ข้าจะรับผิดชอบเอง

 

 

 

 

เสิ่นเวยกลับไปถึงจวนโหว ข่าวที่นางได้รับบาดเจ็บก็แพร่งพรายออกไปพร้อมกัน คนที่มาเยี่ยมนางถึงเรือนเฟิงฮวาคนแรกก็คือป้าสะใภ้ใหญ่ ฮูหยินสวี่ 

 

 

“เวยเจี่ยเอ๋อร์ เหตุใดถึงได้รับบาดเจ็บสาหัสเพียงนี้ น่าสงสารจริงๆ ดูสิใบหน้าเล็กๆ ขาวซีดหมดแล้ว ต้องพักฟื้นให้ดี ต้องการอะไรก็บอกป้าได้ตรงๆ ไม่ต้องเกรงใจ” ฮูหยินสวี่ลูบหน้าของเสิ่นเวยด้วยความอ่อนโยน สีหน้าสงสาร 

 

 

เสิ่นเวยกล่าวอย่างหยอกล้อ “รู้ว่าท่านป้าสะใภ้ใหญ่รักข้า หลานไม่เกรงใจแน่นอน” พูดจบยังแลบลิ้น ท่าทางทะเล้นอย่างยิ่ง 

 

 

ทว่าฮูหยินสวี่กลับสบายใจอย่างมาก “ต้องอย่างนี้ เป็นครอบครัวสายเลือดเดียวกัน เกรงใจทำไม ข้าน่ะ ชอบความปราดเปรียวส่วนนี้ของเวยเจี่ยเอ๋อร์ที่สุดเลย” 

 

 

พูดไปพูดมา ตนก็ยิ้มออกแล้ว นึกถึงคำพูดที่สามีบอกนาง กล่าว “ลุงใหญ่ของเจ้าบอกว่าเจ้าเจอมือสังหารเข้าหรือ ข้าได้ยินแล้วตกใจแทบตาย ไม่ได้ไปที่หมู่บ้านหรอกหรือ เหตุใดถึงเจอมือสังหารเข้าได้” 

 

 

เสิ่นเวเองก็มีท่าทางหวาดกลัวอย่างยิ่ง “ใครว่าไม่ใช่เล่า หลานไปเรียนขี่ม้าที่หมู่บ้านกับลูกผู้น้อง จู่ๆ ก็มีคนปิดหน้าสวมชุดดำในมือถืออาวุธหนึ่งกลุ่มวิ่งออกมาจากป่า ล้อมพวกเราแล้วลงมือ หากไม่ใช่ญาติผู้พี่กับอาจารย์โอวหยาง รวมถึงเถาฮวาเยวี่ยกุ้ยและสาวใช้คนอื่นๆ ปกป้องอย่างสุดชีวิต หลานก็คงจะกลับมาไม่ได้แล้ว ท่านป้าสะใภ้ใหญ่ ครั้งนี้ข้ากลัวแทบตาย คนเลวเหล่านั้นน่ากลัวจริงๆ” ครอบครัวท่านตาเองก็ไปที่หมู่บ้าน นี่คือเหตุการณ์ที่คนจำนวนมากรู้เห็น เสิ่นเวยเองก็ไม่อยากปิดบัง อีกทั้งนั่นก็เป็นตระกูลฝั่งมารดาตน ไม่ใช่คนที่ไปพบไม่ได้ 

 

 

เสิ่นเวยพูดไปพลางก็ยังตัวสั่น ในดวงตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ดูท่าแล้วจะกลัวแทบตายจริงๆ 

 

 

“เวยเจี่ยเอ๋อร์ไม่ต้องกลัว” ฮูหยินสวี่กอดเสิ่นเวยไว้ในอ้อมอกแล้วลูบเบาๆ “ไม่ต้องกลัวๆ กลับจวนแล้ว ขุนนางเหล่านั้นในราชสำนักมัวทำอะไร กลางวันแสกๆ ยังมีคนชั่วปรากฏตัวได้ ทั้งยังอยู่ใกล้เมืองหลวงถึงเพียงนี้ ไม่กลัวจักรพรรดิทราบแล้วลงโทษหรืออย่างไร” 

 

 

ป้าสะใภ้ใหญ่โมโหเดือดดาล ในใจคิดว่าสามีจะต้องคิดมากไปแล้ว แม้ว่าเวยเจี่ยเอ๋อร์จะเก่งกาจแต่ก็เป็นเพียงแค่เด็กผู้หญิงอายุสิบกว่าปี ประเดี๋ยวก็เอ่ยว่าจะต่อยตีจสังหารคน ฝึกท่วงท่าสวยงามแต่ใช้งานไม่ได้จริง เมื่อเจอคนชั่วเข้าจริงๆ ก็แทบเอาชีวิตไม่รอดมิใช่หรือ 

 

 

ป้าสะใภ้ใหญ่พูดคุยเป็นเพื่อนนางพักหนึ่ง ทิ้งยาและยาบำรุงจำนวนมากไว้ให้จากนั้นก็กลับไป 

 

 

เหล่าไท่จวินกับป้าสะใภ้รองไม่มา ต่างก็ส่งสาวใช้ใหญ่ข้างกายมาแทน พี่สาวน้องสาวในจวนก็มาเยี่ยมนางหมดแล้ว เพียงแต่ในใจจะคิดอย่างไรก็มีเพียงพวกนางเองที่รู้ดี 

 

 

สีหน้ายินดีปรีดาบนความโชคร้ายของผู้อื่นทั้งใบนั้นของเสิ่นเวย คิดว่านางตาบอดมองไม่ออกหรือ เสิ่นอิงก็พูดจาชวนให้คนสำลักเช่นเดิม ‘ฟังว่าเจ้าเกือบตายแล้ว ไม่ใช่ว่าเจ้าเก่งนักหรือ เหตุใดถึงไม่ระวังเลยเล่า’ 

 

 

ดูสิ เห็นๆ อยู่ว่าเป็นคำพูดห่วงใย แต่ออกมาจากปากนางแล้วสามารถทำให้คนโกรธจนเป็นลมได้ เสิ่นเวยเป็นกังวลแทนว่าที่สามีของพี่สามนางอย่างยิ่ง ไม่รู้เหมือนกันว่าความสามารถในการต้านทานของคนผู้นั้นเป็นอย่างไร จะรับวาจาร้ายกาจของพี่สามไหวหรือไม่ 

 

 

นายท่านสาม เสิ่นหงเซวียนเองก็มาเยี่ยมรอบหนึ่ง นั่งลงดื่มชาครึ่งวันไม่พูดแม้แต่ประโยคเดียว ท้ายที่สุดดื่มชาจนพอแล้วก็ทิ้งท้ายไว้หนึ่งประโยค ‘รักษาตัวดีๆ’ จากนั้นก็เดินออกไป 

 

 

คนที่ทำให้นางปวดหัวที่สุดก็คือเสิ่นเจวี๋ยน้องชายของนาง เด็กคนนั้นปิดปากสนิทต่อหน้านาง เห็นบาดแผลบนร่างนางดวงตาก็แดงก่ำ ทว่ากลับไปแล้วกลับฝึกยุทธ์ราวกับบ้าคลั่ง ทำตัวเองฟกช้ำไปทั่วทั้งตัว 

 

 

เสิ่นเวยรู้ว่าเด็กโง่คนนั้นจะต้องโทษว่าเรื่องนี้เป็นเพราะตน คิดว่าตนไม่สามารถปกป้องพี่สาวได้ เจ้าว่าเด็กโง่ผู้นี้เป็นกังวลเช่นนี้ได้อย่างไร ตอนที่ไม่รู้ประสาก็ทำให้โกรธจนคันไม้คันมือ ตอนนี้รู้ประสาแล้ว ก็ยังคงทำให้โมโหจนคันไม้คันมือเช่นเดิม 

 

 

จะฝึกก็ฝึกไปเถอะ เด็กผู้ชายน่ะ กำลังวังชาเต็มเปี่ยม หากไม่ระบายออกมาอัดอั้นแทบตายแล้วจะทำอย่างไร 

 

 

เรื่องการลอบสังหารครั้งนี้เสิ่นเวยถกเถียงกับมันสมองของนางรอบหนึ่ง ผลสรุป อืม ยังคงไม่มีผลสรุป แต่ว่าการเตรียมป้องกันของเรือนเฟิงฮวากลับเข้มงวดขึ้นมาก 

 

 

ส่วนความเห็นและการจัดการที่ในจวนมีต่อเรื่องนี้ เสิ่นเวยไม่ได้ถาม ท่านลุงใหญ่มาบอกนางเอง 

 

 

ช่วงเวลาพักฟื้นสงบสุขแต่กลับน่าเบื่อ เสิ่นเวยเกียจคร้าน แต่เกียจคร้านกับต้องนอนอยู่บนเตียงทั้งวันเป็นคนละเรื่องกัน เสิ่นเวยรู้สึกว่าตนกลายเป็นศพแข็งทื่อแล้ว ทุกครั้งที่นางอยากแอบลงจากเตียงไปทำอะไร ก็จะถูกเหล่าสาวใช้ผู้จงรักภัคดีต่อนางร่วมมือห้ามปราม เสิ่นเวยรู้สึกว่าชีวิตหมดสนุก น่าเบื่อเกินไปก็ทำได้เพียงแค่นอน กระทั่งกลางวันนอนเยอะเกินไป กลางคืนกลับนอนไม่หลับ 

 

 

เสิ่นเวยเหลือบมองจันทร์เสี้ยวดวงนั้นข้างนอก ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็รู้สึกเหมือนถูกอะไรกัดแหว่งไป จากนั้นนางก็มองเห็นว่าด้านล่างหน้าต่างมีศีรษะคนหนึ่งคนโผล่ออกมาช้าๆ เสิ่นเวยยื่นมือไปลูบคลำใต้หมอนเงียบๆ คลำเจอเหรียญทองแดงหนึ่งเหรียญ นี่คือของที่นางใช้เล่นกับเถาฮวาเมื่อตอนกลางวัน จึงกำไว้ในมือ 

 

 

หน้าต่างถูกเปิดออกช้าๆ เงาดำนั้นกระโดดเข้ามา เสิ่นเวยไม่ขยับแม้แต่นิดเดียว รอคนผู้นั้นเดินมาหน้าเตียงแล้วจึงสะบัดมืออย่างรวดเร็ว ขณะที่ปาเหรียญทองแดงเหรียญนั้นออกไปก็ลุกขึ้น 

 

 

“ข้าเอง อยู่นิ่งๆ” เงาดำนั้นหันข้าง รับเหรียญทองแดงนั้นไว้ มุมปากกระตุก “เจ้ายังไม่นอนอีกหรือ” 

 

 

เสิ่นเวยเกือบโมโหแทบตาย กล่าวอย่างอารมณ์ไม่ดี “ท่านเองรู้ว่าดึกแล้ว ท่านยังวิ่งมาที่ห้องข้าทำไม” ใครกันแน่ที่อยู่ไม่นิ่ง เขาเองต่างหากที่อยู่ไม่นิ่ง 

 

 

นางคิดว่าคุณชายใหญ่ผู้นี้โรคจิตเล็กน้อย เป็นเช่นนี้จริงๆ วิ่งมาห้องนางกลางดึก คาดไม่ถึงว่ายังไม่ถูกพบเห็น ดูท่าแล้วการเฝ้าระวังคงต้องเพิ่มความเข้มงวดขึ้นอีก 

 

 

สวีโย่วเองก็พูดไม่ออกว่าเหตุใดจู่ๆ ถึงวิ่งมาหานางกลางดึก คล้ายกับว่าอยากมาหานาง พูดคุยกับนาง ทุกครั้งที่ได้พูดคุยกับนางตนก็รู้สึกว่าเรือนที่กว้างโล่งไม่เงียบเหงาเช่นนั้นแล้ว 

 

 

“เหตุใดเจ้าถึงยังไม่นอน” สวีโย่วไอหนึ่งครากล่าวอย่างไม่เป็นตัวเอง 

 

 

เสิ่นเวยกลอกตาเงียบๆ “กลางวันนอนไปเยอะแล้ว กลางคืนเลยนอนไม่หลับ ท่านเล่า คงไม่ใช่ว่ากลางวันก็นอนไปเยอะเหมือนกันหรอกนะ” นอนไม่หลับก็ไม่ต้องมาเดินเล่นถึงห้องนาง ชายหญิงไม่ควรแตะเนื้อต้องตัวไม่รู้หรือ หากถูกใครพบว่าในห้องนางมีผู้ชาย นางจะถูกลงโทษรู้หรือไม่ 

 

 

“เปล่า เพียงแค่มาดูเจ้า แผลหายดีแล้วหรือยัง” สวีโย่วกล่าวในความมืด 

 

 

เสิ่นเวยเห็นว่าสวีโย่วถึงขนาดลากเก้าอี้มานั่ง ไม่มีความคิดจะไปแม้แต่นิดเดียว ชั่วขณะนางก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี ตำหนิในใจ ข้ามีอะไรให้ดู มืดสนิทขนาดนี้ ดูผีน่ะสิไม่ว่า 

 

 

“แผลดีขึ้นมากแล้ว ตอนนี้ท่านเองก็เห็นข้าแล้ว รีบกลับไปเถอะ” เดิมเสิ่นเวยคิดว่าสวีโย่วหนุ่มรูปงามผู้นี้สูงส่งอย่างยิ่ง ตอนนี้ดูแล้วเขาก็คือโรคจิตคนหนึ่ง นางไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับเขาอีกแม้แต่นิดเดียว 

 

 

“เจ้าไล่ข้าหรือ” เสียงที่เย็นเยียบแฝงความเหลือเชื่อเล็กน้อย คล้ายยังมีความน้อยใจอีกเล็กน้อย 

 

 

น้อยใจหรือ เจ้าน้อยใจบ้าอะไร ข้าต่างหากที่ได้รับความไม่เป็นธรรม 

 

 

“คุณชายใหญ่ นี่ไม่ใช่คำถามว่าข้าไล่ท่านหรือไม่ แต่เป็นพวกเราชายหญิงอยู่ร่วมกันในห้องเพียงลำพังไม่ใช่หรือ เรื่องแพร่ออกไปข้าจะยังเหลือชื่อเสียงอะไรอีก” เสิ่นเวยอธิบายด้วยความอดทน 

 

 

อยากจะโมโหจริงๆ แต่ว่าไม่ได้ นี่คือผู้มีพระคุณ 

 

 

“เรื่องไม่แพร่ออกไปหรอก” สวีโย่วกล่าวรับปาก “เจ้าอ่านจดหมายแล้วหรือ” 

 

 

“จดหมายอะไร” เสิ่นเวยตะลึงงัน 

 

 

“ข้าทิ้งจดหมายไว้ให้เจ้าที่หมู่บ้าน” 

 

 

เสิ่นเวยกลอกตาคิดครู่หนึ่ง อืม มีเรื่องเช่นนี้จริงๆ “อ่านแล้ว” 

 

 

“ข้าจะรับผิดชอบเอง” จู่ๆ สวีโย่วก็กล่าว 

 

 

เสิ่นเวยสะดุ้งตกใจ “รับผิดชอบอะไร” อย่าได้เป็นแบบที่นางคิดเด็ดขาด 

 

 

“สู่ขอเจ้า ข้ากับเจ้าแตะเนื้อต้องตัวกันแล้ว ข้าต้องสู่ขอเจ้า เจ้าวางใจ” สวีโย่วกล่าว 

 

 

เสิ่นเวยจะร้องไห้แล้วจริงๆ “นั่น…นั่นเป็นเหตุสุดวิสัย ท่านเองก็ทำเพื่อช่วยข้า เพราะเหตุคับขันจึงต้องปรับไปตามสถานการณ์ ข้าไม่ต้องการให้ท่านรับผิดชอบ ท่านเองก็ไม่ต้องฝืนใจตัวเองมาสู่ขอข้า” 

 

 

ข้าไม่สนว่าเจ้าจะสู่ขอหรือไม่ แต่ข้าไม่อยากแต่งงาน ไม่อยากแต่งงาน ไม่อยากแต่งงาน! 

 

 

“ไม่ฝืนใจ ข้ายินดีสู่ขอเจ้า” สวีโย่วกล่าว 

 

 

“ไม่ต้องจริงๆ” เสิ่นเวยพูดอีกครั้ง เพียงแค่อุ้มนางครู่เดียว ซ้ำยังไม่ได้เสียหาย จะสู่ขออะไรกัน ไม่เคยได้ยินว่าถูกคนช่วยแล้วยังต้องชดใช้ด้วยชีวิตที่เหลือ ถึงในละครจะมีเรื่องใช้ร่างกายตอบแทนบุญคุณให้ชนิดนั้น แต่นางไม่ยินยอม 

 

 

“เจ้ารังเกียจข้า” เสียงของสวีโย่วเสียใจเล็กน้อย 

 

 

“เอ่อ เปล่านะ เปล่าเลย” เสิ่นเวยส่ายหน้าปฏิเสธ กล่าวแก้ “คุณชายใหญ่ท่านเกิดในจวนจิ้นอ๋อง รูปโฉมงาม คุณูปการยอดเยี่ยม จิตใจก็ดีงาม ข้าจะรังเกียจท่านได้อย่างไร” 

 

 

“ไม่รังเกียจข้าก็ดี รอเจ้าหายดีแล้วข้าจะหาคนมาสู่ขอที่จวน เจ้าวางใจเถอะ” ในความมืดดวงตาของสวีโย่วสว่างไสวราวกับดวงดาวบนฟ้า เมื่อพูดคำว่าสู่ขอเหตุใดเบื้องลึกในใจเขาถึงมีความสุขเพียงนั้น ด้วยเหตุนี้เขาจึงกล่าวเสียงอ่อน “ดึกแล้ว เจ้ารีบพักผ่อนเถอะ ข้าไปล่ะ เจ้ารอข้ามาสู่ขอนะ” พูดจบก็กระโดดข้ามหน้าต่างหายตัวไปเหมือนตอนที่เขามา 

 

 

ทิ้งเสิ่นเวยให้ปากอ้าตาค้าง ใครไม่วางใจ ใครต้องการให้เจ้าสู่ขอ ข้ารับปากแล้วหรือ ไม่ใช่เจ้าพูดเองเออเองหมดหรือ เสิ่นเวยทุบผ้าห่มอย่างโหดเ**้ยม 

 

 

ไม่สนแล้ว ไม่สนแล้ว สู่ขอก็สู่ขอ อยากทำอะไรก็ทำ นอนล่ะ 

 

 

แต่ว่าผ่านไปนานเสิ่นเวยก็ยังคงนอนไม่หลับ นางร้องโอดครวญหนึ่งคราจากนั้นจึงลืมตาอีกครั้ง หากสวีโย่วหมอนั่นมาสู่ขอจริงๆ จะทำอย่างไร นางจะปฏิเสธได้หรือ ที่สำคัญก็คือเหตุใดใจนางถึงแอบรู้สึกดีใจเล็กๆ เล่า อย่างไรเสียคุณชายใหญ่ก็หน้าตาดี เห็นหน้าใบนั้นอย่างน้อยนางก็รู้สึกอยากอาหาร 

 

 

ส่วนสวีโย่วที่กลับไปถึงเรือนตนเองก็คิดคำนวณว่าจะเชิญใครไปสู่ขอจึงจะเหมาะสม คิดไปคิดมาก็รู้สึกว่าองค์หญิงใหญ่เหมาะสม เลือกคนสู่ขอได้แล้วก็คิดเรื่องสินสอดต่อ คำนวณว่าตัวเขามีทรัพย์ส่วนตัวอยู่เท่าไร ที่จวนสามารถออกให้ได้เท่าไหร่ ก่อนหน้านี้ไม่เคยคิดเรื่องแต่งงานจึงไม่ได้สนใจ เป็นบุตรชายของบิดาเขาเหมือนกัน ที่จวนจะออกให้เขาน้อยกว่าได้อย่างไร 

 

 

อืม พรุ่งนี้ให้เจียงไป๋ไปสืบถามใบรายการสินสอดของน้องรองน้องสาม ตนเป็นพี่คนโต เด็กน้อยนั่นย่อมไม่อาจน้อยหน้าผู้อื่นได้ 

 

 

คิดไปมากมายเช่นนี้ สวีโย่วก็ไม่มีอารมณ์นอนแม้แต่นิดเดียวแล้ว