บทที่ 387.2 ฤดูใบไม้ผลิอีกปี

กระบี่จงมา! Sword of Coming

ชุยตงซานนอนไม่หลับ ด้วยความเบื่อหน่ายจึงออกจากโรงเตี๊ยมไปเดินเล่นข้างนอกเงียบๆ

บังเอิญเห็นผู้ฝึกตนอิสระห้าขอบเขตล่างท่าทางยากจนคนหนึ่งกำลังใช้วิชาผีน้อยขโมยเงินชั้นต่ำบังคับให้ภูตผีตัวจิ๋วสิบกว่าตัวไปขโมยเงินเก็บของชาวบ้านครอบครัวหนึ่งมา มองดูแล้วเหมือนมดกำลังย้ายรัง พวกมันจับกลุ่มกันสองตนสามตนร่วมแรงร่วมใจขนเงินเหรียญทองแดงและเศษเงินเม็ด ผู้ฝึกตนนั่งยองอยู่มุมกำแพง ชั่งน้ำหนักเศษเงินสองสามก้อนที่มีค่ามากที่สุดแล้วยิ้มกว้างจนแทบหุบปากไม่ลง

สะสมทีละเล็กทีน้อยจนมากขึ้น ไม่หมิ่นเงินน้อย

ผลคือพอหันหน้ากลับมามองก็เห็นคนหนุ่มชุดขาวผู้หนึ่งนั่งยองอยู่ข้างกายตน นี่มานั่งชมจันทร์เป็นเพื่อนเขาหรือไร?

ผู้ฝึกตนอิสระตกใจสะดุ้งโหยง

ชุยตงซานยิ้มตาหยีพูดว่า “เจ้าทำลงด้วยหรือ? ทำไมถึงไม่ไปขโมยเงินของตระกูลใหญ่ล่ะ?”

ผู้ฝึกตนอิสระกลืนน้ำลาย พูดอย่างกล้าๆ กลัวๆ “เพราะพวกเทพทวารบาลของตระกูลใหญ่รับมือยาก ผีน้อยขนเงินที่ข้าฟูมฟักเลี้ยงดูมาอย่างยากลำบากจะถูกพวกเขาฆ่าตายเสียเปล่าๆ เป็นการค้าที่ขาดทุน”

ชุยตงซานพยักหน้ารับ “ก็จริงนะ”

ผู้ฝึกตนอิสระกลอกตาว่องไว คิดจะหาทางหนี ต้องฆ่าเด็กหนุ่มท่าทางประหลาดผู้นี้ปิดปาก? เพื่อเงินแค่ไม่กี่ตำลึง คุ้มกันแล้วหรือ? อีกอย่างสวรรค์เท่านั้นกระมังที่รู้ได้ว่าใครจะฆ่าใครกันแน่?

ชุยตงซานยื่นสองนิ้วไปคีบผีน้อยขโมยเงินที่ร่างสูงเท่านิ้วคนขึ้นมาหนึ่งตน จากนั้นวางไว้กลางฝ่ามือ ประกบนิ้วทั้งสิบเข้าด้วยกัน ปั้นๆ คลึงๆ อย่างไร้กฎเกณฑ์อยู่พักหนึ่ง ทำเอาผู้ฝึกตนอิสระที่ตบะน้อยนิดมองจนหนังตากระตุก ดีนักนะ นี่ถือว่าแม่ทัพใหญ่ใต้บังคับบัญชาตายไปคนหนึ่งแล้ว มันจะทนรับการนวดคลึงบดบี้จากคนแบบนี้ได้อย่างไร ผีน้อยขโมยเงินที่เขาเลี้ยงมาพวกนี้มีระดับขั้นต่ำยิ่ง ไม่อย่างนั้นแม้แต่ด่านของเทพทวารบาลก็คงไม่ถึงขั้นข้ามผ่านไปไม่ได้

ในขณะที่ผู้ฝึกตนอิสระกำลังเสียใจอย่างสุดแสนนั้นเอง ชุยตงซานก็แบฝ่ามือออก บนร่างของผีน้อยขโมยเงินที่แสยะปากแยกเขี้ยวตนนั้นคล้ายจะมีชุดสีแดงเพิ่มขึ้นมาอีกตัว เขาโยนมันลงบนพื้น ออกคำสั่งว่า “ไป ไปขโมยทองก้อนหนึ่งมาจากบ้านเศรษฐี”

สองมือของเจ้าตัวน้อยกำเป็นหมัด อมลมแก้มป่องวิ่งฉิวออกไปอย่างขยันขันแข็ง

ผ่านไปประมาณหนึ่งก้านธูป มันก็แบกทองก้อนขนาดเท่าเล็บมือมาได้ก้อนหนึ่งจริงๆ

ผู้ฝึกตนอิสระคนนั้นมองตาค้าง พอคืนสติกลับมาก็รีบกุมมือคารวะ “เซียนซือมีวิชาอภินิหารยิ่งใหญ่ ทำให้คนได้เปิดโลกทัศน์แล้ว”

ชุยตงซานลุกขึ้นยืน ร่างทะยานวูบหายไป หลงเหลือเพียงผู้ฝึกตนอิสระที่ตื้นเต้นเป็นกำลัง

เขาไปเยือนศาลบุ๋นบู๊สองแห่งของอำเภอ ชุยตงซานทนรับความพินอบพิเทาของพวกเขาไม่ไหว ชวนคุยสัพเพเหระอยู่ไม่กี่คำก็จากไป

เพราะว่าเบื่อหน่ายอย่างถึงที่สุด ชุยตงซานจึงใช้วิธีแต้มนัยน์ตามังกรกับภาพเทพทวารบาลหลากสีของครอบครัวหนึ่ง ทำให้เทพทวารบาลสองตนสามารถรวบรวมเค้าโครงร่างทองขึ้นมาได้ ห่างจากการเป็นองค์เทพที่แท้จริงอีกประมาณหนึ่งแสนแปดพันลี้ แต่ก็สามารถข่มขู่วัตถุหยินที่ไร้ประโยชน์ที่สุดได้ และสามารถบดบังลมปราณชั่วร้ายได้มากกว่าเดิม จากนั้นก็ไปเยือนครอบครัวเศรษฐีอันดับสองของอำเภอ แงะรูปปั้นสัตว์บนชายคาของพวกเขาทิ้งเล่น

ไร้เป้าหมาย ทำไปตามใจปรารถนา

เซียนดินท่านหนึ่งกลับเบื่อหน่ายได้ถึงขนาดนี้ก็คงมีแค่ชุยตงซานผู้เดียวแล้ว

ค่ำคืนนี้ หลังจากชุยตงซานพาสือโหรวจากไป เฉินผิงอันที่ฝึกท่าฟ้าดินเสร็จแล้วก็เดินออกไปจากห้อง เคาะประตูห้องด้านข้างเบาๆ พูดอย่างฉุนๆ ด้วยรอยยิ้ม “ดึกขนาดนี้แล้วยังไม่นอนอีก”

เผยเฉียนกำลังนั่งอ่านนิยายจอมยุทธ์เล่มใหม่ที่เพิ่งได้มาไม่นานอยู่ใต้แสงตะเกียง พอเฉินผิงอันมาเคาะประตูก็รีบเป่าไฟให้ดับ กระโจนตัวลงบนเตียงนอน แสร้งทำเป็นว่าเพิ่งจะสะดุ้งตื่น “นอนแล้วนะ ทำไมอาจารย์ยังไม่นอนอีก? ต้องให้ข้าไปเปิดประตูไหม?”

เฉินผิงอันยิ้ม ไม่ได้ถือสาคำโกหกเล็กๆ น้อยๆ นี้ เพียงเอ่ยเตือนว่า “ไม่ต้องเปิดประตู หนังสืออะไรก็เลิกอ่านได้แล้ว เดี๋ยวจะเสียสายตา พรุ่งนี้พวกเราไม่ต้องเร่งเดินทางต่อ ค่อยอ่านใหม่ตอนกลางวัน”

เฉินผิงอันหมุนตัวเตรียมจะเดินจากไป นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงยืนพูดอยู่หน้าประตูอีกว่า “พอข้าจากไปแล้ว เจ้าห้ามเอาตะเกียงไปซ่อนไว้ใต้ผ้าห่มแอบอ่านหนังสืออีก”

เผยเฉียนที่อยู่ในห้องอ้าปากกว้าง อาจารย์ร้ายกาจจริงๆ เรื่องนี้ก็เดาได้ด้วยหรือ?

นางได้แต่ตอบไปว่า “ทราบแล้ว”

หลังจากที่เฉินผิงอันเดินออกไป แม้ว่าจะยังพะวงถึงบุญคุณความแค้นและแสงดาบเงากระบี่ในนิยายเล่มนั้น แต่เผยเฉียนก็ยังอดทนข่มกลั้นต่อความล่อลวง ล้มตัวลงนอน เพียงแต่ว่าดวงตายังเบิกกว้าง ไม่รู้สึกง่วงแม้แต่น้อย ผ่านไปนานกว่าจะค่อยๆ ผล็อยหลับไป

วันที่สองพอกินอาหารเช้าเรียบร้อย ชุยตงซานก็ยังคงมาสอนเฉินผิงอันเล่นหมากล้อมอยู่ในห้องของเขา ยังคงพัวพันอยู่กับรูปแบบปลายแหลมเล็กนั้นอยู่เหมือนเดิม

ก่อนหน้านี้หลูป๋ายเซี่ยงมานั่งดูด้วย พอดูแล้วก็เพลิดเพลินจนละสายตาไม่ได้ สุดท้ายระหว่างชั่วครู่สั้นๆ ก่อนจะวางเม็ดหมาก เขากลับลุกขึ้นแล้วก้าวจากไปเร็วๆ ไปเรียกสุยโย่วเปียนให้มาดูด้วยกัน บอกว่ามหัศจรรย์จนบรรยายไม่ถูก สุยโย่วเปียนเคยถูกหลูป๋ายเซี่ยงใช้ปลายแหลมเล็กเปิดฉากบนกระดาน จากนั้นก็เข่นฆ่าสังหารจนนางต้องโยนหมวกเหล็กทิ้งเสื้อเกราะ นางไม่ยอมแพ้ ปล่อยให้หลูป๋ายเซี่ยงใช้รูปแบบนี้ติดกันสามครั้ง ผลคือเล่นก่อนแต่กลับสูญสิ้นทั้งหมด แพ้เละเทะราบคาบ เป็นเหตุให้นางยอมแหกกฎวางหมากมั่วซั่วสะเปะสะปะไปเป็นชุดๆ อย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน แต่ก็ยังไม่อาจกู้คืนสถานการณ์ ดังนั้นตอนที่หลูป๋ายเซี่ยงพูดว่าก่อนหน้านี้ความเข้าใจที่ตัวเองมีต่อปลายแหลมเล็กหนึ่งในใต้หล้ามีแค่แก่นแท้สามสี่ส่วนของมันเท่านั้น สุยโย่วเปียนจึงบังเกิดความสนใจ เลยตามมาดูด้วยว่าชุยตงซานสอนคนอื่นเล่นหมากล้อมอย่างไร แล้วเฉินผิงอันเรียนหมากล้อมจากคนอื่นอย่างไร

ไม่นานจูเหลี่ยนก็มาร่วมวงความครึกครื้นด้วย เว่ยเซี่ยนเดินเข้าห้องมาเป็นคนสุดท้าย

เพียงแต่ว่าไม่นานสุยโย่วเปียนก็หมดอารมณ์จะดู นั่นเป็นเพราะพรสวรรค์ในการเล่นหมากล้อมของเฉินผิงอันธรรมดาเกินไป ต่อให้ชุยตงซานจะสอนคนด้วยวิธีการอันยอดเยี่ยมมหัศจรรย์แค่ไหน แต่มาเจอกับคนหัวทึบอย่างเฉินผิงอันก็ไร้ประโยชน์อยู่ดี

นี่ย่อมทำให้สุยโย่วเปียนที่เชี่ยวชาญกับการเล่นหมากล้อมแล้วอดจะรู้สึกหงุดหงิดและเบื่อหน่ายอย่างเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นนางจึงเดินออกจากห้องไปเงียบๆ ช่วงเวลาระหว่างนี้สุยโย่วเปียนก็อดหันไปมองผู้เฒ่าที่ยืนอยู่ด้านหลังชุยตงซานหลายทีไม่ได้ ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกพิลึกพิลั่น ทำไมรู้สึกว่าเขาทำให้คนสะอิดสะเอียนยิ่งกว่าจูเหลี่ยนเสียอีก…กระเทยเฒ่า? เจ้าเป็นบุรุษกลับไม่กล้าสบตาคนอื่น แถมยังชอบเม้มปาก จีบนิ้วจับชายอาภรณ์ นี่มันหมายความว่าอย่างไร?

หลังจากที่สุยโย่วเปียนออกไป จูเหลี่ยนและเว่ยเซี่ยนก็ทยอยกันเดินออกจากห้อง

การเข่นฆ่าสังหารในนครมังกรเฒ่าครั้งนั้น สนามรบถูกแบ่งแยกห่างกันไกล ดังนั้นคนทั้งสี่ในม้วนภาพวาดจึงไม่เคยเห็นตู้เม่ามาก่อน ส่วนสือโหรวผีงามโครงกระดูกก็อยู่ในยันต์กระดาษเหลืองมาตลอดเวลา พวกเขาจึงไม่เคยพบมาก่อนเช่นกัน ดังนั้นเมื่อคราบร่างเซียนเหรินของตู้เม่าเผยกาย พวกสุยโย่วเปียนที่ถูกปิดหูปิดตาจึงได้แต่คิดว่าเป็นคนนอกที่ไม่รู้ว่าชุยตงซานไปลากออกมาจากมุมไหน

หลังจากกินอาหารเที่ยงแล้ว ชุยตงซานก็เริ่มปิดประตูไม่ออกไปไหน

เช้าตรู่วันถัดมา คนทั้งกลุ่มก็ออกเดินทางกันต่ออีกครั้ง มุ่งหน้าไปเมืองหลวงแคว้นชิงหลวน

วัวสีเหลืองที่เดิมทีเดินทางร่วมอยู่ในกลุ่มคนสะดุดตาเกินไป แต่พอชุยตงซานขึ้นไปขี่บนหลังวัวเหลือง แม้ว่าจะยังคงมีคนให้ความสนใจ แต่คนผ่านทางที่มองเห็นภาพนี้ต่างก็แค่คาดเดาไปว่าเด็กหนุ่มหล่อเหลาผู้นี้น่าจะแค่มีชาติกำเนิดจากตระกูลร่ำรวยที่พาพวกผู้ติดตามออกมาท่องเที่ยวในยุทธภพ แม้จะแปลกประหลาดไปสักหน่อย แต่อายุยังน้อยก็มีบุคลิกสง่างามดั่งนักประพันธ์ผู้มีชื่อเสียงแล้ว

มีชุยตงซานอยู่ด้วย จึงเดินทางกันไปตามอารมณ์ตลอดทาง

คนทั้งสี่ในภาพวาดก็พอจะขบคิดใคร่ครวญความหมายบางอย่างออก หากจะบอกว่าตอนที่เฉินผิงอันเจอกับสหายสองคนอย่างสวีหย่วนเสียและจางซานเฟิง เขาอยู่ในสภาวะอารมณ์ร่าเริงสดใส ไม่เหลือความคร่ำครึของคนแก่เกินวัยอยู่เลย ถ้าอย่างนั้นเมื่อมาเจอกับลูกศิษย์ในต่างถิ่นต่างแดนผู้นี้ เขากลับมีความสบายในระดับหนึ่ง แม้ว่าการอยู่ร่วมกันของอาจารย์และศิษย์ทั้งสองจะไม่นับว่าสอดคล้องกับหลักเกณฑ์ทั่วไปมากนัก แต่ก็ดูเหมือนว่าภาระบนบ่าของเฉินผิงอันได้ลดน้อยลงไปส่วนหนึ่ง อีกทั้งในฐานะอาจารย์ นอกจากเฉินผิงอันจะเรียนวิชาหมากล้อมกับลูกศิษย์แล้ว ยังขอความรู้จากลูกศิษย์ผู้นี้ด้วย

ตลอดทางล้วนเป็นชุยตงซานที่แย่งออกค่าใช้จ่าย ไม่ยอมให้อาจารย์ของตัวเองควักเงินแม้แต่แดงเดียว

ฉวยโอกาสตอนที่เฉินผิงอันกับชุยตงซานพูดคุยกัน คนทั้งสี่ในภาพวาดก็ได้รับผลเก็บเกี่ยวไม่น้อย ความเข้าใจที่มีต่อใต้หล้าไพศาลแห่งนี้จึงยิ่งแจ่มชัดและกว้างไกลมากขึ้น

ยกตัวอย่างเช่นหลูป๋ายเซี่ยงรู้ว่าเมื่ออยู่ในฟ้าดินที่เต็มไปด้วยความอัศจรรย์แห่งนี้ นอกจากจิตใจที่มุ่งมั่นจะเดินไปถึงยอดเขาสูงสุดเพื่อบรรลุมรรคาและขอบเขตปลายทางของวิถีวรยุทธ์แล้ว อันที่จริงยังมีชาวลัทธิขงจื๊อที่ทุ่มเทกับเรื่องความรู้และการฝึกตนอย่างแท้จริงอยู่ด้วย

แล้วก็มีผู้ฝึกลมปราณไม่น้อยของเมธีร้อยสำนักที่ถูกมองว่าเป็นเจินเหรินผู้บำเพ็ญตน ให้ความสำคัญกับระบบของการศึกษา แต่ดูแคลนตบะและศักยภาพของคน

สุยโย่วเปียนได้เห็นคาถาตระกูลเซียนที่ชุยตงซานร่ายออกมาซึ่งเรียกได้ว่าเต็มไปด้วยแสงสีประหลาดพิสดาร รู้ว่าควรจะปรับตัวเข้ากับชีวิตประจำวันไปทีละนิดอย่างไร

เวลาที่รอบกายไร้ผู้คน จูเหลี่ยนเคยขอความรู้จากชุยตงซานอีกสองครั้ง ความคิดของเขานั้นง่ายมาก นั่นคืออยากจะรู้ว่าไอ้หมอนี่ได้ครอบครองสมบัติวิเศษตระกูลเซียนกี่ชิ้นกันแน่

เว่ยเซี่ยนยังคงเป็นคนที่เงียบขรึมพูดน้อยที่สุด มีแต่กับเผยเฉียนที่เขาคุยได้รู้เรื่องที่สุด หนึ่งคนโตหนึ่งเด็ก วันๆ เอาแต่ทำตัวไม่รู้จักเด็กไม่รู้จักผู้ใหญ่

ชุยตงซานยังคงทำเหมือนตอนที่ออกจากเมืองหลวงต้าสุยสมัยก่อน คนทั้งสองจับคู่เดินทางด้วยกัน แต่บางครั้งก็หายตัวไปช่วงระยะเวลาหนึ่ง เฉินผิงอันก็ไม่เคยถามไถ่อยากรู้

ในที่สุด ‘ผู้เฒ่า’ สือโหรวก็ยอมสลัดกลิ่นเครื่องประทินโฉมทิ้ง เวลาเดินก็ไม่ยักย้ายส่ายสะโพกเหมือนสตรีสักเท่าไหร่ ดวงตาไม่มีริ้วประกายน้ำแผ่กระเพื่อม แล้วก็ไม่จีบนิ้วโดยไม่รู้ตัว ในที่สุดก็มีลักษณะคล้ายผู้เฒ่าผมขาวอย่างที่ควรจะเป็นแล้ว

แต่สือโหรวยังคงเป็นคนที่ไม่เป็นที่ชื่นชอบที่สุดในกลุ่ม เกรงว่าสถานะของนางยังเทียบกับวัวเหลืองไม่ได้ด้วยซ้ำ

เผยเฉียนค่อนข้างมุมานะตั้งใจฝึกวิชาวานรขาวสะพายกระบี่และลากดาบ ถึงอย่างไรก็มีกระบวนท่าอยู่แล้ว อีกทั้งยังน่าเกรงขาม ไม่ต้องทนเจ็บปวดกับการถูกดึงเอ็นเคลื่อนกระดูก เมื่อเทียบกับการเดินนิ่งหกก้าวแล้ว นางชอบใช้กระบี่ไม้ไผ่และดาบไม้ไผ่ที่เฉินผิงอันทำให้มาฝึกกระบวนท่าดาบและกระบี่ที่นักพรตหญิงหวงถิงสอนนางมากกว่า เพียงแต่ว่ามีอยู่ครั้งหนึ่งถูกชุยตงซานที่นั่งขี่อยู่บนหลังวัวพูดด้วยน้ำเสียงแปลกแปร่ง ถล่มวิชาสะพายกระบี่ของนางเสียจนยับเยิน แถมเขายังกุมท้องหัวร่องอหงาย ถึงกับกระโดดจากหลังวัวลงมาบนพื้น โจมตีให้เผยเฉียนเงียบงันไปหลายวัน ทุกวันได้แต่กล้าฝึกเดินนิ่งเท่านั้น

คนทั้งกลุ่มเดินทางมาถึงเมืองแห่งหนึ่งที่ใกล้กับเมืองหลวงแคว้นชิงหลวนมากที่สุด

ไม่รู้ว่าชุยตงซานตามหาอย่างไร ทุกคนถึงได้พักแรมอยู่ในโรงเตี๊ยมตระกูลเซียนที่เงียบสงบท่ามกลางความวุ่นวาย

เฉินผิงอันไม่มีพรสวรรค์ในการเล่นหมากล้อมจริงๆ แต่ก็ไม่ได้ทอดทิ้งมันไป แล้วก็ไม่ได้มุ่งมั่นศึกษาจนถ่วงเวลาการฝึกวิชาหมัดและวิชากระบี่ ทุกวันจะเรียนหมากล้อมกับชุยตงซานแค่ประมาณหนึ่งชั่วยามเท่านั้น

เมื่อมาถึงโรงเตี๊ยมตระกูลเซียนที่ชื่อว่าสวนร้อยบุปผาแห่งนี้ ว่ากันว่าเถ้าแก่คือผู้ฝึกตนขอบเขตชมมหาสมุทรที่มีโฉมหน้าเป็นบุรุษวัยกลางคน เพียงแต่ว่าไม่ได้มาปรากฏตัวต่อหน้าพวกเฉินผิงอัน อาณาบริเวณของโรงเตี๊ยมค่อนข้างใหญ่ อีกทั้งยังปลูกต้นไม้ดอกไม้มากมายละลานตา พาให้จิตใจคนปลอดโปร่ง เนื่องจากงานโต้วาทีพุทธเต๋าจะจัดขึ้นในเมืองหลวงที่ห่างไปไม่ไกล โรงเตี๊ยมตระกูลเซียนในเมืองแห่งนี้จึงเหลือห้องว่างอีกไม่มาก เผยเฉียนได้นอนร่วมห้องกับสุยโย่วเปียนอีกครั้ง หลูป๋ายเซี่ยง จูเหลี่ยนและเว่ยเซี่ยนสามคนนอนเบียดกันในหนึ่งห้อง ชุยตงซานนอนกับสือโหรว มีเพียงเฉินผิงอันที่ได้นอนคนเดียว

อาศัยอยู่ที่นี่สิ้นเปลืองเงินทองอย่างมาก เพียงแต่ว่าก็คุ้มค่ากับราคาที่ต้องจ่ายไป เพราะมีผลประโยชน์หลายอย่างที่ต่อให้มีทองพันชั่งก็ยากจะหาซื้อได้ ยกตัวอย่างเช่นเรื่องวงในที่น่าสนใจบนภูเขาเกี่ยวกับงานโต้วาทีพุทธเต๋าซึ่งลูกจ้างร้านจะนำมาบอกแก่แขกในโรงเตี๊ยมทุกวันคล้ายคลึงกับการส่งรายงานในจวนขุนนาง นอกจากนี้ทุกห้องจะยังได้รับวัตถุวิเศษชิ้นเล็กๆ ที่มีประโยชน์มากแต่ราคาต่ำ แม้จะเรียกว่าสมบัติวิเศษของตระกูลเซียน แต่แท้จริงแล้วก็แค่ทำมาจากเศษวัสดุที่ใช้ทำของวิเศษเท่านั้น มูลค่ารวมกันแล้วประมาณสองสามเหรียญเงินเกล็ดหิมะ จึงปล่อยให้แขกที่เข้าพักเอากลับไปได้ตามใจชอบ

นี่ทำให้เผยเฉียนอารมณ์ดีอย่างยิ่ง

นางพูดจาหวานหูกับสุยโย่วเปียนจนได้ของชิ้นเล็กชิ้นน้อยในห้องของพวกนางไปแล้วก็วิ่งไปหาเหล่าเว่ยกับเสี่ยวป๋าย เชื้อเชิญให้พวกเขากินเมล็ดแตงกับผลไม้แล้วก็ยังทำอิดๆ ออดๆ ไม่ยอมออกจากห้องเสียที สุดท้ายเป็นจูเหลี่ยนที่ทนรำคาญไม่ไหวจึงบอกให้เผยเฉียนเอาของสามชิ้นนั้นไปแล้วรีบออกไปซะ สุดท้ายเมื่อรวมกับของชิ้นเล็กอีกสี่ชิ้นในห้องของเฉินผิงอัน เผยเฉียนจึงมีวัตถุวิเศษระดับปลายแถวเพิ่มมาทีเดียวถึงสิบชิ้น เซียนซือห้าขอบเขตกลางดูแคลนตัวถ่วงที่ถูกตาแต่ไร้ผลประโยชน์เหล่านี้ เซียนซือห้าขอบเขตล่างกลับไม่มีปัญญาจะเข้าพักที่นี่ได้ ผลกลับทำให้เผยเฉียน ‘กลายเป็นเศรษฐีเพียงชั่วข้ามคืน’ กล่องเก็บสมบัติใบนั้นไม่มี ‘ที่พักอาศัย’ ให้กับของมากมายขนาดนี้ นางจึงได้แต่เก็บไว้ในวัตถุจื่อชื่อของเฉินผิงอันชั่วคราวก่อน

—–