ขวานดำในมือชูฮันฟาดฟันใส่ซอมบี้ที่พบเจอระหว่างทางไม่หยุดหย่อนร่างของซอมบี้ร่วงโรยราวกับดอกไม้ที่โรยราจากกิ่ง หัวของซอมบี้ระเบิดราวในอากาศกับลูกโป่งน้ำถูกเจาะ ความเร็วก็รวดเร็วอย่างมากจนมองตามไม่ทัน เพียงแค่พริบตาเดียวร่างของชูฮันก็ไปปรากฏตัวอีกจุดห่างออกไปไกลสิบเมตรแล้ว
มีซอมบี้มากมายพยายามวิ่งไล่ตามหลังชูฮันมาแต่เนื่องด้วยพวกมันเป็นแค่ซอมบี้ระยะต่ำจึงไม่สามารถไล่ตามความเร็วของชูฮันได้ทัน จึงทำได้แต่หากปากร้องคำรามอย่างหงุดหงิด
และมันก็มีเสือชีต้าวิ่งประกบคู่กับชูฮันขึ้นมาแววตาของมันจับจ้องมาที่ชูฮันด้วยความสงสัยและมีร่องรอยความกลัวจางๆให้เห็น
ชูฮันไม่สนใจสถานการณ์โดยรอบเลยเขานิ่วหน้าใส่เสือชีต้าและพูดขึ้น “แกเข้าใจภาษาคนมั้ย? ช่วยวิ่งให้ไวกว่านี้ได้มั้ย?” ความเร็วและพละกำลังที่ใช้ไปก่อนหน้านี้มันยังไม่ถึงครึ่งของขีดจำกัดความสามารถที่ชูฮันมีเลยด้วยซ้ำถ้าต้องการจัดการต้นตอปัญหาคลื่นซอมบี้มหาศาลพวกนี้ให้เร็วที่สุด เขาจะต้องรีบกว่าเดิมอีกเท่าตัว
แน่นอนว่าเสือชีต้าไม่เข้าใจสิ่งที่ชูฮันพูดเลยสักนิดและเป็นเพราะความสับสนที่เกิดขึ้น ความเร็วของมันจึงตกลงเล็กน้อย
หวังไคที่อยู่ในกระเป๋าชูฮันมาตลอดอดไม่ได้ที่จะแหกปากบ่นออกมา”ชูฮัน ฉันไม่เข้าใจ แล้วก็มีแค่หลูปิงเซ่อคนเดียวที่สามารถติดต่อกับสัตว์พวกนี้ได้ อยากจะบ้าตาย!”
”ไม่เป็นไร”ชูฮันตอบกลับหวังไคผ่านทางความคิด
ในตอนนี้ชูฮันมีความชั่วร้ายเต็มขั้นจิตสังหารปะทุขึ้นสูงสุด พลังผันผวนที่ระเบิดออกมาอย่างรุนแรงจนทำให้เสือชีต้ากลัวพร้อมตะคอกใส่ “กูบอกให้ไวขึ้นไง!”
พั้วะ! แรงระเบิดอัดแน่นที่กระแทกใส่เสือชีต้าจนมันส่งเสียงร้องและวิ่งหนีไปด้วยความเร็วขึ้นเป็นเท่าตัวมันพยายามวิ่งหนีเอาชีวิตรอดอย่างสิ้นหวัง!
หวังไคตะลึงค้างเมื่อเห็นชูฮันวิ่งไล่ล่าเสือชีต้า”ธรรมชาติของสัตว์ก็เหมือนกับคน หนีความเพื่ออยู่รอด”
เป็นอีกครั้งที่หวังไครู้สึกหวาดกลัวอยู่ในใจลึกๆกับความคิดที่ไม่สามารถเข้าใจได้ของชูฮัน…แม้แต่สัตว์ที่ไม่สามารถสื่อสารได้ยังถูกคุกคาม!
เมื่อชูฮันบังคับให้เสือชีต้าวิ่งสุดกำลังของตัวเองเพื่อความอยู่รอดได้แล้วในขณะเดียวกันเขาก็ได้หายตัวไปเงียบๆเป็นเวลาหลายวัน
และเสี่ยวเย่ที่ทุกคนลืมไปจนสนิทก็ได้ปรากฏตัวขึ้นตรงพื้นที่กว้างแห่งหนึ่งบนเนินเขา
ในตอนนี้สีหน้าของเสี่ยวเย่มีแต่ความวิตกกังวลหัวใจเต้นรัวแรง หน้าตาเปรอะเปื้อนไปด้วยดินโคลน เนื้อตัวมอมแมมไม่เหลือสภาพเดิมเลย ช่างน่าอับอายยิ่งนัก
ในขณะที่เสี่ยวเย่กำลังเป็นกังวลอยู่นั่นจู่ๆพื้นเนินดินซึ่งเป็นดินลาดชันก็เกิดการขยับตัว จากนั้นก็หดตัวและค่อยๆหายไป ไม่ถึงสิบนาที…ในที่สุดทางลาดชันก่อนหน้านี้ก็ได้หายไปอย่างสิ้นเชิง ทิ้งไว้เพียงแค่หลุมลึก
เสี่ยวเย่ที่เห็นภาพตรงหน้าไม่มีความกลัวใดๆแสดงออกมาเลยกลับกันเขามีท่าทีประหลาดใจและคุกเข่าลง ก้มหน้าตะโกนลงไปที่หลุมตรงหน้า “ท่านซาวชุนฮุย?”
หลังจากเสียงของเสี่ยวเย่หายไปในอากาศมันก็มีเสียงขยับของเฟืองกลดังขึ้น
”กึก!ตึง! กือ! กึก! ปึง!”
”ตึง!”
หลังจากเสียงเฟืองทำงานมันก็มีลิฟต์ขนาดใหญ่ขยับขึ้นมาด้านบนภายในตัวลิฟต์บรรจุไปด้วยคนหลายคนซึ่งอยู่ในชุดคลุมสีหน้า มีทั้งผู้ชายผู้หญิง คนแก่และคนหนุ่ม และชายที่ยืนอยู่ท่ามกลางทุกคนอายุราว 30 ก็คือซาวชุนฮุยผู้มีชื่อเสียงนั่นเอง! novel-lucky
ซาวชุนฮุยและคนอื่นๆแต่งกายด้วยชุดคลุมสีขาวตามมาตรฐานของเจ้าหน้าที่สถาบันวิจัยใบหน้าของซาวชุนฮุยมีรอยยิ้มจางๆ ผิวพรรณดูสุขภาพดี ท่าทางโดยรวมดูเข้าถึงได้ง่าย
ทันทีที่ได้เห็นซาวชุนฮุยเสี่ยวเย่ก็ตื่นเต้นจัด พุ่งตัวเข้าไปจับมือซาวชุนฮุยด้วยความดีใจ “ท่านประธานซาว! ในที่สุดท่านก็ปรากฏตัว!”
รอยยิ้มบนหน้าของซาวชุนฮุยหายไปชั่ววินาทีก่อนจะกลับมาอีกครั้งเขาไม่ได้ขยับมือจับตอบแต่ชักมือออกจากเสี่ยวเย่เนียนๆอย่างรังเกียจ
เสี่ยวเย่ไม่ทันสังเกตเห็นรายละเอียดท่าทางของซาวชุนฮุยแต่แล้วจู่เขาก็สังเกตเห็นคนคนหนึ่งที่ด้านหลังซาวชุนฮุย คนคนนี้นั่งอยู่บนเก้าอี้รถเข็น การแต่งตัวและสภาพไม่ได้ดีไปกว่าตัวเสี่ยวเย่เลย ท่าทางดูจะตายมิตายแหล่ เหมือนถูกอดอาหารจนจะตายในอีกไม่นาน
เสี่ยวเย่ที่ไม่มีความกลัวเกรงใดๆไม่เข้าใจถึงมารยาทและความเหมาะสม เขาโพล่งถามสิ่งที่อยากรู้ออกมาทันที “ท่านซาว คนพิการนี้คือใครครับ?”
คนพิการ…
คนพิการที่นั่งอยู่บนเก้าอี้รถเข็นก็คือฮูเหมิงฮาวที่เนื้อตัวเปียกโชกมือกำหมัดแน่น สีหน้าโกรธแค้นเต็มไปด้วยจิตสังหารแรงกล้า
คนที่เหลือในชุดของสถาบันวิจัยนิ่วหน้าสายตาจับจ้องไปที่เสี่ยวเย่ด้วยความไม่พอใจ คิ้วของซาวชุนฉุยขมวดเข้าหากัน หากก็เลือกที่จะแนะนำทั้งสองให้รู้จัก “นี้คือรองประธานของสถาบันวิจัยของเราและเป็นผู็ช่วยและนักเรียนของฉันเอง…ฮูเหมิงฮาว”
จากนั้นซาวชุนฮุยก็หันไปพูดกับฮูเหมิงฮาว”นี้คือเสี่ยวเย่ คนให้ข้อมูลที่เราติดต่อไปลงทุน” เมื่อได้ยินว่าคนที่อยู่บนเก้าอี้รถเข็นนั้นจริงๆแล้วเป็นถึงรองประธานเสี่ยวเย่ก็ช็อคและรีบตะโกนขอโทษอีกฝ่ายทันที “สวัสดีครับท่านรอง เป็นเพราะสายตาที่แย่ของผมเองครับ!”
ฮูเหมิงฮาวไม่พูดอะไรตอบหากมองซาวชุนฮุยด้วยสายตาคลุมเครือ
หลังจากได้คุยกับชูฮันและอยู่ที่อุโมงค์ใต้ดินของค่ายหนานตู้ต่อ แม้ว่าจะเกิดเหตุการณ์ขึ้นแต่ฮูเหมิงฮาวที่เตรียมตัวพร้อมไว้อยู่แล้วก็ไม่ได้หวาดกลัวอะไรกับสิ่งที่เกิดขึ้น
ชูฮันกล้าที่จะเผาสถาบันวิจัยค่ายหนานตู้!
อย่างไรก็ตามแม้ว่าจะมันเป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายสุดๆ แต่จะบอกก็ได้ว่าผลลัพธ์ที่ตามมานั้นค่อนข้างดีเลยทีเดียว แทบจะทันทีที่ซาวชุนฮุยได้รับข่าวไฟไหม้ที่สถาบันวิจัย ซาวชุนฉุยก็รีบมารับตัวฮูเหมิงฮาวที่ยังมีชีวิตอยู่ที่อุโมงค์ใต้ดินไปภายในคืนนั้นทันที
ดังนั้นในตอนนี้ ฮูเหมิงฮาวจึงอยู่กับกลุ่มคนของสถาบันวิจัยซาว และฮูเหมิงฮาวก็พึ่งได้รู้ข้อมูลว่าซาวชุนฮุยได้ก่อตั้งฐานลับเป็นอุโมงค์ขนาดใหญ่ใต้พื้นที่ร้างว่างบนเนินเขามาตลอดเวลามี่ผ่านมา
มันเป็นเหมือนกับอุโมงค์น้ำใต้ดินทางเดินยาวในยุคศิวิไลซ์การก่อสร้างของอุโมงค์ใต้ดินนั้นยิ่งใหญ่และสุดยอดมาก ฮูเหมิงฮาวไม่รู้เลยว่าถูกพามาที่ไหนและไม่รู้ว่าเส้นทางใต้ดินนี้มันเชื่อมต่อลากยาวไปถึงไหนบ้าง
แต่แค่สิ่งนี้ยังไม่มากพอที่จะทำให้ฮูเหมิงฮาวกลัวซาวชุนฮุยมีกำลังทรัพย์มากขนาดไหนกันถึงสามารถสร้างเส้นทางใต้ดินใหญ่ขนาดนี้ได้ในยุคโลกาวินาศได้รวดเร็วขนาดนี้?
ใครคือคนที่บงการอยู่ข้างหลังซาวชุนฮุย!
ในเวลาเดียวกันฮูเหมิงฮาวก็ยิ่งเริ่มมีความมุ่งมั่นที่จะจัดการซาวชุนฮุยมากยิ่งขึ้น ตัวซาวชุนฮุยนั้นไม่ได้สังเกตถึงอารมณ์ของฮูเหมิงฮาวที่มีต่อตัวเองเลยตอนนี้เขากำลังไม่พอใจเสี่ยวเย่อยู่และคิดว่าตัวเองเข้าใจฮูเหมิงฮาวดีทุกอย่างอยู่แล้ว จึงเลือกที่จะไม่สนใจฮูเหมิงฮาวและมองแต่เสี่ยวเย่ “ทำไมถึงเป็นคุณมาแทน?”
ฮูเหมิงฮาวหูผึ่งเต็มที่พยายามฟังที่ทั้งสองพูดคุยเพราะใจความสำคัญกำลังจะมา!