บทที่ 327 สำนักบุปผาอนันต์ ‘วิชาบุปผาสยบมาร’
ขณะนี้หลิงตู้ฉิง และคนอื่น ๆ ก็ได้มาถึงหุบเขาบุปผาอนันต์ แต่เหวินลู่หยานและบรรดาผู้อาวุโสของสำนักนางทุกคนต่างเดินตามประกบติดหลิงตู้ฉิงแทบจะทุกย่างก้าว
ที่พวกนางทำเช่นนี้ไม่ใช่ว่าพวกนางต้องการที่จะปกป้องหลิงตู้ฉิง แต่พวกนางทำเพราะพวกนางกลัวว่า หลิงตู้ฉิงจะทำมิดีมิร้ายกับลูกศิษย์สำนักของพวกนาง
โม่เอ๋อที่เห็นว่าหลิงตู้ฉิงได้รับการปฏิบัติเช่นนี้ นางก็รู้สึกโกรธมาก
ในความคิดของนาง หลิงตู้ฉิงมาที่นี่เพื่อมาช่วยสำนักนี้แท้ ๆ แต่คนของสำนักนี้กลับตอบแทนความหวังดีของเขาด้วยการปฏิบัติตัวกับเขาโดยไม่ให้เกียรติเอาซะเลย
ส่วนทางด้านของหลิงตู้ฉิง ถึงแม้เขาจะได้รับการปฏิบัติเช่นนี้ เขาก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เนื่องจากว่าเขาสัมผัสได้ว่า เหวินลู่หยานและบรรดาผู้อาวุโสของสำนักนางนั้นไม่มีความคิดเป็นปฏิปักษ์กับเขาแม้แต่น้อย เขาสัมผัสได้แค่ว่าพวกผู้หญิงเหล่านี้มีแค่ความรู้สึกสงสัยในตัวเขาเพียงเท่านั้น
เมื่อรู้เช่นนี้ หลิงตู้ฉิงจึงไม่ได้สนใจอะไรพวกนางนัก
“นำสมบัติวิเศษต่าง ๆ ที่เจ้ามีอยู่ในคลังออกมา เดี๋ยวข้าจะใช้พวกมันวางค่ายกลให้กับสำนักของเจ้า” หลิงตู้ฉิงพูดกับเหวินลู่หยาน “ถึงแม้ว่าข้าจะยังคงรั้งอยู่ที่สำนักของเจ้า แต่ถ้าหากมีอะไรเกิดขึ้นกับสำนักของเจ้า ข้าจะไม่เข้าไปแทรกแซงช่วยเหลือแน่นอน แต่ถ้าสำหรับซือโถวและโม่เอ๋อ หากพวกเขาต้องการจะช่วยพวกเจ้า อันนี้ข้าก็จะไม่ห้ามพวกเขาเช่นกัน”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ โม่เอ๋อเชิดคางขึ้นและพูดขึ้นด้วยยิ้มเยาะ “นายท่าน ข้าจะไม่ลงมือทำอะไรทั้งนั้น!”
ซือโถวเหวินหยวนหัวเราะ “นายท่าน ข้ามีระดับการบ่มเพาะแค่ขอบเขตครึ่งสวรรค์ ข้าจะเอาปัญญาที่ไหนไปช่วยพวกนางได้กัน”
เหวินลู่หยานพยักหน้า “ข้าต้องขอเวลานำเรื่องนี้ไปปรึกษากับคนอื่น ๆ ก่อน จากนั้นข้าถึงให้คำตอบกับท่านได้”
“ข้าขอเตือนไว้ก่อนว่าพวกเจ้าน่าจะมีเวลาเหลืออีกไม่มากแล้ว ถ้าเจ้าไม่รีบตัดสินใจให้เร็วก็อย่ามาโทษข้าที่สำนักของเจ้าถูกลบหายออกไปจากโลก” หลิงตู้ฉิงพูดด้วยน้ำเสียงเฉยชา “และอย่าคิดว่าข้าจะใจอ่อน สำหรับข้า ถ้าสำนักของเจ้าหายไป ข้าก็แค่ไปหาสำนักใหม่เพื่อให้การสนับสนุนพวกเขาต่อก็แค่นั้น”
เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ เหวินลู่หยานมองไปที่หลิงตู้ฉิงด้วยสีหน้าซับซ้อน จากนั้นนางจึงรีบเดินออกไปคุยกับเหล่าผู้อาวุโสของนางทันที
ครึ่งวันผ่านไป เหวินลู่หยานและบรรดาผู้อาวุโสของสำนักนางก็เดินเข้ามาหาหลิงตู้ฉิงในห้องโถงรับรองหลักพร้อมกับแหวนมิติหลายวง จากนั้นนางพูดกับหลิงตู้ฉิง ว่า “นี่คือวัสดุทั้งหมดที่สำนักของเรามี แต่พวกเราต้องการดูท่านวางค่ายกลจากพวกมัน!”
“ข้าสามารถให้เจ้าดูข้าวางค่ายกลได้ แต่เจ้าจะต้องทำสัญญากับข้า” หลิงตู้ฉิงพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย “แต่สัญญาที่เจ้าทำมันจะเป็นการทำสัญญาแทนคนในสำนักของเจ้าทั้งหมด เจ้าจะต้องใช้เจตจำนงของสำนักเจ้าในระหว่างการลงชื่อทำสัญญาด้วย หากเจ้าตกลง เจ้ากับคนของเจ้าก็สามารถดูข้าวางค่ายกลได้”
เหวินลู่หยานและเหล่าผู้อาวุโสของสำนักนาง เมื่อได้ยินที่หลิงตู้ฉิงต้องการให้สำนักพวกเขาทำสัญญา พวกเขาก็ต่างไม่ได้โต้แย้งอะไร ยังไงซะสำหรับสัญญาแบบนี้มันก็ใช่ว่าพวกเขาจะไม่เคยทำมาก่อนสักหน่อย
หลังจากทำสัญญากันเรียบร้อย หลิงตู้ฉิงก็เริ่มเลือกเหล่าวัสดุจำนวนมากออกมาทำการสร้างค่ายกลให้กับหุบเขาบุปผาอนันต์
และเมื่อหลังจากที่เลือกวัสดุต่าง ๆ เสร็จแล้ว วัสดุที่เหลืออยู่อีกจำนวนหนึ่ง หลิงตู้ฉิง ก็ได้เก็บมันไว้เองสำหรับเป็นค่าจ้างของเขา
แต่เมื่อบรรดาคนของหุบเขาบุปผาอนันต์ได้เห็นเช่นนี้ พวกเขาต่างก็รู้สึกไม่พอใจ พวกเขาต่างพากันคิดก่นด่าในใจ
‘ไอ้คนขี้งกเอ้ย! เห็นกันอยู่ชัด ๆ ว่าพวกเจ้านั้นร่ำรวยกันจะตาย แต่นี่เจ้ายังทำตัวน่าไม่อายมายึดเอาวัสดุล้ำค่าที่เหลือพวกนั้นจากสำนักของเราไปอีกงั้นเหรอ นี่เจ้าเป็นคนที่ต้องการสนับสนุนพวกข้าจริงรึเปล่าเนี่ย?’
อันที่จริงแล้วการที่พวกเขาคิดเช่นนี้มันก็ไม่แปลก แต่สิ่งที่พวกเขาไม่รู้ก็คือ หลิงตู้ฉิงตั้งใจไว้ว่าหลังจากที่เขาได้รับการจ่ายค่าจ้างแล้ว เขาจะถือว่าการแลกเปลี่ยนกลายเป็นเสร็จสมบูรณ์ ซึ่งเขาและสำนักบุปผาอนันต์จะได้ไม่มีอะไรติดค้างกันอีก
หลังจากวางโครงสร้างของค่ายกลจนเสร็จ หลิงตู้ฉิงพูดกับเหวินลู่หยานว่า “เอาสมบัติวิเศษระดับเซียนของเจ้ามาให้ข้า ข้าจะช่วยเจ้าเชื่อมมันเข้ากับค่ายกล ในอนาคตสมบัติวิเศษชิ้นนี้จะมีไว้ใช้สำหรับเปิดใช้งานค่ายกลและด้วยการเกื้อหนุนของสมบัติวิเศษระดับเซียนที่คอยเกื้อหนุนค่ายกล มันจะยิ่งทำให้อำนาจของมันเพิ่มมากขึ้นจนสามารถปลดปล่อยพลังระดับสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ได้”
เหวินลู่หยาน เมื่อได้ฟังคำอธิบายเช่นนี้นางก็เข้าใจทันที และยืนสมบัติวิเศษระดับเซียน ไปให้กับหลิงตู้ฉิงอย่างว่าง่าย
เมื่อค่ายกลทั้งหมดถูกจัดวางอย่างเสร็จสมบูรณ์ หลิงตู้ฉิงจึงเดินกลับเข้าไปในห้องของเขา
ภายในห้อง หลิงตู้ฉิงได้คืนสมบัติวิเศษระดับเซียนให้กับเหวินลู่หยาน
เหวินลู่หยานที่ได้รับสมบัติวิเศษระดับเซียนคืนมาแล้ว นางจึงลองส่งพลังวิญญาณเข้าไปในมันและลองทดสอบเปิดใช้ค่ายกลเล็กน้อย และเมื่อนางสัมผัสได้ถึงพลังอำนาจอันมหาศาลที่ถูกปลดปล่อยออกมา นางก็ถอนหายใจด้วยความโล่งใจ
ด้วยพลังอำนาจของค่ายกลที่ปกป้องสำนักนางที่มีระดับทัดเทียมกับพลังของสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ หากใครต้องการที่จะมารังแกสำนักของนางนับต่อจากนี้ไป คนเหล่านั้นคงต้องคิดทบทวนอยู่หลายตลบหากพวกเขาวางแผนที่จะทำเช่นนั้น
เมื่อผลลัพธ์ทุกอย่างออกมาเป็นเช่นนี้ ลู่เหวินหยานคุกเข่าลงคำนับขอบคุณหลิงตู้ฉิงทันที “ขอบคุณสำหรับความกรุณาของท่าน คุณชาย!”
เนื่องจากที่ค่ายกลได้ถูกจัดวางเสร็จสิ้นแล้ว และสมบัติวิเศษระดับเซียนที่ไว้ใช้ควบคุมมันก็อยู่ในมือนาง นางจึงไม่กลัวหลิงตู้ฉิงจะทำอะไรมิดีมิร้ายกับสำนักนางอีกต่อไป
อย่างมากที่สุด หากมีอะไรเกิดขึ้น นางก็แค่ต้องเปิดใช้ค่ายกลเพื่อสยบเขาเอาไว้ ถึงแม้ค่ายกลนี้จะถูกจัดวางไว้โดยหลิงตู้ฉิง แต่สมบัติที่ไว้ใช้ควบคุมมันก็อยู่กับนาง!
หลิงตู้ฉิงไม่สนใจกับความซาบซึ้งปลอม ๆ ของเหวินลุ่หยาน เขาพูดขึ้นต่อว่า “เอาคัมภีร์วิชาโบราณประจำสำนักเจ้ามาให้ข้า เดี๋ยวข้าจะปรับแต่งมันใหม่และข้าจะมอบวิชาที่ดีกว่าเดิมให้พวกเจ้าไปฝึกฝน”
เหวินลู่หยานมองไปที่หลิงตู้ฉิงด้วยสายตาแคลงใจ หากมันเป็นในเรื่องของการปรับแต่งรูปแบบค่ายกลนางคงจะเชื่อ เนื่องจากนางได้เห็นความสามารถในด้านค่ายกลของเขาแล้ว
แต่ตอนนี้เขากลับบอกว่าจะปรับแต่งวิชาประจำสำนักของนางและสร้างวิชาใหม่ที่ดีขึ้นกว่าเดิมให้พวกนาง?
นี่เขาคิดว่าเขาเป็นใครกัน!
แต่ถึงแม้ว่านางจะคิดในแง่ลบเช่นนั้น นางก็ยังคงมอบคัมภีร์วิชาการบ่มเพาะประจำสำนักบุปผาอนันต์ของนางให้กับหลิงตู้ฉิงอยู่ดี
นางคิดเอาไว้แล้ว ไม่ว่ายังไงซะต่อให้หลิงตู้ฉิงจะมีความคิดชิงคัมภีร์ เขาก็คงไม่สามารถหนีรอดออกไปจากสำนักของนางได้แน่นอน ดังนั้นนางจะต้องไปกลัวอะไร?
หลิงตู้ฉิง ขณะนี้เขามองไปยังเนื้อหาที่อยู่ด้านในคัมภีร์ ‘วิชาบุปผาล่องลอย’ พลางขมวดคิ้วแน่น
เมื่อมองจากความลึกล้ำของวิชานี้แล้ว หลิงตู้ฉิงก็รู้ได้ทันทีว่าทำไมสำนักนี้มันถึงได้อ่อนแอถึงเพียงนี้
หลังจากมองวิเคราะห์มันอยู่นานสองนาน จนเขาเข้าใจวิชาบุปผาล่องลอยนี้อย่างคร่าว ๆ แล้ว เขาจึงคืนคัมภีร์นี้ให้กับเหวินลู่หยาน
“สั่งห้ามอย่าให้ใครมารบกวนข้าภายใน 2 วันนี้!” หลิงตู้ฉิงสั่งขึ้น
เหวินลู่หยาน เมื่อได้ยินเช่นนั้นนางจึงพยักหน้าและเดินออกจากห้องไป โดยที่นางไม่ได้ยึดคำพูดของหลิงตู้ฉิงว่ามันสำคัญอะไรนัก
แต่ทางด้านของโม่เอ๋อ เมื่อเห็นว่าเหวินลู่หยานจากไปแล้ว นางจึงพูดขึ้นด้วยสีหน้าไม่พอใจว่า “นายท่าน เห็นได้ชัดว่าผู้หญิงคนนี้ไม่ไว้ใจท่านเลย ทำไมท่านถึงยังคงช่วยนางกัน?”
หลิงตู้ฉิงยิ้มและตอบว่า “นอกเหนือจากเรื่องที่ข้ากำลังจะให้พวกนางทำ ข้ายังต้องการให้พวกนางเป็นกำลังสนับสนุนให้ลูกของข้าในอนาคตที่เมืองหยูหลันนี้ เอาล่ะ โม่เอ๋อ เจ้าจงออกไปก่อน ใน 2 วันนี้เจ้าอย่าพึ่งมากวนข้า ข้าต้องใช้เวลาอยู่กับตัวเองสักพัก”
ขณะนี้เขาได้เข้าใจเคล็ดคร่าว ๆ ของวิชาบุปผาล่องลอยแล้ว ตอนนี้เขาจึงต้องนำมันผสมผสานเข้ากับวิชาอื่นที่เขารู้จัก และสร้างวิชาขึ้นมาใหม่ที่เหมาะสำหรับเหล่าผู้คนของสำนักบุปผาอนันต์ที่จะใช้มันในการฝึกฝนในอนาคต
ส่วนแนวทางของวิชาใหม่ที่เขาจะสร้างขึ้นให้กับสำนักบุปผาอนันต์นั้น หลักสำคัญที่สุดของมันคือมันจะต้องใช้เป็นกุญแจในการปราบปรามวิญญาณปีศาจที่อยู่ในเมืองหยูหลัน ไม่เช่นนั้นต่อให้จะมีผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากมายลุกขึ้นต่อกรกับวิญญาณร้ายดวงนี้มันก็ไม่มีประโยชน์
และหลิงตู้ฉิงเองก็ไม่สามารถลงมือสังหารมันได้ด้วยตัวเอง เนื่องจากเขาจำเป็นต้องสะกดจิตสังหารตัวเองเอาไว้ ไม่เช่นนั้นหากเขาลงมือสังหารวิญญาณปีศาจที่อยู่ในขอบเขตจักรพรรดิแล้วล่ะก็ เต๋าตู้ฉิงของเขาคงได้พินาศและเขาต้องเริ่มบ่มเพาะมันใหม่ทั้งหมดจากศูนย์
และแล้ว 2 วันก็ผ่านไป
ใน 2 วันที่ผ่านมานี้หลิงตู้ฉิงได้ทำการผสมผสานสุดยอดวิชาที่ไว้ใช้จัดการกับวิญญาณปีศาจตัวนี้โดยเฉพาะเข้ากับวิชาบุปผาล่องลอยจนวิชาใหม่ที่ได้ออกมามันกลายเป็นวิชาที่สุดแสนจะพิสดาร
หลังจากบอกให้คนไปตามเหวินลู่หยานเข้ามาหา หลิงตู้ฉิงได้โยนคัมภีรที่อยู่ในมือเขาไปทางเหวินลู่หยาน และพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “นี่คือวิชาที่ข้าเตรียมไว้ให้คนในสำนักของเจ้าฝึกฝนกันและข้าได้ตั้งชื่อมันไว้ว่า ‘บุปผาสยบมาร’ เจ้าจะเปิดดูมันก่อนก็ได้”
เมื่อได้ยินคำกล่าวของหลิงตู้ฉิง เหวินลู่หยานก็รีบเปิดคัมภีร์วิชาที่พึ่งได้รับมาและนางก็ตกตะลึงในทันที
ด้วยระดับการบ่มเพาะของนางที่อยู่ในระดับหลุดพ้นสามัญ นางจึงมีความเข้าใจในวิถีการบ่มเพาะเป็นอย่างดี ดังนั้นเมื่อหลังจากที่นางเห็นเคล็ดวิชาที่อยู่ในคัมภีร์เล่มนี้แล้ว นางจึงรู้สึกตกตะลึงและตื่นเต้นเป็นอย่างมาก “คุณชาย! นี่ท่านจะมอบวิชาที่ล้ำค่าเช่นนี้ให้กับสำนักของข้าจริง ๆ งั้นเหรอ?”
“มันเป็นของเจ้า แต่ข้าจะต้องให้เจ้าทำอะไรบางอย่างให้ข้าด้วย” หลิงตู้ฉิงส่งยิ้ม
เหวินลู่หยานรีบถามขึ้นทันที “ท่านต้องการให้ข้าทำอะไรงั้นเหรอ?”
“หลังจากที่เจ้าสำเร็จวิชา ‘บุปผาสยบมาร’ นี้แล้ว เจ้าต้องคัดเลือกศิษย์ของสำนักเจ้ามา 3,000 คน จากนั้นภายใน 3 ปี ข้าต้องการศิษย์ของเจ้าทั้ง 3,000 คนนี้ฝึกฝนวิชาบุปผาสยบมารให้ได้ถึงขั้นที่2 และหลังจากที่ฝึกได้ถึงขั้นที่2 แล้วเจ้าจงรอคำสั่งของข้าต่อไป ข้ามีงานสำคัญที่จะให้เหล่าศิษย์ของเจ้าทำ” หลิงตู้ฉิงบอกข้อเรียกร้อง
เหวินลู่หยานยิ้มอย่างกระอักกระอ่วนและพูดว่า “แต่ตอนนี้สำนักของข้ายังมีศิษย์ไม่ถึง 3,000 คนเลยด้วยซ้ำ”
“ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็จงเปิดรับสมัครศิษย์เพิ่มตั้งแต่ตอนนี้ได้แล้ว!” หลังตู้ฉิงพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “นี่คือข้อกำหนดของข้า หากเจ้าไม่สามารถทำตามข้อกำหนดของข้าได้ เจ้าก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะมีความสุขกับสิ่งที่ข้ามอบให้!”
เหวินลู่หยานนิ่งคิดอยู่สักพัก ก่อนที่นางจะพยักหน้าและตอบกลับ “ไม่ต้องกังวล พวกเราจะทำตามข้อกำหนดของท่านให้สำเร็จได้อย่างแน่นอน เดี๋ยวข้าจะออกไปสั่งให้บรรดาผู้อาวุโสของสำนักเปิดรับสมัครศิษย์ใหม่เพิ่มทันทีอีก 2,000 คน!”