เมื่อมีเกาเหลียนหงเป็นตัวอย่างอย่างที่ประสบความสำเร็จในการบรรลุ เหยียนเยว่เอ๋อร์ สวีจิงเหนียนและหลินจื่อเฟิงต่างพากันกลับเข้าไปอยู่ในสภาวะปิดขังตนอีกครั้ง เพื่อใช้โอกาสนี้ก่อนที่สำนักเขาจะเปิด ในการยกระดับการฝึกตนของตัวเองให้สูงขึ้นอีกหน่อย

การฝึกตนของหลัวซิวเดินมาถึงช่วงคอขวดแล้ว ต่อให้ปิดขังตนเอาไว้ก็ไร้ประโยชน์ เขาจึงออกมาจากแดนปริศนาแล้วมาที่ตำหนักวัฏสงสาร

วันนี้เกาเหลียนหงมาอยู่ที่สำนัก “ท่านเจ้าสำนัก ด้านนอกสำนักมีคนผู้หนึ่งมาเยือน เขามีชื่อว่าเหว้ยห้าวหราน บอกว่าอยากมาพบท่านเจ้าสำนัก”

“อ้อ? คนคนนี้คงเก็บความตื่นเต้นเอาไว้ไม่ไหว” หลัวซิวได้ยินดังนั้นก็อมยิ้ม “เจ้าพาเขาเข้ามาสิ”

ผ่านไปครู่หนึ่ง เกาเหลียนหงก็กลับมาอีกครั้ง โดยพาเหว้ยห้าวหรานเข้ามาในสำนักด้วย

ตำหนักวัฏสงสาร คือสถานที่ที่ศักดิ์สูงกว่าตำหนักผู้คุมกฎทั้งสิบแปด รวมทั้งผู้อาวุโสสำนักทั้งสาม เป็นสถานที่ที่เจ้าสำนักนั่งบัลลังก์อยู่

หลังจากที่สำนักเขาได้วางค่ายคุ้มกันขั้น 8 เอาไว้ สำนักไท่เสวียนก็มีบารมีขึ้นมาก แม้ว่าจะมีคนน้อยแต่ก็มีปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่อยู่บ้าง

“หัวหน้าแก๊งเหว้ย สบายดีหรือไม่” หลัวซิวยิ้ม

เหว้ยห้าวหรานยิ้มตอบเช่นกัน “ไม่ทราบว่าจะให้ข้าเรียกท่านว่าเจ้าสำนักหลัว หรือหัวหน้าแก๊งหลัวดี”

“อยู่ในสำนักไท่เสวียน ข้าย่อมอยู่ในฐานะเจ้าสำนัก หากอยู่ในแก๊ง ข้าย่อมเป็นหัวหน้าแก๊ง” หลัวซิวยิ้มเรียบๆ

เหว้ยห้าวหรานกุมมือคารวะ “อีกไม่ถึงหนึ่งเดือน เจ้าสำนักหลัวก็จะเปิดสำนักเขาแล้ว หากคนตระกูลเหว้ยมาเข้าร่วมสำนักไท่เสวียนด้วยจะได้รับการดูแลอย่างไรหรือ”

เดิมทีเหว้ยห้าวหรานก็ไม่ใช่คนที่ชอบพูดจาอ้อมค้อมอยู่แล้ว ดังนั้นเมื่อมาถึงจึงพูดอย่างตรงประเด็นทันที เพื่อแสดงให้เห็นถึงเจตนารมณ์ที่แท้จริงในการมาเยือน

ก่อนหน้านี้ตอนที่หลัวซิวอยู่ที่เมืองเทียนหวู เคยส่งคำเชิญให้เขารวมทั้งผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์อีกหลายคน ทว่าคนพวกนี้กลับยังคงสงวนท่าทีอยู่ มีเพียงเหว้ยห้าวหรานคนเดียวเท่านั้นที่มาเยือนถึงที่ โดยมีเป้าหมายที่จะมาขออาศัยบารมี

ทว่าหลัวซิวเองก็เข้าใจดี แม้ว่าเหว้ยห้าวหรานจะมาถึงที่นี่แล้ว แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะเข้าร่วมสำนักไท่เสวียนด้วย คนหัวหมอพวกนี้ ทุกคนล้วนเจ้าเล่ห์หลักแหลม หากไม่มีข้อเสนอที่สามารถจูงใจพวกเขาได้ พวกเขาไม่มีทางยอมถวายชีวิตให้

ทว่าหลัวซิวกลับคว้าจุดสำคัญของคนพวกนี้เอาไว้ได้ นั่นคือพวกเขาได้บรรลุมาจนถึงขีดจำกัดพลังของพวกเขาแล้ว ยากที่จะพัฒนาขึ้นสู่ระดับที่สูงขึ้นอีก สิ่งที่พวกเขาเป็นกังวลมากที่สุดนั่นคือการบรรลุขีดจำกัดนี้ให้ได้เพื่อที่จะไปถึงแดนมกุฎยุทธ์

“หัวหน้าแก๊งเหว้ย ท่านเป็นถึงหัวหน้าแก๊งนักค่ายกลของประเทศเทียนหวู ในด้านค่ายกลบรรลุถึงขั้น 7แล้ว และชำนาญวิชาหุ่นเชิดเป็นที่สุด เหตุใดถึงอยากมาอยู่ที่สำนักไท่เสวียนของข้าเล่า?”

หลัวซิวอมยิ้มแล้วกล่าวอีก “จากความสามารถของหัวหน้าแก๊งเหว้ยแล้ว ต่อให้เป็นกองกำลังที่มีมหายุทธ์นั่งบัลลังก์ก็คงจะต้อนรับท่านด้วยความยินดีเช่นกัน”

เหว้ยห้าวหรานทิ้งตัวนั่งลงด้านข้าง เมื่อได้ยินคำพูดนี้ก็เบะปาก “ไอ้แก่เหว้ยคนนี้อยู่เป็นอิสระจนชินแล้ว ไม่ชอบสำนักที่ผูกมัดมากจนเกินไป แม้กองกำลังที่มีมหายุทธ์นั่งบัลลังก์จะดีก็ตาม แต่ก็คงไม่สามารถทำให้ข้ามีโอกาสที่จะบรรลุถึงระดับนักค่ายกลขั้น 7 ได้”

เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ ในดวงตาของเหว้ยห้าวหรานก็เกิดความวิบไหวขึ้นมา “ตอนที่ข้าเข้ามาเมื่อครู่นี้ เห็นว่าสำนักเขาไท่เสวียนมีค่ายกลอยู่ถึงสองค่าย ค่ายหนึ่งเป็นค่ายคุ้มกันขั้น 8 อีกค่ายเป็นค่ายคุ้มกันเขาขั้น 7 อีกทั้งข้ายังรู้มาอีกว่าในด้านค่ายกล เจ้าสำนักหลัวไม่ได้ด้อยไปกว่าข้าเลย ขอเพียงแค่เจ้าสำนักหลัวเปิดโอกาสให้ข้าได้เป็นปรมาจารย์นักค่ายกลขั้น 7 ถึงตอนนั้นให้ข้าถวายชีวิตให้ท่านข้าก็ยอม”

หลัวซิวรู้อีกว่าเหว้ยห้าวหรานผู้นี้หลงใหลในเส้นทางของค่ายกลมาก ต้องการแค่บรรลุในเส้นทางของค่ายกล แต่ไม่ค่อยใส่ใจในด้านการฝึกตนของตัวเองมากเท่าไหร่นัก

หลัวซิวเพียงอมยิ้มออกไป เขาพลิกมือแล้วดึงม้วนหยกออกมา ก่อนจะยกฝ่ามือขึ้น นำม้วนหยกตกลงสู่เบื้องล่างตรงหน้าเหว้ยห้าวหราน

เหว้ยห้าวหรานรีบยื่นมือออกไปรับ “นี่มัน……”

“หัวหน้าแก๊งเหว้ยไม่ได้อยากเป็นปรมาจารย์นักค่ายกลขั้น 7 หรอกหรือ ท่านลองอ่านม้วนหยกดูว่าพอใจหรือไม่” หลัวซิวยิ้มพลางกล่าวตอบ