บทที่ 387.3 ฤดูใบไม้ผลิอีกปี

กระบี่จงมา! Sword of Coming

สถานที่ที่เซียนซือพักแรมย่อมต้องเงียบสงบและห่างไกล อีกทั้งเมื่อสร้างสัมพันธ์อันดีกับทางการได้แล้วก็ยังสามารถสร้างค่ายกลที่เก็บรวบรวมน้ำและลมเอาไว้ ปราณวิญญาณจึงเหนือกว่าพื้นที่ทั่วไปในหมู่ชาวบ้านร้านตลาด

อีกทั้งเทพทวารบาลหลากสีสององค์ที่แปะไว้บนหน้าประตูใหญ่ของโรงเตี๊ยมแห่งนี้ก็เป็นยันต์เทพทวารบาลของแท้แน่นอน หากมีภูตผีหรือสิ่งเสนียดจัญไรเข้าใกล้ มัลละเทพที่สวมเสื้อเกราะสีทองก็จะเดินออกมาสยบกำราบกลิ่นอายชั่วร้ายแล้วกลืนกินเหล่าภูตผี

นอกจากนี้ทุกวันบนโต๊ะจะยังมีผลไม้ตระกูลเซียนวางไว้จานเล็กๆ เป็นของดีที่ผู้ฝึกตนสำนักกสิกรรมคนหนึ่งของสวนร้อยบุปผาถนัดที่สุด แล้วก็เป็นป้ายทองเรียกแขกของโรงเตี๊ยมบนภูเขาที่สร้างอยู่ล่างภูเขาแห่งนี้

ตอนที่เผยเฉียนกำลังคัดตัวอักษร มีหลายครั้งที่นางวางพู่กันบิดข้อมือก็จะเห็นว่าเฉินผิงอันนั่งเหม่ออยู่ตรงหน้าพุทราและสาลี่ที่อยู่ในจานนั้น

นางคิดแล้วก็ไม่เข้าใจ

รู้สึกว่าดูเหมือนอาจารย์จะนึกถึงเรื่องที่ไม่สบายใจอะไรบางอย่าง

พอนางคัดตัวอักษรเสร็จก็พบว่าเฉินผิงอันยังนั่งอยู่ที่เดิม เพียงแต่หันหน้าออกไปมองนอกหน้าต่าง

เผยเฉียนค่อนข้างเป็นห่วง จึงเอ่ยหยอกล้อเขา “อาจารย์ ท่านเป็นอะไรไป? คิดถึงอาจารย์แม่หรือ?”

เฉินผิงอันคืนสติกลับมา ยิ้มบางๆ ตอบว่า “อยากคัดเพิ่มอีกห้าร้อยตัวรึ?”

เผยเฉียนหน้าม่อย

เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน ตบศีรษะเผยเฉียนเบาๆ แล้วเริ่มเดินนิ่งหกก้าววนไปรอบโต๊ะ

เผยเฉียนยิ่งสงสัยใคร่รู้ ทุกวันนี้เฉินผิงอันมักจะฝึกท่าฟ้าดินซึ่งรวมทั้งสามท่าไว้ด้วยกันมากกว่า ไม่ค่อยจะฝึกท่าหมัดที่ง่ายที่สุดและเป็นขั้นเริ่มต้นที่สุดนี้เดี่ยวๆ เท่าไหร่แล้ว

เผยเฉียนเก็บกระดาษและพู่กัน ฟุบตัวลงบนโต๊ะ ถามชวนคุย “อาจารย์ ท่านไม่กลัวผีมาตั้งแต่เลยหรือ?”

เฉินผิงอันเดินนิ่งช้าๆ พลางตอบคำถามไปด้วย “ไม่ค่อยเหมือนกับเจ้าเท่าไหร่ ข้าไม่กลัวผีมาตั้งแต่เด็กแล้ว กลับกันยังหวังให้บนโลกมีพวกภูติผีอยู่จริงๆ จึงมักจะไปที่สุสานเทพเซียนนอกเมืองเล็กของบ้านเกิดคนเดียวเป็นประจำ พอโตขึ้นมาหน่อยก็ติดตามคนอื่นไปตัดไม้ในภูเขาเอามาทำฟืน หรือไม่ก็ไปหาดินที่เหมาะสำหรับนำมาเผาเครื่องปั้น ก็ไม่เคยกลัวมาก่อน”

เผยเฉียนร้องว้าว “อาจารย์ช่างมีพรสวรรค์เลิศล้ำจริงๆ”

เฉินผิงอันเพียงแค่ยิ้มรับ ไม่ได้อธิบายต้นสายปลายเหตุ

ตอนเที่ยงของวันนี้ ลูกจ้างในโรงเตี๊ยมก็นำข่าวตระกูลเซียนอีกข่าวหนึ่งมาบอกให้ เนื้อหาค่อนข้างสะเปะสะปะ มีเรื่องหนึ่งที่ทำให้เฉินผิงอันสนใจที่สุด พอเรียนหมากล้อมกับชุยตงซานเสร็จแล้ว เขาจึงถามความคิดเห็นจากชุยตงซาน

ระหว่างทางที่ผู้บัญชาการใหญ่แคว้นชิงหลวนนำทหารเดินทางขึ้นเหนือได้ผ่านเมืองแห่งหนึ่ง เพราะเรื่องเล็กเรื่องหนึ่งจึงลากตัวขุนนางสองคนที่บกพร่องต่อหน้าที่ออกมาได้ คนหนึ่งคือทหารฝ่ายบู๊ที่ทุจริตและละเมิดกฎหมาย รับสินบนหลายแสนตำลึงเงิน อีกคนหนึ่งเล่นสำนวนบิดเบือนข้อกฎหมายเพื่อยักยอกเงินทอง ผลกลับกลายเป็นว่าฝ่ายแรกแค่ถูกลดขั้น ฝ่ายหลังกลับฆ่าก่อนแล้วค่อยรายงานทีหลัง

ชุยตงซานหลุดปากตอบโดยที่แทบจะไม่ต้องคิดพิจารณา “นี่ก็คือวิธีการจัดการเรื่องราวของสำนักนิติธรรม สำหรับฝ่ายหลัง คนทั่วไปมักจะมองว่าความผิดเบากว่าฝ่ายแรก แต่สำนักนิติธรรมกลับจะเพิ่มโทษให้หนักขึ้น”

ชุยตงซานยิ้มถาม “อาจารย์นึกถึงจุดที่เชื่อมโยงกันของเรื่องราวนี้ออกหรือไม่?”

เฉินผิงอันตั้งใจใคร่ครวญแล้วก็ทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจัง “ร้ายกาจจริงๆ”

ชุยตงซานพูดชวนคุย “นอกเหนือจากสามลัทธิที่สามารถตั้งตระหง่านมาเป็นพันปีโดยไม่ล้มมาจนถึงทุกวันนี้ เมธีร้อยสำนักต่างก็มีรากฐานในการหยัดยืนและเอกลักษณ์เฉพาะตัวเป็นของตัวเอง ดังนั้นจึงมีคนผู้หนึ่งเคยกล่าวไว้นานแล้วว่า ‘หนึ่งชีวิตของคนสามารถมองเห็นขอบเขต แต่ความรู้นั้นไร้ขอบเขต ใช้ชีวิตที่มีขอบเขตไปไล่ตามแสวงหาความรู้ที่ไร้ขอบเขต อันตรายย่อมใกล้เข้ามา’ คนธรรมดาชอบครึ่งประโยคแรก ผู้ฝึกตนกลับรู้สึกว่าความมหัศจรรย์อยู่ที่ครึ่งประโยคหลัง จะว่าไปแล้ว ความรู้ของสามลัทธิร้อยสำนัก หากศึกษาแค่อย่างเดียว เกรงว่าผู้ฝึกตนใช้เวลาทั้งชีวิตก็ยังไม่กล้าพูดว่าเดินไปถึงปลายทางของความรู้ แค่ต้องดูที่ว่าจะคัดเลือกอย่างไร เลือกมาแล้ว มีความรู้กี่ส่วนที่กลายมาเป็นความสามารถของตัวเองอย่างแท้จริง แล้วส่วนที่ละทิ้งไปเล่า จะกลายเป็นว่าหยิบเมล็ดงาทิ้งเมล็ดแตงหรือไม่”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ

ชุยตงซานหยิบสาลี่ลูกหนึ่งขึ้นมากิน เสียงพูดจึงอู้อี้คลุมเครือ “เพียงแต่ว่าความรู้ก็คือความรู้ การประพฤติตัวก็คือการประพฤติตัว มีความสัมพันธ์กัน แต่ไม่ใช่ความสัมพันธ์ที่ตายตัว ดังนั้นถึงมีคำกล่าวที่ว่าโลกนี้ซับซ้อนอย่างไรเล่า คนคนหนึ่งมีชีวิตอยู่อย่างไร กับเล่าเรียนตำราอะไรบ้าง เรียนไปแล้วมีประโยชน์หรือไม่ ล้วนเป็นผลบุญผลกรรมของแต่ละคน คนโง่บนโลกมีมากมายเกินไป พวกเขาต่างก็ไม่รู้ว่าการเรียนหนังสือคือเรื่องสำคัญอันดับหนึ่งที่ทำให้พวกเราได้รู้จักโลกใบนี้มากขึ้น ทำลายความหวังดีของเหล่าอริยะปราชญ์ของสามลัทธิร้อยเมธี อริยะถ่ายทอดความรู้ ตำราคัมภีร์แต่ละเล่มก็คล้ายกับโคมไฟแต่ละดวงที่แขวนไว้ยามราตรี เส้นทางแตกต่าง โคมไฟมีเล็กบ้างใหญ่บ้าง มีสลัวรางมีสวางจ้า เสียดายก็แต่คนบนโลกหูตามืดบอดกันไปเอง”

สำหรับเรื่องนี้เฉินผิงอันไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธ

เดิมทีชุยตงซานก็แค่หาเรื่องชวนคุยอยู่แล้วจึงเปลี่ยนหัวข้อไปพูดถึงเรื่องประสบการณ์อันรุ่งโรจน์ของเป่าผิงน้อย

บอกว่าเมื่อปลายปีที่แล้ว เจ้าเด็กทึ่มหลี่ไหวทะเลาะกับเพื่อนร่วมห้อง ตำราเล่มหนึ่งที่ทางสำนักศึกษาเพิ่งแจกให้ถูกเพื่อนร่วมห้องเอาไป บอกว่าเป็นของเขา หลี่ไหวหาหลักฐานมาไม่ได้ ผลคือหลี่เป่าผิงผ่านทางมาพอดีจึงทำหน้าที่ตัดสินคดีเสียเลย นางใช้วิธีการนำตำราเล่มนั้นมาแล้วบอกกับพวกหลี่ไหวสองคนว่า ถึงอย่างไรพูดกันไปก็ไม่เข้าใจ ถ้าอย่างนั้นก็ฉีกแบ่งเป็นสองส่วนแล้วเอาไปกันคนละครึ่ง หลี่ไหวร้อนใจตาแดงก่ำ แต่เด็กอีกคนกลับเห็นด้วยอย่างอารมณ์ดี ดังนั้นหลี่เป่าผิงจึงโยนตำราเล่มนั้นให้หลี่ไหวแล้วซ้อมเด็กอีกคนอย่างแรง จนกระทั่งอาจารย์ท่านหนึ่งที่แอบมองอยู่ไกลๆ หัวเราะร่าเสียงดัง เด็กคนนั้นไม่รู้ว่าปัญหาเกิดขึ้นที่ตรงไหนจึงร้องไห้ไปฟ้องอาจารย์ผู้เฒ่า ผลกลับกลายเป็นว่าถูกตีอีกรอบ

เฉินผิงอันฟังจบก็ยิ้มอย่างเบิกบานใจ

เผยเฉียนที่นั่งฟังอยู่ด้วยกันทอดถอนใจ “เจ้าคนขโมยหนังสือเล่มนั้นก็โง่เกินไปหน่อยแล้ว เฮ้อ ใต้หล้านี้มีคนโง่เยอะจริงๆ ด้วย ช่วยไม่ได้เลย”

เฉินผิงอันเขกมะเหงกใส่นาง “ไม่ใช่เรื่องโง่หรือไม่โง่ แต่การขโมยหนังสือก็ผิดมาตั้งแต่แรกแล้ว ขโมยหนังสือแล้วฉลาดจนใครจับพิรุธไม่ได้ ก็ยิ่งไม่ถูกต้อง”

เผยเฉียนกล่าวอย่างน้อยใจ “ข้าไม่ได้บอกสักหน่อยว่าขโมยหนังสือเป็นเรื่องถูก”

ชุยตงซานยิ้มกล่าว “คนที่ทั้งโง่และเลวบนโลกนี้ก็มีไม่น้อยเหมือนกัน คนจำพวกนี้ ความรู้ลัทธิขงจื๊อไม่อาจนำมาสั่งสอนได้”

เผยเฉียนเห็นด้วยอย่างยิ่ง นางพยักหน้ารับ “สำนักนิติธรรมที่พวกท่านเพิ่งพูดกันเมื่อครู่นี้ดีมาก ใช้รับมือกับคนโง่ รู้สึกว่าได้ผลอย่างยิ่ง”

กล่าวมาถึงตรงนี้ เผยเฉียนก็รีบหุบปากฉับด้วยกลัวว่าเฉินผิงอันจะโกรธ

เฉินผิงอันกลับยิ้ม “ตอนนี้เจ้าคิดอย่างนี้ก็ไม่ผิด แต่ก็ยังต้องอ่านหนังสือให้มากจึงจะได้ อย่าได้รู้สึกว่าตอนนี้ก็ได้คำตอบที่ถูกต้องแล้ว”

เผยเฉียนคิดแล้วก็ตอบว่า “ถ้าอย่างนั้นลัทธิขงจื๊อก็คงจะดีกว่ากระมัง”

ตอนนี้นางคัดตำราลัทธิขงจื๊อเล่มนั้นเล่มเดียวก็เหนื่อยมากพอแล้ว หากยังมีตำราของสำนักนิติธรรมเพิ่มมาอีกหนึ่งเล่ม จะไม่เท่ากับว่าหาเรื่องใส่ตัวหรอกหรือ?

ชุยตงซานยกนิ้วโป้งให้ “ไม่เสียแรงที่จูเหลี่ยนชมว่ามีความหยิ่งในศักดิ์ศรี”

เผยเฉียนแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน

ชุยตงซานยิ้มถาม “เผยเฉียน ความสัมพันธ์ของเจ้ากับเว่ยเซี่ยนไม่เลวเลยนี่?”

เผยเฉียนเกิดใจระแวดระวัง แต่ก็ยังยิ้มตาหยีตอบว่า “ก็ธรรมดาๆ”

ชุยตงซานร้องโอ้โห “ขับเรือตามกระแสลม ฉลาดมาก”

เผยเฉียนเหลือกตามองบน

พออยู่กับอาจารย์กลับเอ่ยคำประจบสอพลอคำแล้วคำเล่า แต่พอมาเจอกับนางกลับเป็นปากสุนัขที่ไม่งอกงาช้าง ไม่มีคำพูดน่าฟังสักคำ ไอ้หมอนี่ช่างน่ารังเกียจจริงๆ

วันใดเจ้าคนแซ่ชุยผู้นี้ทำให้อาจารย์โมโห แล้วนางที่เป็นลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขา เวลานั้นคงฝึกวิชากระบี่และวิชาดาบล้ำโลกได้สำเร็จแล้ว นางจะทำแบบที่บอกไว้ในนิทานจอมยุทธ์ เก็บกวาดทำความสะอาดสำนัก!

ชุยตงซานเหมือนเป็นพยาธิในท้องเผยเฉียน เขาหัวเราะคิกคัก “ทำไม อาศัยวิชากระบี่วิชากระดาบชั้นต่ำนั่นของเจ้า ก็คิดว่าวันใดในอนาคตจะหาโอกาสมางัดข้อกับข้างั้นหรือ?”

เผยเฉียนตีหน้ามึน “เจ้าพูดอะไรน่ะ?”

ชุยตงซานหยิบพุทราลูกหนึ่งออกมาจากจานใบเล็ก ขว้างใส่หน้าผากเผยเฉียนเบาๆ “นังหนูน้อย คิดจะสู้กับข้างั้นรึ?”

เผยเฉียนยื่นมือมารับพุทราที่ร่วงลง แสร้งทำท่าว่าจะขว้างกลับไป ชุยตงซานนิ่งเฉยไม่สะทกสะท้าน เผยเฉียนแสร้งทำอยู่อีกหลายที ชุยตงซานยังคงยิ้มเฉย เผยเฉียนคิดว่าตนน่าจะขว้างไม่โดนเจ้าหมอนี่ แต่หากทำได้สำเร็จจริงๆ สุดท้ายนางก็คงต้องเสียเปรียบอยู่ดี จึงยัดพุทราใส่ปาก ถลึงตาดุดันใส่เขาแทน

ชุยตงซานพลันพูดขึ้นอย่างแตกตื่น “แย่แล้ว พุทราลูกนี้คือลูกหลานของภูตพุทราสวนร้อยบุปผา ผู้ฝึกลมปราณอย่างพวกเราไม่กลัวว่าภูตผีจะมาตอแย แต่เด็กน้อยอย่างเจ้าเผยเฉียน เจ้าหมอนั่นต้องคิดว่าเป็นมะพลับนิ่มที่รังแกง่ายแน่นอน ดังนั้นก่อนที่เจ้าจะนอนจะต้องตรวจดูประตูหน้าต่างให้ดี ไม่อย่างนั้นกลางดึกอาจจะมีกิ่งไม้มากมายไต่คลานเข้ามาในห้อง น่ากลัวเกินไปแล้ว…”

ระหว่างที่พูด ชุยตงซานยังแกล้งบิดแขนพร้อมทำเสียงประกอบเลียนแบบให้ดูว่าภูตต้นไม้แอบแฝงเข้าไปในห้องทำร้ายคนอย่างไร

ทำเอาเผยเฉียนตกใจจนรีบหยิบยันต์ที่รักที่สุดแผ่นนั้นออกมาแปะลงบนหน้าผากหนักๆ จากนั้นยกสองแขนขึ้นกอดอก

ชุยตงซานถอนหายใจหนึ่งที “ไม่ได้หรอก ยันต์แผ่นนี้คือยันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจ พวกต้นไม้ที่กลายมาเป็นภูตไม่กลัวยันต์ประเภทนี้หรอก”

เผยเฉียนหยิบยันต์ปราณหยางส่องไฟที่เฉินผิงอันยกให้นางในตอนหลังออกมาอีก แล้วก็แปะไว้บนหน้าผาก

ชุยตงซานใช้หมัดทุบฝ่ามือ พูดอย่างเป็นกังวล “ไม่นะ ยันต์แผ่นนี้คือยันต์นำทาง ไม่สามารถต้านทานภูตผีปีศาจได้สักหน่อย ไม่แน่ว่ากลับจะยิ่งดึงดูดความสนใจของภูตต้นไม้ตัวอื่นๆ มา แล้วรู้สึกว่าเจ้าท้าทายพวกมันก็ได้นะ ถึงเวลานั้นภูตดอกไม้ภูตต้นไม้ต่างพากันติดตามภูตต้นพุทรามาเป็นแขกที่ห้องเจ้า ยืนออกันข้างเตียงเจ้า ใต้เตียงเจ้าก็มี”

เผยเฉียนเม้มปากยู่ใบหน้าเล็กๆ สีดำราวกับถ่าน น้ำตาเริ่มมาคลอในดวงตา

เฉินผิงอันตบศีรษะชุยตงซานหนึ่งที ด่ายิ้มๆ “เลิกแกล้งขู่เผยเฉียนได้แล้ว”

ชุยตงซานร้องอ้อหนึ่งที จากนั้นก็ใช้มือหนึ่งกุมท้อง ยื่นนิ้วของมืออีกข้างไปยังเผยเฉียนที่กระจ่างแจ้งในบัดดล “ฮ่าๆ เจ้าโง่น้อย!”

เผยเฉียนอับอายจนพานเป็นความโกรธ เตรียมจะไปหยิบไม้เท้าเดินป่าในห้องด้านข้างมา ถึงอย่างไรตอนนี้นางก็รู้สึกว่าวิชากระบี่มารคลั่งที่ตัวเองสร้างสรรค์ขึ้นก็ยิ่งมีอานุภาพมากกว่าเดิมแล้ว นางพร้อมจะสู้ตายกับเขา!

ชุยตงซานเห็นท่าไม่ดีก็เผ่นหนีว่องไวเหมือนใต้รองเท้าทาด้วยน้ำมัน

พอชุยตงซานหนีไปแล้ว เผยเฉียนก็หันมายิ้มให้เฉินผิงอัน “อาจารย์ เมื่อครู่ข้าแกล้งกลัวไปอย่างนั้นแหละ ต่อให้ไม่มียันต์สองแผ่นนี้ ตอนกลางคืนก่อนนอนข้าก็ยังท่องตำราอริยะปราชญ์ สิ่งชั่วร้ายใดๆ ก็ไม่อาจรุกราน ภูตผีก็ไม่ย่างกรายเข้าใกล้ ใช่ไหม?”

เฉินผิงอันมองเจ้าตัวน้อยที่หน้าผากยังแปะยันต์อยู่สองแผ่นก็กลั้นยิ้มแล้วพยักหน้ารับ “อาจจะกระมัง”

เผยเฉียนตื่นตระหนก “แค่ ‘อาจจะ’ หรือ?”

เฉินผิงอันยิ้ม “ที่นี่คือโรงเตี๊ยมตระกูลเซียน ไหนเลยจะมีภูตผีกล้าทำร้ายแขกที่มาเข้าพัก”

เผยเฉียนพูดอย่างน่าสงสาร “แล้วถ้ามีล่ะ?”

เฉินผิงอันงันไป ก่อนจะลูบศีรษะของนาง “วางใจเถอะ ข้าก็อยู่ห้องติดกับเจ้าไม่ใช่หรือ จะกลัวอะไร?”

เผยเฉียนตาเป็นประกาย รีบปลดยันต์เก็บเข้าไปในชายแขนเสื้อ วิ่งไปที่ริมหน้าต่างแล้วพร่ำพูดกับสวนดอกไม้ หนีไม่พ้นคำพูดไร้เดียงสาทำนองว่าอาจารย์ของข้าคือเฉินผิงอัน พวกเราเป็นน้ำบ่อไม่ยุ่งกับน้ำคลอง ฯลฯ

—–