1853-2 vs 1853-3 vs 1854 โดย Ink Stone_Romance

ตอนที่ 1853-2

อวิ๋นหู่พูดพลางเดินขึ้นบันได เสียงยังคงไม่เปลี่ยนแปลง “ช่วงนี้ก็คงเป็นอย่างนี้ไปก่อน”

“อย่า อย่าดิ” มู่หรงอานได้ไอเดียขึ้น “นายอยากจะ…นั่นไม่ใช่เหรอ?”

อวิ๋นหู่ขมวดคิ้ว “พูดดีๆ นั่นน่ะคืออะไร”

“หลินกรุ๊ปไง” มู่หรงอานพุ่งประเด็นสำคัญ “ช่วงนี้หลินเฟิงวิ่งเต้นเรื่องโครงการก่อนสร้างไม่ใช่เหรอ พวกเขาอยากร่วมลงทุนกับพวกเรามาก เป็นไง? สนใจปะ?”

เวลานี้อวิ๋นหู่เปิดประตูห้องพักพอดี พบว่าข้างในว่างเปล่า คนที่นั่งที่โต๊ะก่อนหน้านี้หายไปไหนแล้วก็ไม่รู้ ห้องว่างเปล่าราวกับลมยังพัดเข้ามา เขาปิดประตู หลุบตาดูช่องเก็บกระเป๋าสัมภาระ และพบว่ามันว่างเปล่า…เจ้านั่นคิดจะทำอะไร?

“ฮัลโหลๆๆ นายยังฟังฉันอยู่หรือเปล่า? ลูกพี่” มู่หรงอานถือมือถือเอาไว้ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่นั่น พอคิดจะเอ่ยเสียงดังกว่าเดิม ปลายสายก็ส่งเสียงออกมา ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอากาศในฤดูหนาวหรือไม่ ถึงทำให้เสียงดูเย็นกระด้าง “เรื่องธุรกิจที่ทำร่วมกันเมื่อกี้ ฉันตกลง”

มู่หรงอานไม่คิดว่าจะสำเร็จได้ง่ายเพียงนี้ แม้จะเดาออกว่า หากเอ่ยชื่อคนคนหนึ่งแล้วจะได้ผล แต่จากที่เขาเข้าใจ คนอย่างอวิ๋นหู่ที่แม้จะเป็นเช่นนี้ แต่ไม่น่าจะดึงตัวให้มาร่วมงานกันได้ง่ายๆ

ทว่าเวลานี้! แม้มู่หรงอานไม่รู้ว่าสถานการณ์ปลายสายเป็นอย่างไร แต่ในบางมุม เขาเหมือนได้รับขนมเปี๊ยะที่ตกลงมาจากฟากฟ้าเลยทีเดียว “ดีจังเลย ฉันจะให้ลูกน้องปล่อยเงื่อนไขให้ผ่อนคลายกว่านี้”

 “ไม่ต้อง” อวิ๋นหู่มองดูช่องวางกระเป๋าที่ว่างเปล่า “เงื่อนไขตามปกติไปแล้ว แค่เพิ่มขึ้นข้อหนึ่ง”

“หือ?”

“ให้หลินเฟิงมาคุยเอง แล้วอย่าบอกเขาว่า ฉันเป็นคนรับผิดชอบ”

มู่หรงอานเข้าใจทันที “ได้เลย นายสบายใจได้ ฉันจะจัดการให้”

อวิ๋นหู่วางสายลง นั่งลงที่เก้าอี้ของหอพัก รู้สึกว่ามันเย็นมาก เขาให้เจ้านั่นรอเขา แต่เจ้านั่นกลับขนของหนีเฉยเลย เห็นได้ชัดว่าคิดจะย้ายออกไปข้างนอกแน่ อันที่จริงด้วยสถานภาพของพวกเขา จะย้ายไปอยู่ข้างนอกก็ย่อมได้ แค่ทำเรื่องเสนออาจารย์ก็พอ

หากอยู่ปีสาม การทำเรื่องย้ายออกจากหอในเป็นเรื่องง่าย เพราะนักศึกษาของมหาวิทยาลัย A ล้วนแต่มีเหตุผลมากมายก่ายกอง แค่อาจารย์ไม่อนุญาตให้อวิ๋นหาออกไปเท่านั้น ไม่อย่างนั้นก็เหมือนอย่างที่มู่หรงอานว่าไว้นั่นแหละ หากปล่อยผู้ชายคนนี้ออกไป ก็มีหวังได้เป็นประธานผู้บริหารที่ไหนสักแห่ง แถมหน้าแบบนี้ ใครบ้างที่ไม่รู้จัก ที่สำคัญที่สุดคือเจ้าตัวไม่อยากไปไหนเอง มู่หรงอานรู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี ด้วยหนึ่งเพราะทีมไดมอนด์ สองเพื่อจะได้อยู่เป็นเพื่อนกับใครบางคน

อวิ๋นหู่เคยบอกว่า ‘ถ้าไม่เป็นเพราะเขาหรือถ้าเขาไม่อยู่ข้างฉัน ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะกลายเป็นคนแบบไหน’

อวิ๋นหู่พูดเรื่องนี้เมื่อตอนอยู่ในงานปาร์ตี้แห่งหนึ่ง ขวดเหล้ากองนอนบนพื้น เหลือเขาคนเดียวที่ยังครองสติไว้อยู่ คงเพราะเหตุนี้ คนที่รู้สักเขาดีจะรู้ว่าเขาเป็นคนอารมณ์ร้าย หาใช่คนดีมาแต่ไหนแต่ไร โดยเฉพาะตอนที่เขายังเด็กอยู่ ตระกูลอวิ๋นกลัวว่าเขาดื้อมากเกินไป อาจกลายเป็นคนเลวได้ในอนาคต อันที่จริงอวิ๋นหู่ดูเป็นคนนิ่งขรึม แต่เข้ากับทุกคนได้ คุณท่านอวิ๋นยังเคยบอกว่า ถ้าเลี้ยงดีๆ เด็กคนนี้จะเป็นบุคลากรชั้นยอด แต่หากเลี้ยงไม่ดี เกรงว่าจะกลายเป็นตัวปัญหาที่ทั้งตระกูลต้องปวดหัว

 ……………………………………………..

ตอนที่ 1853-3

หากเขาเกลียดใครสักคน ก็จะใช้วิธีที่ชั่วร้ายจัดการอีกฝ่าย เขามักปฏิบัติต่อคนอื่นอย่างมีมารยาท ไม่เคยเก็บใครมาใส่ใจ ไม่คิดอะไรที่เด็ดขาด

จนเมื่อหลินเฟิงปรากฏตัวขึ้น ตอนนั้นหลินเฟิงตัวโตกว่าอวิ๋นหู่ แถมยังหน้าตาสวยมาตั้งแต่เด็ก เมื่อพบกันครั้งแรก อวิ๋นหู่ก็มีความอดทนต่ออีกฝ่ายมาก เพราะเป็นคนชอบของสวยๆ งามๆ ไม่ว่าจะเป็นของหรือคน ทว่าเวลานี้เขาคิดว่าเขาชอบหลินเฟิงเพราะอีกฝ่ายหน้าตาสวย แต่นานวันเข้า เขาก็รู้สึกว่าไม่ใช่

ต่อให้เจ้าเพื่อนคนนี้เล่นบาสเก็ตบอลจนมือเปื้อน เขาก็ไม่สน หรือหากเพื่อนไปเกิดทะเลาะวิวาทจนเสียโฉม เขาก็แค่อยากอัดคนที่หลินเฟิงทะเลาะด้วยให้หมอบ เขารู้สึกว่าแค่นั่งเล่นเกมซูเปอร์มาริโอ้ด้วยกันสองคนก็มีความสุขแล้ว ทั้งนี้เด็กวัยห้าขวบคบหากัน จะเรียบร้อยสงบเสงี่ยมได้อย่างไร ยังไงก็ต้องเตะกันคนละทีบ้าง จากนั้นก็กลับมมาดื่มนมแก้วเดียวกันในวันต่อมา

อวิ๋นหู่รู้สึกว่าอีกฝ่ายดูดีขึ้นเรื่อยๆ ดูดีจนแม่เขายังพูดว่า ‘ถ้าหลินเฟิงเป็นเด็กผู้หญิงก็ดีสิ ดูสองคนนี้อยู่ด้วยกันแล้วน่ารักจะตาย ขนาดกินข้าวก็ยังพร้อมกันเลย’

แถมตอนที่สวมถุงมือให้ก็ยังว่า ‘ไปเล่นกับหลินเฟิงอีกแล้วล่ะสิ? เด็กคนนี้ มีแต่หลินเฟิงที่ทำให้เล่นด้วยได้ คุยกันได้ บ้านคุณหลี่ร้องห่มร้องไห้มาตั้งสามวันแล้ว ก็แค่ทำตัวจอยสติกของเกมพังเอง ลูกก็ไม่เล่นกับเขาแล้ว ทีหลินเฟิงทำพังตั้งหลายอัน ไม่เห็นลูกจะเป็นอย่างนี้เลย’

ใช่ว่าเด็กบ้านตระกูลหลี่จะหน้าตาไม่สวย เรียกได้ว่าเหมือนตุ๊กตาฝรั่งเลยทีเดียว แต่เขารู้สึกว่าเจ้าเด็กที่อ้าปากหาวอยู่น่ารักจะตาย โดยเฉพาะตอนที่เขาโดนอีกฝ่ายปกป้อง ยิ่งทำให้ลืมได้ยาก แต่ตอนนี้เจ้านั่นคงไม่คิดจะปกป้องเขาอีกแล้ว ถึงได้ย้ายออกไปอยู่ข้างนอก อวิ๋นหู่นั่งที่เดิม ไม่รู้ว่ายิ้มอยู่หรือว่าเป็นอย่างไร เพราะมุมปากคว่ำลง มองดูจากที่ไกลๆ แล้วท่าทางอ้างว้างมาก…

ส่วนอีกด้านหนึ่ง คุณแม่หลินเห็นลูกชายกลับบ้านก็แปลกใจ “ทำไมกลับมาเวลานี้ล่ะ? แถมยังเอาของกลับมาเยอะด้วย?”

“อืม พรุ่งนี้ไม่มีเรียนฮะ” หลินเฟิงตอบมั่วๆ “ยังมีอีกโปรเจคหนึ่งที่ต้องทำครับ อยู่ที่นี่จะใกล้กับบริษัทมากกว่า ก็เลยกลับมาก่อน แล้วผมจะไปบอกอาจารย์อีกที”

คุณแม่หลินมองดูหลินเฟิง “ลูก ถึงจะไม่รู้สึกว่าลูกไม่มีปัญหา แต่ลูกต้องระวังเรื่องการเรียนบ้าง”

“รู้แล้วครับ” หลินเฟิงเก็บสัมภาระตัวเอง

คุณแม่มองออกไปข้างนอก “ลูกมาคนเดียวเหรอ?”

“ฮะ” หลินเฟิงปลดผ้าพันคอออก

คุณแม่เลิกคิ้ว “แล้วหู่ล่ะ เขาอยู่ห้องเดียวกับลูกนี่นา? พวกลูกโตมาด้วยกัน อย่าบอกนะว่าทะเลาะกัน?”

“เปล่าฮะ คุณหญิงแม่” หลินเฟิงจนปัญญา “แม่อย่าเอาแต่มโนเป็นเรื่องทำนองเดียวกันกับละครสิ ผมจะไปทะเลาะกับเขาได้ยังไง”

คุณแม่หลินพยักหน้า “ใช่ หู่เป็นเด็กน่ารักจะตาย ถ้าลูกยังเที่ยวหาเรื่องอย่างนี้อีก ต่อไปจะไม่มีใครคบนะ”

หลินเฟิง… ตกลงใครกันแน่ที่เป็นลูกแท้ๆ

คุณแม่หลิน “งั้นลูกบอกมาซิว่า ในเมื่อพวกลูกไม่ได้ทะเลาะกัน แล้วทำไมลูกถึงกลับเอง ถ้าแม่จำไม่ผิด ตอนนี้หู่น่าจะอยู่ที่มหาวิทยาลัยนะ”

หลินเฟิงชะงัก “เขามีเดทอะ ผมไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไรหรอก คงต้องรบกวนคุณแม่ให้ถอยก่อน เพราะลูกชายแม่กำลังเหนื่อยมาก อยากขึ้นไปนอนแล้ว”

……………………………………………..

ตอนที่ 1854

คุณแม่หลินเห็นว่าวันนี้สภาพของลูกชายดูจะไม่ปกติ ยังนึกว่าเพราะลูกต้องวิ่งทั้งทางมหาวิทยาลัยและบริษัทจึงเหนื่อยมาก บวกกับการแข่งขันเพิ่งจะจบ ลูกเธอคงอยากพักมาก จึงไม่ถามอีก

หลินเฟิงหิ้วกระเป๋าเดินทางขึ้นไป ยังไม่จัดการเสื้อผ้าก็ทิ้งตัวเองนอนบนเตียง ก่อนหน้านี้ตระกูลหลินย้ายออกจากเขตทหารไปแล้ว คนข้างบ้านเขาจึงไม่ใช่ตระกูลอวิ๋น และคงเพราะความแตกต่างที่เป็นอยู่ ทำให้กลายเป็นแบบนี้

ยังดีที่การแข่งขันสิ้นสุดแล้ว แต่กระนั้น การสิ้นสุดยังมีความหมายอีกชั้นหนึ่ง หมายความว่าการได้เจอกันบ่อยคงหยุดลงที่ตรงนี้ เมื่อก่อนยังอาจติดต่อกันได้โดยอาศัยการแข่งขัน แต่ต่อไปจะอาศัยเหตุผลอะไรติดต่อกันอีกล่ะ

โลกของผู้ใหญ่มักต้องมีอะไรบางอย่างให้พูดกัน ถ้าเป็นการรู้จักกันในภายหลัง ช่องว่างอาจไม่เยอะเช่นนี้ แต่ดันคบกันมาตั้งแต่เด็กจนโตนี่สิ

หลินเฟิงหลับตาลง แต่มาคิดตอนนี้ก็ช้าไปแล้ว การรักษาระยะห่างไว้อย่างเหมาะสมจะดีกว่า เดาว่าต่อไปคงได้เจอกันที่คลับของฉินกรุ๊ปเท่านั้น

คุณแม่หลินมองดูอยู่นอกประตู นอนเร็วขนาดนี้? คงเพราะปกติหลินเฟิงไม่ค่อยมีปัญหาในใจ ดังนั้นจึงไม่มีใครนึกว่าเขาเป็นคนคิดอะไรลึกซึ้ง

หลังจากสิ้นสุดการแข่งขัน ชีวิตของแต่ละคนก็แตกต่างกันไป

เซวียเหยาเย่าก็เช่นกัน เธอยืนใต้ฝักบัว ต้องการล้างคราบไคลจากตัวให้สะอาด แต่กลับเห็นรอยประทับบางอย่างที่ยากจะขจัดทิ้ง ยังดีที่ท้องฟ้ายังไม่มืดค่ำมาก ตอนนี้เธอเคยชินแล้ว เมื่อต้องใช้ชีวิตในรูปแบบหนึ่งมานาน ย่อมต้องเคยชิน เช่นตอนนี้ เธอสามารถสวมเสื้อผ้าทีละชิ้นต่อหน้าเขาได้อย่างเฉยเมย หากเป็นเมื่อก่อน คงเป็นเรื่องที่เธอไม่กล้าแม้แต่จะคิดแน่นอน

สัญญาระหว่างเธอและเขาใกล้จะสิ้นสุดลง รอจนเธอเข้ามหาวิทยาลัยได้แล้ว ทุกอย่างก็จบลง ถึงเวลานั้นคงจะไม่มีเรื่องวุ่นวายมากมายอีกแล้ว เซวียเหยาเย่าเอาเสื้อขนเป็ดตัวยาวมาสวม ทำให้ดูไม่สะดุดตา แต่พอจะดูออกว่าเสื้อขนเป็ดตัวดังกล่าวหลวมลงเท่าตัว

เจียงจั่วเปลือยท่อนบน พิงหลังกับหัวเตียง คีบบุหรี่ไว้ระหว่างนิ้ว หากมองชายหนุ่มจากมุมนี้จะเห็นสีหน้าไม่ชัด แต่เขากลับมองเห็นเธอชัด นับตั้งแต่ที่รู้จักกันมา เธอเปลี่ยนไปเยอะมาก ตอนนั้นเขายังไม่เคยคิดว่าเธอจะผอมลงได้ แถมยังผอมลงมากโข

เจียงจั่วหงุดหงิดขึ้นมาอย่างน่าประหลาด โดยเฉพาะเมื่อเห็นเธอสวมเสื้อขนเป็ดที่หลวมโพรก นึกถึงตอนที่เธอกินแอปเปิลลูกเดียวเป็นอาหารเที่ยง ต้องทำถึงขนาดนี้เลยเหรอ

 ดังนั้นหลังจากที่มองแผ่นหลังของเธอ เจียงจั่วก็เคาะเถ้าบุหรี่บนถาดรอง เอ่ยพูดด้วยรอยยิ้มบางเบา “คิดจะทำแบบนี้ตลอดไปเลยเหรอ?”

เซวียเหยาเย่าหยุดฝีเท้า หันมามองเขา ดวงตาฉายแววสงสัย

“ผอมเพราะอยากสวย” ไม่เคยมีใครมองคนอย่างเจียงจั่วออก เมื่อก่อนเป็นอย่างไร เดี๋ยวนี้ก็ยังเป็นเหมือนเดิม สีหน้าของเซวียเหยาเย่าชืดชา เธอไม่โต้เถียง เธอและเขาเป็นอย่างนี้มาตลอด ไม่ทะเลาะกัน แต่เห็นหน้าก็สนิทชิดเชื้อ เมื่อสนิทกันเสร็จก็ต่างคนต่างกลับบ้าน กระทั่งมาเจอหน้าบนโต๊ะอาหารในวันต่อมา ก็ยังแสดงท่าทีของพี่น้องอย่างมีมารยาทต่อกันได้

ช่วงนี้แม่เบิกบานใจมาก บรรยากาศตระกูลเจียงพลอยดีขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน แต่ตั้งอยู่บนเงื่อนไขที่ว่า เธอจะต้องเชื่อฟังเขาเสมอ…

…………………………………………………