แสงอาทิตย์สาดส่องมายังยอดเขาหลักของเขาหลีซาน แสงกระบี่ที่ทะลวงผ่านไปเหล่านั้นราวกับเป็นสายรุ้งก็มิปาน ตกกระทบลงมายังร่างของชิวซานจวิน ส่องสว่างใบหน้าที่ซีดขาวของเขา ดวงตาที่สงบนิ่งและร่างกายที่ถูกย้อมด้วยเลือดสีแดงฉาน งดงามและเต็มไปด้วยคาวเลือด ช่างทำให้คนตกตะลึงไปถึงจิตวิญญาณ
ตั้งแต่ต้นจนจบไม่มีคนเอ่ยพูด บนยอดเขาเงียบสงัด
ในเวลานี้เอง คนผู้เดียวที่มีสิทธิ์จะเอ่ยพูด ก็มีเพียงพ่อลูกตระกูลชิวซานคู่นี้
“ท่านพ่อ กลับบ้านเถิด เรื่องของเขาหลีซาน พวกข้าจะจัดการกันเอง”
ชิวซานจวินมองบิดาของตนแล้วพูดขึ้น เสียงของเขามั่นคงอย่างมาก ไม่มีการสั่นไหวเลยแม้แต่น้อย แต่ทุกคนล้วนสามารถฟังออกว่าในนั้นมีความเจ็บปวดแฝงอยู่ เพื่อช่วยผู้บำเพ็ญเพียรชาวมนุษย์ออกจากสวนโจว เขาหลับไปหลายวันถึงได้ฟื้นขึ้นมา บาดแผลก็ยังไม่ได้หายดี ในตอนนี้ก็ถูกกระบี่คมแทงทะลุอกอีก เขานั้นไม่อาจจะฝืนตัวได้อีกตั้งนานแล้ว ถ้าหากไม่ใช่ไป๋ไช่คอยพยุงเอาไว้ ก็เกรงว่าจะล้มลงไปตั้งนานแล้ว
สายตาของประมุขตระกูลชิวซานย้ายจากกระบี่ที่แทงทะลุหน้าอกของเขาไปที่ใบหน้าของเขา ความผิดหวังในดวงตาก็ยิ่งเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ เข้มข้นจนถึงที่สุดก็จางลงมา เมื่อถึงที่สุดก็เป็นความเฉยชา เขามองไปที่ชิวซานจวินแล้วพูดขึ้น “ตระกูลชิวซานทำเพื่อเจ้าไปมากมายเท่าไหร่ ถึงทำให้เจ้ามีชื่อเสียงดังเช่นในวันนี้ ผลคือเจ้ากลับใช้ความเป็นความตายของตัวเองมาข่มขู่ตระกูล กระทั่งทำให้ตระกูลต้องจ่ายด้วยค่าตอบแทนที่แสนจะเจ็บปวดรวดร้าว”
ชิวซานจวินนิ่งเงียบไม่พูดไม่จา
ร่างของประมุขตระกูลชิวซานโซเซเล็กน้อย
อย่างไรเสียความเฉยเมยก็เป็นเพียงแค่เปลือกนอก เขาจะไม่โมโหเลยได้อย่างไร
“เหตุใดตระกูลชิวซานของข้าถึงได้ให้กำเนิดคนอย่างเจ้าออกมา เจ้าลูกทรพี!”
เมื่อพูดประโยคนี้จบ เขาก็หันหลังจากไป และไม่มองลูกของตนอีก ในเวลาเดียวกันนั้นก็ตะโกนสองคำนั้นออกมา
“ลงมือ!”
เมื่อได้ยินสองคำนี้ บนยอดเขาก็ตึงเครียดขึ้นมาในทันที
ทุกคนล้วนรู้ดี สองคำนี้เป็นการพูดกับผู้ติดตามของตระกูลชิวซานผู้นั้น ชิวซานจวินได้รับบาดเจ็บสาหัสใกล้ตายแล้ว ประมุขตระกูลชิวซานก็ยังไม่ยอมเลิกราอย่างนั้นหรือ
ผู้อาวุโสโถงบทบัญญัติสองคนนั้นเริ่มเปลี่ยนสีหน้า เหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็ยังไม่ได้เอ่ยปาก สีหน้าของเสี่ยวซงกงกับผู้อาวุโสเจียงจากพรรคฉางเซิงก็ผ่อนคลายลงไปมาก ถึงแม้การตัดสินใจของชิวซานจวินจะเหนือความคาดหมายของพวกเขา แต่ขอเพียงตระกูลชิวซานยังยืนยันที่จะอยู่ข้างพวกเขา เช่นนั้นแล้วอย่างน้อยสถานการณ์ในตอนนี้ก็ยังอยู่ในการควบคุมของพวกเขา ผู้ติดตามของตระกูลชิวซานผู้นั้นที่มีความแข็งแกร่งยากจะหยั่งถึง ก่อนหน้านี้ที่คิดจะหยุดกระบี่ของชิวซานจวิน จึงโคจรพลังในร่างไปถึงระดับสูงสุดแล้ว ในตอนนี้ที่ได้ฟังคำสั่งของประมุขตระกูลชิวซาน ก็ไม่จำเป็นต้องทำการปรับระดับพลังอีกแล้ว
และก็เป็นตอนที่คำว่าลงมือของประมุขตระกูลชิวซานยังสะท้อนอยู่ในหูของทุกคน ผู้ติดตามตระกูลชิวซานก็ได้ลงมือไปแล้ว!
ที่เขาลงมือก็คือตราประทับขุนเขาฤดูใบไม้ร่วง!
เทียนหนานมีภูเขาฤดูใบไม้ร่วง อยู่ท่ามกลางที่รกร้าง ราวกับตราประทับขนาดใหญ่ ตราประทับขุนเขาฤดูใบไม้ร่วงก็คือวิชาฝ่ามือประเภทหนึ่ง เมื่อใช้ออกมาก็จะร่วงโรยลอยว่อน ในเวลาเดียวกันสามารถโจมตีศัตรูได้นับสิบ และกระบวนท่าฝ่ามือชุดนี้หากฝึกจนถึงสุดสูงสุด ก็จะยิ่งเป็นดั่งภูเขาที่ร่วงมาจากฝากฟ้า และปะทะเข้ากับพื้นที่ว่างไม่หยุด อานุภาพนั้นมหาศาลอย่างหาใดเปรียบ!
ผู้ติดตามของตระกูลชิวซานผู้นี้ ก็เป็นผู้แข็งแกร่งเพียงคนเดียวของตระกูลชิวซานที่สามารถฝึกตราประทับขุนเขาฤดูใบไม้ร่วงนี้ได้จนถึงขั้นสูงสุดในรอบร้อยปีมานี้
สายลมพลันส่งเสียง ตราประทับขุนเขาฤดูใบไม้ร่วงแหวกหมู่เมฆลงมายังด้านหน้าของถ้ำพำนักบนยอดเขาหลัก
เสียงระเบิดพลันดังขึ้น!
ฝ่ามือของผู้ติดตามตระกูลชิวซาน ได้โจมตี…ใส่หลังของผู้อาวุโสโถงบทบัญญัติสองคนนั้นเข้าอย่างจัง!
ผู้อาวุโสโถงบทบัญญัติสองคนนั้นไม่ได้มีการป้องกันอะไรเลย จึงรู้สึกเพียงแค่ว่าที่ด้านหลังราวกับมีภูเขาขนาดใหญ่กระแทกใส่ เลือดสดๆ กระอักออกมาจากริมฝีปากอย่างบ้าคลั่ง ทำให้เคราสีขาวโพลนและชุดถูกย้อมไปด้วยเลือดจนเปียกชุ่ม
ในตอนนี้เอง ประมุขตระกูลชิวซานก็กำลังหันกาย แขนเสื้อข้างขวาพลันสะบัดขึ้นมาอย่างไม่ใส่ใจ ราวกับว่าได้สะบัดเอาความอึดอัดภายในใจ ไปจนถึงความโกรธเกรี้ยวที่ได้มาจากการขัดคำสั่งของชิวซานจวิน ไม่มีใครที่สามารถรับรู้ได้ ฝ่ามือของเขาพลันยื่นออกมาจากภายในเงาของแขนเสื้อ!
เสียงเพี๊ยะดังขึ้นเบาๆ
แขนเสื้อของประมุขตระกูลชิวซานสะบัดขึ้นมา ยื่นฝ่ามือออกมาอย่างไร้สุ้มเสียง และประทับเข้าไปที่บ่าซ้ายของเสี่ยวซงกงเบาๆ
เสี่ยวซงกงพลันคำรามด้วยความโมโหและตกตะลึงออกมา คิดจะชักกระบี่ขึ้นมาขวาง แต่ไหนเลยจะชักกระบี่ขึ้นมาทัน ปราณแท้ที่แข็งแกร่งและบริสุทธิ์สายนั้นก็สะเทือนผ่านบ่าของเขาเข้าไปแล้ว หลังจากนั้นก็เหมือนกับมวลน้ำมหาศาลที่ถาโถมเข้าใส่ห้วงแห่งจิตของเขา
ก่อนที่จะหมดสติไปนั้น เขาถึงได้ตอบสนองขึ้นมาได้ว่า ประมุขชิวซานถึงกับลงมือกับตัวเขา!
และบุรุษที่ว่ากันว่าแสนจะธรรมดา ทั้งยังถูกชิวซานจวินกลบรัศมีจนมิด ถึงกับมีความแข็งแกร่งที่น่าหวาดกลัวถึงเพียงนี้!
สายลมถูกกลิ่นอายอันบ้าคลั่งบดทำลาย และส่งเสียงร่ำร้องออกมาไม่หยุด ผู้อาวุโสโถงบทบัญญัติทั้งสองลงไปนั่งขัดสมาธิบนพื้น โดยที่กระอักเลือดออกมาไม่หยุด พวกเขาอาศัยร่างกายที่มีกำลังภายในลึกล้ำ ถึงได้ยังไม่ตายไป เสี่ยวซงกงนั้นอนาถเสียยิ่งกว่า บ่าของเขานั้นเละไปหมด และถูกซัดจนกระเด็นไปอยู่ในอ้อมกอดของศิษย์ผู้หนึ่ง ไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย
เสียงของสายลมพลันเงียบลง ที่ตรงนั้นจึงเงียบเป็นเป่าสาก
ไม่มีใครเข้าใจว่านี่เกิดเรื่องอะไรขึ้น
ไม่มีใครเข้าใจได้ว่าเหตุใดประมุขตระกูลชิวซานกับผู้ติดตามผู้นั้นถึงได้ลงมือกับผู้อาวุโสทั้งสามอย่างกะทันหัน
เรื่องราวแปรเปลี่ยนอย่างรวดเร็วเกินไปแล้ว เร็วเสียจนทุกคนรู้สึกทำอะไรไม่ถูก ตะลึงงันจนพูดอะไรไม่ออก
ประมุขตระกูลชิวซานล้วงผ้าเช็ดหน้าออกมาจากแขนเสื้อ แล้วเช็ดเลือดของเสี่ยวซงกงที่เปื้อนอยู่บนมือออก สีหน้านั้นช่างสงบนิ่งอย่างมาก
ผู้อาวุโสแซ่เจียงจากพรรคฉางเซิงผู้นั้นจ้องไปที่เขาและถามขึ้นด้วยเสียงที่สั่นเครือ “เจ้า…บ้าไปแล้วหรือ”
ประมุขตระกูลชิวซานมองเขาแล้วพูดขึ้น “ผู้อาวุโส ลงเขาไปกับข้าดีไหม”
ผู้อาวุโสเจียงไม่เข้าใจเลยว่านี่มันเรื่องอะไรกัน เขาโมโหและไม่เข้าใจ เมื่อได้ยินคำพูดนี้ เขาเตรียมจะตะโกนถามต่อ แต่ก็ได้สติขึ้นมา ไม่ว่าประมุขตระกูลชิวซานคิดจะทำอะไร แต่ในตอนนี้ผู้อาวุโสของเขาหลีซานสามคนได้พ่ายแพ้ให้กับการลอบโจมตีของพวกเขาแล้ว หากตนคิดจะทำอะไร ไม่แน่ว่านาทีถัดไปอีกฝ่ายก็อาจจะลงมือกับตน
ก็เหมือนกับที่เทียนหนานมีผู้แข็งแกร่งมากมาย ความทรงจำที่ผู้อาวุโสเจียงมีต่อประมุขตระกูลชิวซานนั้นธรรมดาเป็นอย่างมาก ถึงขนาดแอบเยาะเย้ยอยู่ในใจ ในใจแอบคิดว่าหากไม่ใช่เพราะชิวซานจวิน ใครยังจะไปสนใจคนที่ไม่มีความสามารถเช่นนี้ แต่ว่าตัวเขาในตอนนี้ได้เข้าใจแล้ว ไหนเลยที่คนผู้นี้จะเป็นคนไร้ความสามารถ
ถึงแม้เขาจะไม่เข้าใจว่าทำไมประมุขตระกูลชิวซานถึงได้ต่อต้านขึ้นมาอย่างกะทันหัน แต่อย่างน้อยก็เห็นอย่างชัดเจนว่าประมุขตระกูลชิวซานแข็งแกร่งมากขนาดไหน…ต้องรู้ว่าถึงแม้จะเป็นการลอบโจมตี แต่การที่สามารถจัดการผู้อาวุโสเสี่ยวซงกงด้วยฝ่ามือเดียวอย่างราบรื่นและง่ายดายเช่นนี้ ในต้าลู่คนที่มีความแข็งแกร่งเช่นนี้ไม่ได้มีอยู่มากนัก
ยิ่งไปกว่านั้น ข้างกายประมุขตระกูลชิวซานยังมีผู้ติดตามที่มีความแข็งแกร่งลึกล้ำยากจะหยั่งถึงผู้นั้นอีก!
เมื่อผู้อาวุโสเจียงเข้าใจเรื่องเหล่านี้ เขาไม่พูดพร่ำทำเพลงก็เดินไปที่ทางบนเขา เพียงแค่ช่วงไม่กี่ลมหายใจ เขาก็หายไปจากทางบนเขาที่คดเคี้ยวของเขาหลีซานแล้ว จากไปอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย!
ยอดเขาในตอนนี้พลันวุ่นวายไปหมด พวกศิษย์ที่ตามพวกผู้อาวุโสเสี่ยวซงกงทั้งสามคนบุกขึ้นยอดเขาหลักเหล่านั้น เพราะว่าอาจารย์ได้รับบาดเจ็บหนักจากการลอบโจมตีจึงเกิดความโกรธแค้น และที่มีมากกว่าก็คือมึนงงทำอะไรไม่ถูก
“พวกเราเองก็ควรไปแล้ว” ประมุขตระกูลชิวซานไม่ได้สนใจศิษย์เขาหลีซานที่จ้องตนด้วยความเจ็บแค้นเหล่านี้ และพูดขึ้นอย่างสงบ
ผู้ติดตามของตระกูลชิวซานเดินมาที่ข้างกายเขา และรับผ้าเช็ดหน้าเปื้อนเลือดที่เขาส่งมาเก็บเข้าไปในแขนเสื้อ หลังจากนั้นก็มุ่งหน้าลงเขาไป
ทั้งหมดนี้ ประมุขตระกูลชิวซานไม่ได้หันมามองชิวซานจวินเลย ต่อให้เป็นตอนที่จากไปก็ไม่มี
สายลมพลันพัดผ่าน เงาร่างหายไปแล้ว
บนพื้นหินที่ยอดเขาหลักของเขาหลีซาน เหลือทิ้งไว้เพียงแอ่งโลหิตจำนวนหนึ่ง
ชิวซานจวินมองไปทางบนเขา นิ่งเงียบไม่เอ่ยวาจา
สำหรับตระกูลชิวซาน ตั้งแต่ตอนที่เขายังเด็กมากๆ ก็มีบางเรื่องที่เขาไม่เข้าใจ
ผู้ติดตามผู้นั้น ที่จริงก็คือท่านปู่สาม ในตระกูลใหญ่แต่ไหนแต่ไรมาล้วนให้ความสำคัญกับความแข็งแกร่งเป็นหลัก เขาไม่เคยเข้าใจเลย ว่าทำไมท่านปู่สามที่บำเพ็ญเพียรจนถึงขั้นสูงสุดของขั้นรวบรวมดวงดาวถึงไม่ได้เป็นประมุขของตระกูลชิวซาน กลับเป็นบิดาที่ทุกด้านล้วนธรรมดาของเขาที่กลายมาเป็นประมุขของตระกูลชิวซาน เดิมทีเขาคิดว่าบางทีนี่อาจจะเกี่ยวข้องกับสายเลือดมังกรของตน แต่นาทีก่อนหน้านั้น ได้เห็นท่านพ่อลงมือ ได้เห็นท่านปู่สามรับผ้าเช็ดหน้าเปื้อนเลือดจากท่านพ่ออย่างเคารพนบนอบ ในที่สุดเขาก็ได้เข้าใจอย่างแท้จริง เพียงแต่ เขาก็ยังไม่เข้าใจ ว่าสุดท้ายแล้วเหตุใดท่านพ่อถึงทำเช่นนี้
……
……
รถม้าที่หรูหราอย่างมากคันหนึ่งได้ออกไปจากตีนเขาของเขาหลีซาน
ที่ลากรถม้าอยู่ก็คืออาชาสายเลือดมังกร ภายในรถม้ามีสุราโลหิตมังกรวารี และปูด้วยพรมที่ถักทอจากปีศาจกระต่าย
ที่นั่งอยู่บนรถม้าแน่นอนว่าเป็นประมุขตระกูลชิวซานกับผู้ติดตามผู้นั้น
“เรื่องแผนการชิงพรรคกระบี่เขาหลีซาน ในตอนนี้ดูแล้วก็ถือว่ารีบร้อนเกินไป ความสูญเสียในวันนี้ค่อนข้างมากเลยทีเดียว”
ประมุขตระกูลชิวซานมองออกไปนอกหน้าต่าง มองดูเขาหลีซานที่ปรากฏอยู่ท่ามกลางหมู่เมฆ ราวกับว่าคนที่ลอบโจมตีเสี่ยวซงกงบนยอดเขาก่อนหน้านี้ไม่ใช่เขา คนที่ทำให้เรื่องในนี้ผ่านไปอย่างสงบก็ไม่ใช่เขา
ผู้ติดตามยิ้มแล้วพูดขึ้น “ไม่รู้ว่าเมื่อผู้อาวุโสเจียงกลับพรรคฉางเซิงไปแล้วจะพูดเช่นไร”
ประมุขตระกูลชิวซานเผยรอยยิ้มเยาะเย้ย “หลังจากเมื่อสิบกว่าปีก่อนที่ท่านซูฆ่าล้างบางไป พรรคฉางเซิงก็จบสิ้นไปแล้ว ไม่ว่าเขาจะพูดอย่างไรก็ตาม พรรคฉางเซิงจะกล้าประกาศท้ารบกับชิวซานของข้าหรืออย่างไร”
สีหน้าของผู้ติดตามเคร่งขรึมขึ้นมา พลางถามขึ้น “แต่ทางด้านเหนียงเหนียงนั้น…จะว่าอย่างไร”
คิ้วของประมุขตระกูลชิวซานเลิกขึ้น พลางกล่าว “เหนียงเหนียงมีเมตตา คงไม่บีบให้ข้าสังหารบุตรชายของตัวเองหรอก…ใช่แล้ว นั่นเป็นบุตรชายของข้า ข้าไม่ได้ร้ายกาจถึงเพียงนั้นเหมือนเหนียงเหนียง”
เขาไม่อยากนึกถึงเรื่องนี้ จึงพูดขึ้นอย่างปลงอนิจจัง “หลังจากผ่านเรื่องสวนโจวไป ลูกของข้าก็พัฒนาขึ้น ถึงขนาดสามารถคิดวิธีที่เด็ดขาดเช่นนี้ออกมาได้”
ใช้ชีวิตของตัวเองมาข่มขู่บิดาของตน ไม่ว่าจะมองอย่างไร เรื่องนี้ก็เด็ดขาดอย่างมาก
ก็เหมือนกับในตอนแรกสุดที่ประมุขตระกูลชิวซานคิดจะใช้ฐานะบิดากดดันชิวซานจวิน ก็เด็ดขาดอย่างมาก
เพียงแต่บุตรนั้นเด็ดขาดยิ่งกว่าบิดา
“เขานั้นไร้หัวใจยิ่งกว่าข้า ดังนั้นข้าจึงไม่สามารถบังคับให้เขามาช่วยข้า เช่นนั้นแน่นอนว่าก็ทำได้เพียงไปช่วยเขา”
“เพียงแต่ไม่รู้ว่าชิวซานเขาจะสามารถเข้าใจตรงจุดนี้ได้เมื่อไหร่”
“ไม่จำเป็นต้องเข้าใจ แค่ทำก็พอแล้ว ก็เหมือนความเด็ดขาดของเขา นี่เป็นท่าทีของคนที่จะทำการใหญ่ให้สำเร็จต้องมี ถึงแม้ว่านี่จะแสดงออกถึงความเป็นจริงอย่างหนึ่งซึ่งข้าไม่ค่อยชอบใจนัก”
“ความเป็นจริงอะไร”
“ข้ารักเขามากกว่าที่เขารักข้า”
เมื่อพูดประโยคนี้จบ ประมุขตระกูลชิวซานก็เงียบไปพักหนึ่ง หลังจากนั้นก็ยิ้มแล้วส่ายหน้า พลางพูดขึ้น “…แต่ระหว่างพ่อกับลูก ไม่ใช่ว่าแต่ไหนแต่ไรมาก็เป็นเช่นนี้หรือ”