงซีไม่ได้

 

“ว่าแตว่า โอสถรุกล้ําวิญญาณนี่คืออะไรกัน” หวังซูเหรินถามในเวลาถัดมา ในเมื่อเธอนั้นสนใจในเรื่องการปรุงยามากกว่าสิ่งอื่นใดทั้งสิ้น

 

“โอสถรุกล้ําวิญญาณนั้นเป็นเม็ดยาที่ล้ําค่าและต้องห้าม ที่ยอมให้คนผู้หนึ่งได้ทําการโยกย้ายวิญญาณของตนเองออกมาจากร่าง และรุกเข้าไปในจิตใจของผู้อื่นที่มีจิตใจอ่อนแอกว่าเป็นการชั่วคราวได้ และมีเพียงคนเพียงคนเดียวในจักรวาลที่สามารถปรุงยาเช่นนี้ได้ นั่นก็คือเทพแห่งการปรุงยา” ซูหยางพูดกับเธอ

 

“เทพแห่งการปรุงยา” ความปรารถนาที่จะพบกับคนผู้นี้ยิ่งเพิ่มสูงขึ้นเป็นอย่างมาก หลังจากที่ได้รู้ถึงการคงอยู่ของโอสถรุกล้ําวิญญาณ ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม คนผู้นี้เป็นคนประเภทไหนกันถึงได้สร้างเม็ดยาที่ต่อต้านสวรรค์เช่นนี้ที่ยอมให้คนผู้หนึ่งรุกล้ําเข้าไปในร่างของคนอื่นขึ้นมาได้

 

อย่างไรก็ตามเมื่อถังหลิงซีได้ยินพวกเขาพูดถึงชื่อของ “เทพแห่งการปรุงยา” สีหน้าของเธอก็ดูจะขื่นขมขึ้นมาในทันที

 

“มีอะไรผิดไปรึ” หวังชูเหรินสังเกตเห็นสีหน้าของถังหลิงซี จึงได้ไต่ถามอีกฝ่าย

 

“ไม่.. เพียงแค่ว่าเธอนั้นเป็นคนที่ทําตัวขัดแย้งมาก ดังนั้นเมื่อไหร่ก็ตามที่มีคนกล่าวพาดพิงถึงเธอ เจ้าก็มักจะมิได้เห็นการแสดงออกที่คล้ายคลึงกัน” ถังหลิงซีถอนใจ

 

“หรือว่านั่นมีอะไรเกี่ยวข้องกับโอสถรุกล้ําวิญญาณ เม็ดยาต้องห้ามนั่น”

 

“นั่นเป็นเพียงหนึ่งในเม็ดยาบ้าคลั่งมากมายที่เธอได้สร้างสรรค์ขึ้นมา ยังมีเม็ดยาที่เลวร้ายยิ่งกว่าที่นั่นที่สามารถทําให้โอสถรุกล้ําวิญญาณนั้นต้องชิดซ้าย ผู้คนเพียงได้แต่คิดสงสัยว่าทําไมเธอ จึงสร้างเม็ดยาเหล่านี้ขึ้นมา” ถังหลิงซีกล่าว

 

จากนั้นเธอก็หันไปมองดูซูหยางและครุ่นคิดในใจ “แม้ว่ามันจะลึกลับยิ่งกว่าที่เขาสามารถเกี้ยวพาราสีเธอผู้ที่ไม่สนใจอะไรเลยนอกไปจากสิ่งที่เกี่ยวข้องกับการปรุงยา ได้อย่างไร”

 

สองสามนาทีให้หลังในการทดสอบรอบสุดท้าย หนึ่งในผู้เข้าร่วมการทดสอบก็พลันร่างสั่นสะท้าน

 

เมื่อซูหยางเห็นเช่นนี้ เขาก็พลันตรงเข้าไปหาชายผู้นั้นและตบหน้าของชายคนนั้นปลุกเขาให้ตื่นขึ้นในทันที

 

“ฮาาา…ฮาา…ฮาาา…. ข้าอยู่ที่ไหนกัน…” ผู้เข้าร่วมการทดสอบนั้นเริ่มหอบหายใจหนักหลังจากที่ตื่นขึ้น

 

“ใจเย็น เจ้ายังคงอยู่ที่หอประชุม” ซูหยางกล่าวกับชายคนนั้น

 

“อ-อะไรกัน ป-เป็นไปไม่ได้ แต่ข้ากําลัง… เป็นเวลาทั้งปี..” ชายคนนั้นมองดูเขาด้วยใบหน้าเป็นกังวล

 

อย่างไรก็ตาม ซูหยางไม่ได้พูดอะไรต่อไปอีก เขาเพียงใช้นิ้วชี้ของเขาซึ่งเปล่งไปด้วยแสงสีทอง จิ้มไปยังหน้าผากของชายคนนั้น

 

สองสามวินาทีให้หลัง สีหน้าของชายคนนั้นก็เปลี่ยนไปเป็นความว่างเปล่า และดวงตาของเขาก็มืดมัวลงราวกับว่าเขานั้นได้สูญเสียจิตใจไป

 

หลังจากนั้นอีกสองสามวินาที แสงก็กลับคืนมายังดวงตาของชายคนนั้น

 

“คือ ข้ากําลังทําอะไรอยู่เมื่อกี้นี้” ชายคนนั้นมองดูไปรอบๆด้วยสีหน้าสับสน

 

“เจ้าได้ล้มเหลวในการทดสอบ เจ้าไปได้แล้ว” ซูหยางกล่าวกับเขา

 

“อะไรกัน นั่นเป็นไปไม่ได้” ชายคนนั้นอุทานออกมาด้วยเสียงตระหนก ราวกับว่าเขานั้นไม่สามารถจําได้ว่าตัวเองเข้าร่วมการทดสอบด้วย