ตอนที่ 225 ฝ่าบาททรง ‘ประนีประนอม’ ?

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

ซูเม่ยว่าพลาง ก็โผเข้าไปที่ข้างกายจีเฉวียน นางลูบท้องตนเอง ทำท่าทำทางออดอ้อนออกมา “ฝ่าบาท องค์ชายน้อยไม่สบายพระองค์ เอาแต่ทำหม่อมฉันเจ็บตลอดเลยเพคะ” 

 

 

ผู้คนทั้งหลาย “!!!” 

 

 

หากว่าพวกเขาจำได้ไม่ผิดละก็ ฝ่าบาทพึ่งจะทรงประกาศเรื่องที่หวงกุ้ยเฟยทรงพระครรภ์ไปเมื่อไม่กี่วันมานี้เองไม่ใช่หรือ? 

 

 

องค์ชายน้อยสมควรตัวไม่ใหญ่ไปกว่านิ้วแม่มือละมั้ง ยังจะทำให้นางเจ็บปวดได้อย่างไร? 

 

 

ซูกุ้ยเฟยตั้งพระทัยจะมาหาเรื่องชัดๆ! 

 

 

นับตั้งแต่ที่หวงกุ้ยเฟยผู้นี้ตั้งครรภ์ นางก็ปิดประตูอยู่แต่ในตำหนักชุ่ยเวยมาโดยตลอด นี่จะต้องเป็นเพราะนางได้ข่าวว่าองค์หญิงแคว้นเหยียนมาถวายสมบัติและจะอภิเษกให้ฝ่าบาท ถึงได้ร้อนใจขึ้นมา 

 

 

ดังนั้นจึงฉวยโอกาสที่คืนนี้ในวังเกิดความวุ่นวาย ออกมาสำแดงศักดานุภาพให้องค์หญิงแห่งแคว้นเหยียนได้ประจักษ์เสียก่อน 

 

 

“ฝ่าบาทเพคะ องค์หญิงแคว้นเหยียนอะไรนั่น เห็นอยู่ชัดๆ ว่าไม่มีความประสงค์ดี คิดจะทำร้ายครรภ์มังกรของหม่อมฉัน พระองค์ต้องทรงจัดการให้หม่อมฉันนะเพคะ!” ซูเม่ยกล่าวอย่างไม่มีอาย ทั้งยังกระตุกชายฉลองพระองค์ ด้วยลีลาสนมรักตัวร้าย 

 

 

ขณะที่กระตุกชายแขนฉลองพระองค์ เขาก็แอบมองดูตู๋กูซิงหลันในอ้อมพระหัตถ์อยู่หลายรอบ 

 

 

เห็นริมฝีปากนางมีเลือดไหลซึมออกมา หัวใจของเขาก็เจ็บปวดจนเต้นผิดจังหวะ 

 

 

เคราะห์กรรมเข้าหาแล้วจริงๆ นับตั้งแต่ที่บิดามารดาผู้ประเสริฐรู้ว่าเขา ‘ตั้งครรภ์แล้ว’ ก็เอาแต่ร้องไห้คร่ำครวญ มารดายิ่งร้องไห้ไปควานหาเชือกจะเอามาผูกคอตาย 

 

 

วันนี้ยิ่งอาละวาดกันยกใหญ่ ตลอดหลายวันนี้เขาต้องคอยเฝ้าอยู่แต่ในพระตำหนักของหย่งเฉิงอ๋อง ถึงพอจะปลอบใจพวกเขาได้บ้าง 

 

 

หากมิใช่ว่าคืนนี้ในวังเกิดเรื่องอึกทึกคึกโครม เกรงว่าตอนนี้เขาก็คงยังอยู่ในตำหนักอ๋อง 

 

 

พอกลับถึงตำหนักตนเองก็ได้ยินหยู่ฟู่นางกำนัลคนสนิทบอกเรื่องที่เกิดขึ้นมาอย่างคร่าวๆ 

 

 

เขาไม่ต้องใช้เท้าคิดแทนหัวก็รู้แล้วว่า อาหลันเกิดเรื่อง 

 

 

ดังนั้นจึงรีบมาให้ความช่วยเหลือ และถือโอกาสหอบหิ้วไอ้ไก่ปัญญาอ่อนนั่นมาด้วย 

 

 

ตอนนี้พอมองเห็นนางนอนอ่อนเปลี้ยอยู่ในอ้อมแขนของฮ่องเต้ หัวใจของเขาก็เหมือนมีเลือดไหลออกมา 

 

 

ครั้งก่อนเป็นเพราะไอ้เฒ่าศพคืนชีพผู้นี้ นางจึงได้รับบาดเจ็บ โดนพิษ ทั้งยังเกือบแยกจิตออกจากร่าง 

 

 

ครั้งนี้ก็เป็นเพราะไอ้ตัวประหลาดนี้อีก ทำให้นางเกือบตาย! 

 

 

ดวงตาของซูเม่ยเปล่งประกายสีแดงออกมาจางๆ 

 

 

คนที่ทำร้ายอาหลัน! ไม่อาจปล่อยไปแม้แต่ผู้เดียว! 

 

 

ตู๋กูซิงหลันถูกจีเฉวียนกอดไว้ ทั้งยังไม่อาจเงยหน้าขึ้นมามองเขา พอได้ยินคำพูดของซูเม่ยเมื่อครู่ นางก็ชักจะเป็นห่วงหลานชายของตนเองขึ้นมา 

 

 

เห็นๆ อยู่ว่าอีกเพียงแค่แปดเก้าเดือนนางก็จะมีหลานน่ารักไร้ที่ติอีกคนหนึ่ง ยามปกตินางก็แทบจะยกซูคนงามให้เป็นบรรพบุรุษของตนเองอยู่แล้ว นางจะยอมให้ซูเม่ยรู้สึกไม่สบายเนื้อไม่สบายตัวขึ้นมาได้อย่างไรกัน? 

 

 

แต่เพราะจีเฉวียนมีเรี่ยวแรงมากเกินไป กอดแน่นไม่ยอมให้นางได้หันหน้าไปดูบ้างเลยสักนิด 

 

 

ฮ่องเต้ทรงกวาดพระเนตรมามองดูซูเม่ยแวบหนึ่ง ไอเย็นบนร่างก็คลายลงหายส่วน บรรยากาศรอบพระองค์ก็เปลี่ยนเป็นอ่อนโยนขึ้นมา 

 

 

“องค์ชายใหญ่ล้ำค่าเกินใดจะเปรียบ หวงกุ้ยเฟยต้องดูแลตนเองให้ดี อย่าได้พลั้งเผลอไป” ยามที่ตรัสกับซูเม่ย สีพระพักตร์ของฮ่องเต้ก็อ่อนโยนขึ้นมาอีกหลายส่วน 

 

 

ยามนี้ทุกคนที่ได้เห็นต่างก็อิจฉาริษยากันยกใหญ่ 

 

 

ไม่รู้ว่าชาติก่อนซูหวงกุ้ยเฟยสวดมนต์ไหว้พระขอพระโพธิ์สัตว์อย่างยากลำบากเพียงไร? จึงทำให้ชาตินี้ได้รับพระเมตตาจากฝ่าบาทถึงเพียงนี้ 

 

 

ดูเอาเถอะ ในวังหลังทั้งหมด ฝ่าบาททรงเคยแสดงความอ่อนโยนต่อผู้ใดถึงเพียงนี้บ้าง? 

 

 

“ฝ่าบาท หม่อมฉันระมัดระวังมากแล้วนะเพคะ แต่ถึงอย่างไรก็ไม่อาจห้ามไม่ให้มีคนประสงค์ร้ายต่อครรภ์ของหม่อมฉัน หม่อมฉันจะทำสิ่งใดได้เล่าเพคะ?” ซูเม่ยยังคงกระตุกชายแขนฉลองพระองค์ต่อไป เขาพูดพลางก็เหลือบมองดูเหยียนเฉียวหลัวไปพลางๆ 

 

 

เหยียนเฉียวหลัวหันมาสบตาเข้ากับนางพอดี ก่อนหน้านี้นางก็เคยเห็นภาพเหมือนของซูเม่ยมาแล้ว ตอนที่เห็นภาพก็รู้สึกว่าสตรีผู้นี้เย้ายวนเกินกว่าคนทั่วไป ตอนนี้พอได้เห็นตัวจริง ก็ยิ่งรู้สึกว่างดงามเย้ายวนจนใครก็ไม่อาจคลาดสาย 

 

 

มิน่าเล่า…. นางถึงได้ถูกจีเฉวียนเลือกเป็นเป้าธนู 

 

 

อิสตรีไหนเลยจะไม่มีจิตริษยาได้? 

 

 

พวกนางย่อมริษยาสตรีที่มีความงามเหนือกว่าตนเอง 

 

 

เป้าธนูเช่นซูเม่ยนี้ นับว่าจีเฉวียนเลือกได้ดีเยี่ยม 

 

 

“มองทำไม? นี่เจ้าแอบสาปแช่งข้าอยู่ในใจหรือไม่ ทั้งยังแช่งองค์ชายของข้าด้วยใช่ไหม?” ซูเม่ยไม่ไว้หน้านางเลยแม้แต่น้อย 

 

 

สตรีที่ตั้งครรภ์มักจะอารมณ์ไม่ดี ทุกคนต่างก็สามารถเข้าใจได้ แต่ดูอย่างไรซูหวงกุ้ยเฟยผู้นี้ก็เหมือนได้รับความโปรดปรานมากจนกลายเป็นความผยองแล้ว 

 

 

แต่เพราะนางตั้งครรภ์องค์ชายใหญ่….ฝ่าบาทจะใส่พระทัยมากหน่อยก็นับว่าสมเหตุสมผลอยู่ 

 

 

“กะกะกะต๊าก!” เจ้าไก่ขนดำก็ส่งเสียงด้วยความขุ่นเคือง แล้วยังหรี่ตามองดูเหยียนเฉียวหลัวและขนไก่สีดำในมือของนางอีกด้วย 

 

 

พอได้ยินเสียงของมัน เหยียนเฉียวหลัวถึงได้คืนสติกลับมา 

 

 

พอเจอเป้าธนูอย่างซูเม่ยเข้าไป นางก็เกือบจะทำเป้าหมายของตนเองหล่นหายเสียแล้ว 

 

 

เหยียนเฉียวหลัวกลับมายืนตรงดุจพู่กันดังเดิม ในมือของนางถือขนไก่สีดำเอาไว้ในมือ พลางทูลจีเฉวียนออกไปว่า “ฝ่าบาทเพคะ ซูหวงกุ้ยเฟยทรงครรภ์ พื้นอารมณ์แปลกไปบ้างเฉียวหลัวไม่โทษว่านาง” 

 

 

“ตอนนี้เจ้าไก่ดำนั่นก็อยู่ในที่นี้พอดี ขอเพียงเปรียบเทียบขนไก่ในมือของเฉียวหลัวกับขนที่อยู่บนตัวของเจ้าไก่นั่น ก็จะสามารถพิสูจน์ได้ว่าไทเฮาทรงบริสุทธฺ์หรือไม่” 

 

 

“ไทเฮาแห่งต้าโจวศักดิ์ฐานะสูงส่ง ฝ่าบาทเองก็ให้ความสำคัญกับความกตัญญู คิดว่าจะต้องไม่ทรงยอมให้ไทเฮาต้องทรงถูกปรักปรำหรอกใช่ไหมเพคะ?” 

 

 

“ดังนั้นขอฝ่าบาททรงประทานอนุญาตให้ตรวจสอบขนไก่ด้วยเพคะ” 

 

 

ขนไก่เส้นนี้…….ถูกจัดเตรียมเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้ว 

 

 

อีกประเดี๋ยว นางในดวงใจของจีเฉวียนจะต้องเดือดร้อนเป็นแน่ 

 

 

“กะกะกะต๊าก!” พอเจ้าติ๊งต๊องเอียงคอมองดูขนเส้นนั้น แล้วก็มองดูขนปีกของตัวเอง มันก็ ‘คล้ายๆ’ จะเกิดอาการ ‘ปอดแหก’ ขึ้นมา 

 

 

เมื่อครู่มันยังทำท่าฮึกเหิมอยู่หยกๆ แต่ว่าตอนนี้กลับถอยหลังไปก้าวเล็กๆ ก้าวหนึ่ง ท่าทางหวาดกลัวการตรวจพิสูจน์อยู่บ้าง 

 

 

“ทูลฝ่าบาท ร่างจริงย่อมไม่กลัวเงาลวงจะเหนือกว่า ขออย่าได้ทรงถือโทษที่องค์หญิงของพวกเรามีข้อสงสัย เพราะเจ้าเฒ่าศพคืนชีพผู้นี้เดิมทีก็เป็นตัวประหลาด คำพูดของเขาไม่อาจเชื่อถือได้ หลักฐานก็อยู่ที่นี่แล้ว ขอเพียงได้พิสูจน์ต่อหน้า ทุกอย่างย่อมกระจ่างแจ้ง” ซิวก้าวออกมาทูลแทนเหยียนเฉียวหลัว 

 

 

ฮ่องเต้ทรงทำท่าครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง สายพระเนตรจับจ้องอยู่บนเจ้าไก่ขนสีดำนั่น พอเห็นมันก้าวถอยหลังไปก้าวหนึ่งก็รู้สึกว่ามันคล้ายกับตู๋กูซิงหลันอย่างยิ่ง 

 

 

จากหยิ่งผยองเปลี่ยนเป็นปอดแหกช่างเร็วเพียงพริบตา 

 

 

เขาอดไม่ได้ที่จะมองดูสตรีในอ้อมแขนอีกแวบหนึ่ง เจ้าของเป็นอย่างไรก็เลี้ยงไก่ออกมาได้อย่างนั้นจริงๆ 

 

 

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ฮ่องเต้ก็ทรงยอม ‘ประนีประนอม’ 

 

 

สีพระพักตร์ยังคงเย็นชา ทรงทอดพระเนตรมองเหยียนเฉียวหลัว “เจ้าคิดจะพิสูจน์อย่างไร?” 

 

 

“ถอนขนจากตัวมันมาเส้นหนึ่ง แล้วก็นำมาเปรียบเทียบกันให้ดีก็รู้แล้วมิใช่หรือเพคะ?” เหยียนเฉียวหลัวยินดีขึ้นมา นางรู้อยู่แล้ว จีเฉวียนจะต้องไม่ลงมือเล่นงานนางหรอก 

 

 

จะอย่างไรนางก็เป็นถึงองค์หญิงของแคว้นเหยียน ทั้งยังมีความผูกพันกับเขามาตั้งนานหลายปี 

 

 

คราวนี้ ฝ่าบาททรงรับปากอย่างง่ายดาย “ได้” 

 

 

เหยียนเฉียวหลัวอารมณ์ดีขึ้นมาก 

 

 

แต่ว่าครู่เดียวก็เกิดความสงสัยขึ้นมา 

 

 

เขามิใช่ว่าต้องการจะปกป้องตู๋กูซิงหลันจนถึงที่สุดหรอกหรือ ทันทีที่พิสูจน์ว่าขนไก่นี้เป็นแบบเดียวกับขนบนตัวเจ้าไก่นั่น ย่อมไม่เกิดผลดีกับตู๋กูซิงหลันอย่างแน่นอน 

 

 

นางมองดูซูเม่ยที่ยืนอยู่ข้างกายจีเฉวียน พอคิดถึงท่าทางของนางเมื่อครู่ที่สุดแสนจะถือดีเพราะเป็นที่โปรดปรานก็อดไม่ได้ที่จะลังเลขึ้นมา 

 

 

หรือว่านางจะคาดเดาผิดไป? 

 

 

ที่แท้แล้วคนในดวงใจของจีเฉวียนก็คือซูเม่ย? 

 

 

เหยียนเฉียวหลัวรู้สึกว่ามีบางสิ่งไม่ถูกต้อง แต่ก็บอกไม่ถูกว่าคืออะไร 

 

 

ขณะที่นางกำลังคิดอยู่นั้น ก็เห็นองครักษ์ลับของฝ่าบาทเข้าไปจับตัวเจ้าไก่ดำต่อหน้าฝูงชน แล้วถอนขนออกมาจากก้นของมันเส้นหนึ่ง 

 

 

เจ้าไก่ขนดำเจ็บจนหันศีรษะกลับมา มันโกรธมากจนตะกุยอุ้งเท้าลงไปบนพื้น