ตอนที่ 1913 มหกรรมตบหน้า (5)
คำพูดของจวินอู๋เสียทำให้ทุกคนที่นั่นถึงกับพูดไม่ออก
“สตรีและคนถ่อยเป็นผู้เข้าด้วยยาก วิหารเงาจันทรามอบให้เด็กผู้หญิงโง่เขลาเช่นเจ้า มันคงจบสิ้นไม่ช้าก็เร็ว” ใบหน้าของประมุขวิหารแห่งชีวิตแดงก่ำด้วยความเดือดดาล ถ้าศิษย์ของวิหารพวกเขามาได้ยินสิ่งที่จวินอู๋เสียพูด ใครจะไปรู้ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง
“ไม่ต้องช้าหรือเร็วหรอก มันจบสิ้นไปแล้ว” จู่ๆจวินอู๋เสียก็ยิ้มแย้มสดใส ค่อยๆลุกขึ้นจากเก้าอี้
ทุกคนมองจวินอู๋เสียอย่างงุนงง พวกเขาไม่เข้าใจว่าเด็กสาวที่งดงามคนนี้กำลังคิดอะไรอยู่ ประมุขวิหารแบบไหนกันถึงแช่งวิหารตัวเองให้จบสิ้นแบบนี้?
นางบ้าไปแล้วหรือ?
จวินอู๋เสียเดินไปที่ทางเข้าที่ประชุม แล้วจ้องมองประมุขทั้งหลายที่มีสีหน้าไม่น่าดู และพูดช้าๆว่า “ข้ายังไม่ได้แนะนำตัวเองเลย ในอาณาจักรล่างข้าคือจวินอู๋เสียแห่งตำหนักหลินอ๋อง”
เสียงเย็นชาแจ่มชัดของจวินอู๋เสียดังก้องที่ประชุม ดวงตาของประมุขทั้งหลายเบิกกว้างทันที
[อาณาจักรล่าง?]
[หมายความว่ายังไง?]
“เจ้าเป็นใครกันแน่? เจ้าไม่ใช่ประมุขคนใหม่ของวิหารเงาจันทราหรอกหรือ?” ประมุขวิหารจิตหวนคืนชี้ไปที่จวินอู๋เสีย ใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความไม่อยากจะเชื่อ
จวินอู๋เสียยักไหล่และเชิดหน้าขึ้นอย่างสง่างาม “ตามหลักเหตุผลแล้ว ข้าคือประมุขคนใหม่ของวิหารเงาจันทรา แต่ข้าไม่ได้มีความเกี่ยวข้องทางสายเลือดกับประมุขคนก่อนเลยสักนิด ถ้าเจ้าต้องการให้ข้าบอกความเกี่ยวข้องระหว่างเราล่ะก็ ก็คงจะเป็น……ข้าฆ่าประมุขวิหารเงาจันทราด้วยมือตัวเอง นั่นนับรึเปล่าล่ะ?”
ดวงตาของจวินอู๋เสียหรี่ลงเล็กน้อย ดูเหมือนยิ้มแต่ก็แทบสังเกตไม่เห็น
ประมุขของอีกสิบเอ็ดวิหารอ้าปากค้างทันที แม้ว่าวิหารเงาจันทราจะเทียบกับวิหารอื่นๆไม่ได้ แต่ก็ยังเป็นหนึ่งในสิบสองวิหาร ในอาณาจักรกลางตอนนี้ มีเพียงเก้าอารามที่อยู่เหนือพวกเขา ใครจะคิดว่าประมุขวิหารเงาจันทราซึ่งเป็นหนึ่งในสิบสองวิหารจะถูกเด็กสาวตัวเล็กๆตรงหน้าพวกเขาคนนี้ฆ่าตาย……
จะเป็นไปได้อย่างไร?!
คำพูดของจวินอู๋เสียราวกับสายฟ้าที่จู่ๆก็ฟาดเข้าใส่หัวใจของทุกคน พวกเขามองจวินอู๋เสียอย่างเหลือเชื่อ และไม่อยากจะเชื่อแม้แต่น้อย
“นังหนู เจ้าล้อเล่นล่ะสิ……ประมุขวิหารเงาจันทราจะถูกเด็กอย่างเจ้าฆ่าได้ยังไง?” ประมุขวิหารคงฉานมองจวินอู๋เสียอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
จวินอู๋เสียเลิกคิ้วเล็กน้อย จากนั้นก็หยิบป้ายคำสั่งออกมาจากในเสื้อคลุมของนาง ป้ายนั้นทำจากหยกสีเขียว บนป้ายสลักตัวอักษรสามตัวที่อ่านว่า “วิหารเงาจันทรา” นั่นคือสัญลักษณ์แสดงตัวของประมุขวิหารเงาจันทรามาตลอดหลายชั่วอายุคน บนพื้นผิวของหยกสีเขียวชิ้นนั้นมีคราบเลือดที่กลายเป็นสีดำไปแล้วติดอยู่……
“ขออภัย ข้าลืมเช็ดตอนที่เอามันมาจากศพของประมุขวิหารเงาจันทรา แต่ข้าเชื่อว่าท่านสุภาพบุรุษทั้งหลายยังจำมันได้ใช่ไหม?” จวินอู๋เสียเอียงคอถาม นางมองกลุ่มคนที่หน้ากลายเป็นสีเขียวแล้ว
น้ำเสียงไม่แยแสนั้นทำให้ประมุขทั้งหลายรู้สึกสยองอยู่ในใจ
ป้ายคำสั่งของประมุขวิหารเงาจันทราตกอยู่ในมือของเด็กสาวคนนี้ นั่นหมายความว่าประมุขวิหารเงาจันทราตายแล้วจริงๆ!
“นังหนู เจ้ามาจากไหนกันแน่? เจ้ามาถึงที่นี่วันนี้ คงไม่ใช่แค่มาดูเรื่องตื่นเต้นใช่ไหม?” ในที่สุดประมุขวิหารปีศาจเพลิงก็ได้สติจากความตกใจ เขารู้สึกก่อนหน้านี้แล้วว่าจวินอู๋เสียดูไม่เหมือนเด็กสาวธรรมดา แต่ไม่คิดเลยว่าสาวน้อยคนนี้จะอาจหาญจนถึงขั้นทำลายวิหารเงาจันทรา
ทันใดนั้น ประมุขวิหารปีศาจเพลิงก็เกิดลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้นมา เป้าหมายของจวินอู๋เสียต้องไม่ใช่แค่วิหารเงาจันทราอย่างเดียวแน่ ไม่เช่นนั้นนางจะแสร้งทำตัวเป็นประมุขวิหารเงาจันทราและเดินทางมาเข้าร่วมการประชุมสุดยอดของสิบสองวิหารทำไม?
“อะไร? อายุมากแล้วเลยความจำไม่ดีงั้นหรือ? ข้าพูดไปแล้วนี่ ข้ามาจากอาณาจักรล่าง” จวินอู๋เสียกล่าวด้วยน้ำเสียงหยิ่งผยอง
ตอนที่ 1914 มหกรรมตบหน้า (6)
ประมุขวิหารปีศาจเพลิงแทบขาดอากาศตายจากการพยายามข่มความโกรธเพราะคำพูดของจวินอู๋เสีย
“อาณาจักรล่าง? เจ้าเห็นข้าเป็นคนโง่หรือ? อย่างอาณาจักรล่างเนี่ยนะจะมีผู้เยาว์ที่มีพลังวิญญาณขั้นสีม่วงอย่างเจ้าปรากฏออกมา? เจ้ามันเด็กสารเลวขี้ขลาดตาขาว ชื่อแซ่ของตัวก็ไม่กล้าเปิดเผย” ประมุขวิหารจื่อเหลยกล่าวถากถาง ประมุขจากวิหารต่างๆล้วนเป็นผู้ใช้พลังวิญญาณขั้นสีเงิน ดังนั้นพวกเขาจะมองไม่ออกได้อย่างไรว่าจวินอู๋เสียมีพลังวิญญาณสีม่วงขั้นสี่? ไม่ต้องพูดถึงอาณาจักรล่างที่ล้าหลังห่างไกลอย่างนั้นเลย ผู้มีพรสวรรค์สูงเช่นนี้ ในอาณาจักรกลางยังนับว่าเป็นสัตว์ประหลาดที่ไม่เคยมีมาก่อน
จวินอู๋เสียยักไหล่ ไม่ใส่ใจกับคำถากถางของประมุขวิหารจื่อเหลย
“จะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่เจ้า”
“นังเด็กเวร เจ้าสำคัญตัวเองมากไปรึเปล่า? ข้าไม่เคยเห็นใครอุกอาจเท่าเจ้ามาก่อน ฆ่าประมุขวิหารเงาจันทราแล้วยังกล้ามาเข้าร่วมการประชุมสุดยอดของสิบสองวิหารอีก เจ้าคิดจริงๆหรือว่าเราจะไม่กล้าทำอะไรเจ้า?” ประมุขวิหารเสวียนเทียนกล่าวเย้ยหยัน
การที่จวินอู๋เสียฆ่าประมุขวิหารเงาจันทราเป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายของพวกเขาจริงๆ แต่ทุกคนรู้ว่าประมุขวิหารเงาจันทราป่วยมานาน พลังวิญญาณของเขาเสื่อมถอยลงอย่างมาก ย่อมอ่อนแอกว่าประมุขวิหารอื่นๆ แต่ไม่มีใครรู้ว่าพลังวิญญาณของประมุขวิหารเงาจันทราลดลงถึงระดับไหนก่อนที่เขาจะถูกฆ่า
“จวินอู๋เสียใช่ไหม? เจ้ามาที่นี่ทำไม? ถ้าบอกเรามา เราอาจจะให้เจ้าไปจากที่นี่อย่างมีชีวิตได้” ประมุขวิหารปีศาจเพลิงพูดอย่างเย็นชา เขาไม่ได้อวดดีมากเท่าประมุขวิหารคนอื่น เขาอดคิดไม่ได้ว่าการปรากฏตัวของจวินอู๋เสียที่นี่ต้องเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงอะไรบางอย่างที่กำลังจะตามมา
แต่มันคืออะไร?
ก่อนหน้านี้ เขาแน่ใจว่าไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน อีกฝ่ายประกาศว่าตนมาจากอาณาจักรล่าง แม้ว่าพลังของนางไม่ใช่สิ่งที่คนจากอาณาจักรล่างจะสามารถครอบครองได้
“จุดประสงค์หรือ?” จวินอู๋เสียเลิกคิ้วเล็กน้อย
“จุดประสงค์ของข้า อีกเดี๋ยวพวกเจ้าก็จะรู้ แต่ก่อนหน้านั้น ข้าคิดว่ามีคนที่พวกเจ้าควรจะพบก่อน พวกเจ้าจะได้ชดใช้ที่ติดหนี้พวกเขาไว้ทีละคน” จวินอู๋เสียหัวเราะเบาๆ กล่าวคำพูดที่ทำให้คนรู้สึกสยองในใจ
สิ้นเสียงของนาง เด็กสาวก็ปรบมือหนึ่งครั้ง
เสียงนั้นดังก้องอยู่ในหูของทุกคน
ประตูที่ล็อคอย่างแน่นหนาก็ถูกเปิดออกทันที ร่างสูงหลายร่างเดินเข้ามาข้างในอย่างเงียบๆ
ประมุขของวิหารต่างๆที่ตั้งท่าเตรียมพร้อมก็ชะงักไปด้วยความประหลาดใจเมื่อเห็นผู้ที่เดินเข้ามา
“เฉียวฉู่?” ประมุขวิหารปีศาจเพลิงจ้องมองเฉียวฉู่ที่เดินเข้ามาในที่ประชุมอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“สวัสดี ท่านประมุข” เฉียวฉู่มองประมุขวิหารปีศาจเพลิงยิ้มๆ พร้อมคำนับเล็กน้อย เหมือนกับการเคารพที่เคยทำตอนอยู่ในวิหารปีศาจเพลิง แต่ตอนนี้ในแววตาของเขามีเจตนาสังหารปรากฏขึ้น
“ฮัวเหยา เจ้ามาทำไม?” ประมุขวิหารจื่อเหลยมองฮัวเหยาที่ยืนอยู่ข้างๆเฉียวฉู่อย่างประหลาดใจ ทั้งสองเดินเคียงข้างกัน ให้ความรู้สึกสนิทสนมกลมเกลียว แต่เขาจำได้ว่าฮัวเหยากับเฉียวฉู่ขัดแย้งกันอย่างรุนแรง สู้กันแทบทุกครั้งที่เจอหน้า แล้วทำไม……
ฮัวเหยามองประมุขวิหารจื่อเหลยที่กำลังตกตะลึงด้วยสายตาเย็นชา และไม่สนใจคำถามของเขา
เมื่อประมุขวิหารจิตหวนคืนเห็นหรงรั่ว เขาก็ตะลึงงันไป
ประมุขวิหารเสวียนเทียนก็มีสีหน้าสับสนงุนงงอย่างมากเมื่อเห็นฟ่านจั๋ว
“เฟยเหยียน นี่มันเรื่องอะไรกัน?” ประมุขวิหารมังกรหรี่ตามองเฟยเหยียนที่ยืนอยู่ข้างหรงรั่วพร้อมรอยยิ้มสดใส ความรู้สึกไม่สบายใจเริ่มผุดขึ้นมา
“อย่างที่ท่านเห็น ท่านประมุข ข้าทรยศแล้ว” เฟยเหยียนยังคงยิ้มแย้มแจ่มใส แต่คำพูดของเขาทำให้ประมุขวิหารมังกรรู้สึกเหมือนถูกฟ้าผ่า
ตอนที่ 1915 มหกรรมตบหน้า (7)
“อะไรนะ……เฟยเหยียน……เจ้า……” ในหัวของประมุขวิหารมังกรมีเสียงอื้ออึงสับสน อาจกล่าวได้ว่าหลังจากการตายของจูเก๋ออิน ความไว้ใจที่ประมุขวิหารมังกรมีให้กับเฟยเหยียนก็ขึ้นถึงระดับที่ไม่เคยมีมาก่อน
ตอนจูเก๋ออินยังมีชีวิตอยู่ ประมุขวิหารมังกรก็พบแล้วว่าความสัมพันธ์ระหว่างจูเก๋ออินและเฟยเหยียนก็เหมือนๆจะมีใจให้กัน ถ้าไม่ใช่เพราะเขาคิดจะเป็นพันธมิตรกับวิหารมารโลหิตผ่านการแต่งงาน เขาก็คงจะยอมให้จูเก๋ออินแต่งงานกับเฟยเหยียนเพราะพรสวรรค์ของนาง และหลังจากที่จูเก๋ออินตาย เฟยเหยียนก็เต็มไปด้วยความโกรธแค้นไม่พอใจ พยายามหาทางให้การตายของจูเก๋ออินได้รับการชดใช้อยู่ตลอด ทั้งหมดนั้นทำให้ประมุขวิหารมังกรไว้ใจเฟยเหยียนมากขึ้นเรื่อยๆ
แต่ตอนนี้ เมื่อประมุขวิหารมังกรเห็นเฟยเหยียน เขาก็เข้าใจทันที……
ว่าเขาอาจจะโดนหลอก!
“การตายของนายน้อยทำให้ท่านประมุขเหนื่อยล้าทั้งกายใจแล้ว ท่านต้องดูแลสุขภาพของตัวเองให้ดี เกิดจู่ๆหายใจไม่ทันล้มลงไป ที่ข้ามาถึงนี่ก็ไร้ความหมายเลยน่ะสิ” เฟยเหยียนมองดูสีหน้าของประมุขวิหารมังกรที่น่าเกลียดขึ้นทุกที รอยยิ้มของเขายิ่งสดใสขึ้นเรื่อยๆ แต่ในดวงตายิ้มแย้มคู่นั้นมีแต่ความเกลียดชังอย่างรุนแรง
ปฏิกิริยาของประมุขวิหารปีศาจเพลิง ประมุขวิหารจิตหวนคืน ประมุขวิหารเสวียนเทียน และประมุขวิหารจื่อเหลยก็เป็นเช่นเดียวกัน พวกเขาไม่อยากจะเชื่อว่าศิษย์ที่พวกเขาให้ความสำคัญมากที่สุดตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ตอนนี้จะยืนอยู่ข้างหลังจวินอู๋เสีย เมื่อมองดูบรรยากาศในกลุ่มก็เห็นได้ว่าพวกเขารู้จักกันมานานแล้ว!
สีหน้าของประมุขวิหารทั้งห้าล้วนไม่น่าดูอย่างยิ่ง จากประสบการณ์ของพวกเขา ถ้ายังมองไม่ออกว่าตนเองถูกผู้เยาว์กลุ่มนี้หลอก พวกเขาก็คงจะใช้ชีวิตมาอย่างสูญเปล่าจริงๆ!
“พวกเจ้าเป็นพวกเดียวกันงั้นหรือ?” ประมุขวิหารมังกรกัดฟันถามพร้อมถลึงตาจ้องเฟยเหยียนอย่างน่ากลัว
เฟยเหยียนยักไหล่อย่างไม่ยี่หระและตอบว่า “ใช่แล้ว”
“เจ้าไม่ได้ภักดีต่อวิหารมังกรอย่างจริงใจสินะ?”
“ถูกต้อง”
ทุกคำถามที่ประมุขวิหารมังกรถามไป หมัดของเขาก็ยิ่งกำแน่นขึ้น
“แล้วเรื่องการตายของลูกชายข้า เจ้าโกหกข้ามาตั้งแต่ต้นเลยใช่ไหม!!” ประมุขวิหารมังกรโกรธสุดขีด เรื่องการตายของจูเก๋ออินส่วนใหญ่ได้รับการบอกเล่าจากเฟยเหยียน เมื่อมันตรงกับข่าวที่วิหารจิงหงส่งมา เขาก็เชื่อทันที และเกลียดกู่อิ่งจนเข้ากระดูกดำ เมื่อนึกย้อนกลับไป ถ้าไม่ใช่เพราะเฟยเหยียนเอ่ยถึงวิธีที่จูเก๋ออินถูกฆ่าอย่างโหดเหี้ยมขึ้นมาบ่อยๆ เขาจะเกลียดฝังลึกถึงขนาดนี้ได้อย่างไร?
ความหวาดกลัวอันยิ่งใหญ่เข้าปกคลุมในใจของประมุขวิหารมังกร เขากลัว กลัวว่าจะถูกเฟยเหยียนหลอกจนทำให้ไม่สามารถหาตัวคนร้ายตัวจริงที่ฆ่าลูกชายของเขาได้
เฟยเหยียนแค่มองประมุขวิหารมังกรยิ้มๆ และเลือกที่จะเงียบ
“ลูกชายเจ้าไม่ได้ถูกกู่อิ่งฆ่าหรอก” จวินอู๋เสียพลันเอ่ยขึ้น นางมองประมุขวิหารมังกรอย่างเฉยชา
“งั้นใคร!” ประมุขวิหารมังกรตะคอก
จวินอู๋เสียเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย ชี้ที่หน้าอกของตนแล้วพูดว่า “ข้าเอง”
ดวงตาของประมุขวิหารมังกรเบิกโพลง เขาถึงกับเซถอยหลังไปสองก้าว มือจับขอบโต๊ะไว้เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวเองล้มลง
“เป็นเจ้า!!” ประมุขวิหารมังกรขบกรามแน่นพร้อมกับจ้องไปที่จวินอู๋เสีย ความโกรธและความเกลียดหมุนวนอยู่ในใจเขา
เพราะเขาเชื่อมั่นอย่างแน่วแน่ว่าจูเก๋ออินตายด้วยน้ำมือของกู่อิ่ง และเพื่อแก้แค้นให้ลูกชายของตน เขาถึงกับใช้กองกำลังทั้งหมดของวิหารมังกร แต่ทั้งหมดนี้กลับเป็นแค่เรื่องตลก
ลูกชายของเขาไม่ได้ถูกกู่อิ่งฆ่า!
ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาทำมา ทั้งหมดที่วิหารมังกรได้เสียสละไป เขาเป็นเพียงหุ่นเชิดที่ถูกจวินอู๋เสียและเฟยเหยียนชักใยด้วยด้ายที่มองไม่เห็นมาโดยตลอด